บทที่ 1
จากเดือนจรัสมาเป็นเผยหว่านอี
ภายในห้องครัวนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่พอจะให้กินได้เลย เผยหว่านอีเปิดดูจนทั่วก็พบว่ามีเพียงข้าวสารอยู่สามกำมือเท่านั้น คงจะพอนำมาหุงเป็นข้าวต้มได้ นอกจากนั้นก็มีผักดองที่ดูแล้วยังพอจะกินได้ แต่ทางที่ดีนางควรนำมันมาลวกด้วยน้ำเดือด ๆ ก่อนจะดีกว่าหาไม่อาจเกิดท้องเสียเอาได้ นางเอกไม่เท่าใดแต่เผยหว่าหวาและนางเฉียวซื่อผู้มีดวงตาบอดถึงไม่สนิทแต่ก็มองเห็นแสงริบรี่เท่านั้นจะเสี่ยงเจ็บป่วยมิได้
เอาละ วันนี้นางสมควรจะต้องออกไปยังตลาดเพื่อจับจ่ายกับข้าวและข้าวสารมาเตรียมเอาไว้กินในวันต่อ ๆ ไปเสียแล้ว อีกสิ่งหนึ่งให้นางปลูกผักไว้กินในครอบครัวนั้นพอไหว หากแต่ให้นางปลูกขายด้วยแล้ว นางก็คิดว่าด้วยกำลังของตนเองแล้วนั้นคงไม่อาจถึกทนได้ถึงเพียงนั้น อีกทั้งคงจะยากเกินที่นางจะทำได้ไหวในเวลาอันสั้นดังนั้นช่วงนี้คงต้องซื้อหามากินไปก่อน
กับการที่นางได้ออกไปเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยวตลาดอาจจะพอได้ลู่ทางทำมาหากินเอาชีวิตรอดได้บ้าง เพราะข้ามภพมาทั้งทีไม่ใช่จะมาเป็นนางเอกสวยครบสูตรเช่นในซีรีส์ ทว่านางต้องกลายเป็นหญิงหม้ายไม่พอ ยังมีลูกติดและมารดาตาบอดพ่วงมายิ่งกว่ารถพ่วงยี่สิบแปดล้อเสียอีก หากมีชีวิตเพียงคนเดียวอาจจะง่ายกว่านี้ แต่นี่…
“หว่าหวาพาท่านยายมากินข้าวกัน วันนี้มีเพียงข้าวต้มกับแตงกวาดองเท่านั้นฝืนใจกินกันไปก่อนนืมื้อค่ำค่อยว่ากันใหม่”
ถ้วยข้าวต้มแลเห็นควันลอยกรุ่นทั้งสามถ้วยก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะอาหารกลางห้องโถงของเรือนขนาดเล็ก พร้อมกับถ้วยแตงกวาดอง และหัวไชเท้าดองเค็มวางเป็นกับข้าวเพียงหนึ่งถ้วยเท่านั้น หึ!…นี่คืออาหารมื้อแรกของนางกับชีวิตใหม่ แต่คิดย้อนกลับไปสามเดือนบนเตียงคนพิการติดเตียงมันทรมานกว่ามาก ดังนั้นมื้อนี้ได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับผักดอง ก็ไม่ได้แย่เลย อาจนับว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดในรอบสามเดือนของนางแล้ว
“ท่านแม่เจ้าคะ ประเดี๋ยวข้ากินข้าวเสร็จแล้วจะไปตลาดกับหว่าหวา ท่านแม่จะไปกับข้าหรือสะดวกใจจะรออยู่ที่บ้านเจ้าคะ”
เผยหว่านอีในวันนี้สอบถามคนเป็นมารดาอย่างระมัดระวัง เพราะนางเองก็เคยตกอยู่ในสภาพคนพิการป่วยหนักติดเตียงมาก่อนย่อมเข้าใจมารดาที่อยู่ในโลกมืดดี
“เจ้าไปกับหว่าหวาเถิด ข้าจะอยู่ที่เรือนเอง อยากอยู่คอยเก็บกวาดและจัดห้องนอนให้สะดวกขึ้นอีกหน่อยเมื่อคืนเกือบสะดุดล้มเพราะชนเก้าอี้ข้างเตียง”
หญิงชราต้องการอยู่จัดห้องให้กับตนเองมากกว่า เพราะถึงนางนั้นจะตามืดบอดแต่ก็ไม่ได้สนิทดังที่ทุกคนเข้าใจ แต่ยังพอแลเห็นภาพเลือนรางอยู่บ้างหากแต่ก็เพียงเท่านั้น นางแลเห็นได้เป็นรูปร่างเท่านั้น เพียงแต่หากเป็นคนนั้นนางไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ บอกได้เพียงว่าเป็นเด็กหรือคนโตเท่านั้น แลเห็นแสงได้พอประมาณ ซึ่งหากได้พบท่านหมอที่เก่งนางอาจกลับมาหายดีได้ แต่บัดนี้ชีวิตตกต่ำถึงเพียงนี้ เงินทองที่มีต้องเก็บเอาไว้ต่อลมหายใจ และเลี้ยงปากท้องทั้งสามชีวิตให้ได้กินอิ่มต่อไป เรื่องรักษาจึงต้องยกเลิกไปเลย
“แต่ช่วยซื้อเมล็ดพันธุ์ผักพวกผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง และแตงกวากลับมาด้วยก็ดีนะหว่านอี พวกเราจะได้นำมาปลูกเอาไว้กินเอง พวกเป็ดและไก่เราซื้อเขาเอาไปก่อนต่อไปจึงค่อยขยับขยายเลี้ยงเองในภายหลัง”
นางเซียวซื่อ หรือก็คือ ‘เฉียวถิงถิง’ สตรีวัยสี่สิบหกหนาวผู้นี้แท้จริงนางมิใช่มารดาอันแท้จริงของเผยหว่านอี และเผยหว่านหนิง แต่นางคือพี่สาวฝาแฝดของ ‘เฉียวอิงอิง’ ซึ่งเป็นมารดาแท้จริงของเผยหว่านอีและเผยหว่านหนิง นั้นด้วยคลอดลูกแฝดนางที่เป็นเพียงอนุขาดการเอาใจใส่ สุดท้ายเฉียวอิงก็ตกเลือดตายเพียงคลอดเผยหว่านอีได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
ดังนั้นไม่ใช่มารดาก็เป็นดังมารดา ซึ่งเผยหว่านอีและเผยหว่านหนิงเองก็มีโชคชะตาไม่แตกต่างจากมารดากับท่านป้าที่เผยหว่านหนิงและเผยหว่านอีนั้นต่างไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ท่านป้า’ แต่เรียกท่านแม่มาตลอด เพียงแต่พอแต่งงานออกมากับแม่ทัพแซ่เจียงนามว่าซู่แล้ว
คนที่มีครรภ์กลับเป็นเผยหว่านหนิงเพราะหนึ่งร่างกายของเผยหว่านอีอ่อนแอยิ่งนัก กับสองภายในใจของเจียงซู่กลับพึงใจฝาแฝดคนพี่มากกว่าคนน้องนั่นเอง หลังจากนั้นเผยหว่านหนิงก็มีครรภ์แฝดไม่ต่างจากมารดาอีกด้วย แต่ที่ต่างก็คือนางคลอดออกมาได้เพียงเจียงหว่าหวาเท่านั้นส่วนเด็กอีกคนได้ตายไปพร้อมกับฝาแฝดคนพี่ของเผยหว่านอี ซึ่งนับจากนั้นไม่ใช่บุตรสาวที่อุ้มท้องและคลอดออกมาทว่าเผยหว่านอีก็รักหลานสาวและเลี้ยงดูมาอย่างดีไม่ต่างจากที่นางเอกถูกคนเป็นท่านป้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่และนับจากเผยหว่าหวาเริ่มหัดพูดหญิงสาวก็สอนให้เด็กน้อยเรียกตนเองว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ต่างจากที่นางเรียกนางเฉียวซื่อว่าท่านแม่ไม่เคยเรียกท่านป้าเลยสักครั้งเช่นกัน
แล้วหลังจากพอเผยหว่านอีหย่าขาดจากสามีแซ่เจียง เผยหว่านอีสตรีผู้มีร่างกายอ่อนแอแต่กลับมีหัวใจแกร่งยิ่งนักก็ให้เด็กน้อยเปลี่ยนมาให้แซ่เผยเช่นเดียวกับตนเองแทนเพราะในเมื่อแม้แต่บุตรสาวคนผู้นั้นยังใจดำขับไล่ออกมาไกลนับพั้นลี้ หญิงสาวจึงไม่ยอมให้บุตรสาวไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุรุษชั่วช้าที่เพื่อความยิ่งใหญ่แล้วแม้แต่ลูกในไส้ยังทอพทิ้งได้ลงคอเช่นนั้น
ซึ่งสำหรับเผยหว่าหวาจวบจนทุกวันนี้นางก็ทราบเพียงเผยหว่านอีคือมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนนางเฉียวซื่อนั้นก็คือท่านยาย มิเคยทราบว่าแท้จริงทั้งมารดาและท่านยายแท้จริง รวมไปถึงผู้เป็นฝาแฝดคนน้องล้วนตายจากไปจนสิ้นแล้วซึ่งในอดีตเผยหว่านอีไม่เปิดเผย ในวันนี้นางที่มาอยู่ในร่างนี้แทนอดีตของเผยหว่านอีก็จะไม่เอ่ยความจริงชวนเจ็บปวดเหล่านั้นออกไปเด็ดขาดหากไม่จำเป็น เด็กหญิงแก้มใสผู้นี้ถูกบิดาขับไล่ก็นับว่าอาภัพแล้ว หากทราบว่าเผยหว่านอีเป็นเพียง ‘ท่านน้า’ เด็กน้อยคงเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
แคว้นชายแดนของหนานฉู่เช่น ‘สุ่ยโจว’ ด้วยมีอาณาเขตใกล้ชิดติดกับอาณาจักรยิ่งใหญ่เช่นต้าซ่งจึงนับว่าเป็นแคว้นที่เจริญไม่น้อยอาจเจริญรุ่งเรืองใกล้เคียงกับเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำจากความทรงจำเดิมของร่างนี้ คนข้ามชายแดนไปมาเยอะมาก คงอาจมากกว่าเมืองหลวงของหนานฉู่อยู่หลายส่วน เด็กสาวเช่นเดือนจรัสในอดีตหรือบัดนี้คือเผยหว่านอีมารดาลูกหนึ่งไร้สามีนั้นเดินท่องไปตามท้องถนนด้วยสายตาที่สนใจอย่างยิ่ง
นางไม่เก่งด้านปลูกผักทำฟาร์มเช่นนางเอกในนวนิยายจีนแปลที่เคยซื้อมาอ่าน แต่ในอดีตนางคิดว่าตนเองมีหัวทางด้านการค้ามากกว่า จำได้ว่าในวัยเด็กเมื่อครั้งที่คุณยายของเดือนจรัสยังมีชีวิตอยู่ท่านทำขนมเก่งมาก ตัวนางเองยังเคยช่วยนำขนมที่ท่านทำไปขายในโรงเรียนแล้วก็ได้ส่วนแบ่งเป็นกำไร ถึงไม่มากแต่เด็กหญิงในวัยแปดถึงเก้าขวบก็ดีใจมากแล้ว
พอเดือนจรัสขึ้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งท่านก็จากไป แต่วิชาขนมหลายอย่างก็อยู่ในความทรงจำของเดือนจรัส ดังนั้นเมื่อได้มาอยู่ในร่างของเผยหว่านอีสิ่งเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ เรียกว่านอกจากร่างกายที่เป็นของเผยหว่านอีแล้วทุกสิ่งในความทรงจำล้วนเป็นของเดือนจรัสทั้งหมด
ดังนั้นนอกจากความทรงจำ เหตุการณ์สำคัญ รายละเอียดยิบย่อยเหมือนนางจะจดจำไม่ค่อยได้เท่าใด แต่ไม่กระทบกับชีวิตของนาง เดือนจรัสคิดว่าช่างมันเถอะจำได้บ้างก็นับว่าดีมากแล้ว
“ท่านแม่ หว่าหวากินน้ำตาลปั้นได้ไหมเจ้าคะ”
เด็กน้อยกับลูกอมขนมหวานมันของคู่กันอยู่แล้ว ดังนั้นไม่แปลกที่เผยหว่าหวาจะอยากกินน้ำตาลปั้นร้านข้างทางที่เพิ่งเพิ่งเดินผ่านมา
“ย่อมได้ แต่ต้องสัญญากับท่านแม่ก่อนว่าจะกินเพียงหนึ่งอัน แล้วกลับไปถึงบ้านเจ้าต้องไปใช้ไม้ขัดถูฟันทันที”
สถานที่แห่งนี้ยังไม่มีแปรงสีฟันเช่นในยุคปัจจุบัน ทว่าที่นางเคยอ่านเจอมามีเพียงนำไม้ขนาดพอดีมือจับมาทุบแล้วเอาไว้ขัดถูฟันพร้อมกับเกลือเท่านั้นซึ่งก็ยังนับว่าดีอยู่นั่นเอง ดังนั้นหากสวรรค์อยากให้นางเป็น ‘ท่านแม่’ นางก็จะเป็นท่านแม่ดังเช่นอดีตมารดาของเดือนจรัสเลี้ยงดูตนเองมา ไหนจะยังมีคุณยายและคุณตาอีกที่สั่งสอนแต่สิ่งดี ๆ ให้กับเธอเพราะอดีตมารดาของเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของพวกท่าน เดือนจรัสก็เลยเป็นหลานสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวอีกเช่นกัน
อดีตนางเคยอยากมีน้องชายหรือน้องสาว แต่หลังจากคลอดเดือนจรัสออกมาแล้ว ฝาแฝดของเดือนจรัสเกิดตายจึงทำให้มารดาของเด็กสาวจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้งเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ นั่นจึงทำให้ตลอดชีวิตของเดือนจรัสก็เป็นลูกและหลานสาวเพียงคนเดียวมิอาจแปรผัน แล้ววันนี้ที่ได้เดินชมตลาดจนทั่วถึงจะปวดขาปวดเท้าอยู่มาก แต่นางก็พอจะทราบแล้วว่าตนเองจะทำมาหาเลี้ยงชีพทั้งตนเองมารดาตาบอดกับลูกสาววัยเพียงสี่ขวบปีอย่างไร
ปลายยามเว่ยสองแม่ลูกก็เดินกลับมายัง ‘บ้าน’ ที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน เด็กสาวที่ตื่นมาอีกครั้งก็กลายเป็น ‘หญิงสาว’ มองสำรวจไปโดยรอบหมู่บ้านที่ตนมาอาศัยด้วยเพราะที่นี่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนจะเป็นชาวนาหรือไม่ก็ชาวสวนผักทั้งสิ้น นางเริ่มคิดว่าหากจะทำขนมหรืออาหารขายนับว่าที่แห่งนี้มีวัตถุดิบให้นางเลือกซื้อหาในราคา ‘กันเอง’ ได้ไม่น้อย
“ท่านแม่/ท่านยาย”
นางเฉียวซื่อที่กำลังเช็ดโต๊ะตัวเดียวกลางห้องโถงของบ้านขนาดเล็กแห่งนี้ด้วยอาศัยการสัมผัสแทนการมองเห็นก็หันไปตามเสียงเรียกของทั้งบุตรสาวและหลานสาวก็ยิ้มออกมาให้ อย่างน้อยพวกนางก็มีกันและกันเป็นแรงใจให้กันถึงมารดผู้นี้จะมิอาจมองเห็นอันใดได้แต่นางกนั้นกลับไม่เคยอ่อนแอหรือทำตนเองให้เป็นภาระต่อบุตรสาวกับหลานตัวน้อยทั้งสิ้น
“ได้เมล็ดผักตามที่ท่านยายสั่งมาครบเลยเจ้าค่ะ”
เผยหว่าหวาวิ่งไปกอดขาของผู้เป็น ‘ท่านยาย’ พร้อมรายงานความดีความชอบของตนเองที่ได้ข้าวของตามที่ผู้เป็นท่านยายสั่งความไป ทางด้านเผยหว่านอีนั้นเดินเอาทุกสิ่งที่ตนเองซื้อมาวางลงบนโต๊ะกลางห้องเพื่อจะคัดแยกว่าจะมีส่วนใดนำไปเก็บในห้องครัวและสิ่งใดควรแยกไว้ในห้องนอนหรือห้องเก็บของบ้าง
“มื้อนี้เรากินตุ๋นไก่กันนะเจ้าคะ มีผักหวานอีกหนึ่งอย่าง”
เมื่อเย็นนี้ได้ไก่ตัวอ้วนมาหนึ่งตัวจึงยอมควักเงินที่เหลือเพียงพันแปดร้อยตำลึงเงินเท่านั้น เพราะเสียไปกับการจ้างรถม้าเดินทางมาไกล กับไหนจะค่าจ้างช่างมาซ่อมแซมจนบ้านนี้สามารถกลับมาพักอาศัยได้อีกครั้งจึงหมดไปไม่น้อย ไหนจะเป็นค่าหมอและค่ายาสมุนไพรในช่วงที่ร่างกายนี้ป่วยหนักอีก
นับจากนี้นางต้องเป็นผู้นำครอบครัวจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หนึ่งจะต้องรู้จักแบ่งสัดส่วนของเงินเก็บ เงินใช้จ่าย แล้วจะต้องมี ‘เงินฉุกเฉิน’ ในวันที่ครอบครัวเกิดเหตุไม่คาดฝันอีก ดังนั้นในมื้อค่ำนี้นางจึงเอ่ยปรึกษามารดาหรือแท้จริงคือ ‘ท่านป้า’ เรื่องการที่นางคิดจะทำการค้าโดยริเริ่มจากการทำเหล่าพวกขนมหรืออาหาร เพราะคนเราหนึ่งวันอย่างน้อยมันต้องกินอาหารกันทุกคนอยู่แล้วขายอาหารย่อมดีที่สุด
“อืม...ความคิดดี...ความคิดดีจริง ๆ ...” นางเฉียวซื่อได้ฟังความคิดของบุตรสาวก็ชื่นชม เพราะนางคิดตามนั้นก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง คนเรามีผู้ใดบ้างไม่กินอาหารและน้ำพอเผยหว่านอีมาปรึกษาก็จึงเห็นดีด้วยทันที
“ข้ามีสูตรติ่มซำ ซาลาเปาและหมั่นโถวของสกุลเฉียวในอดีตติดกายมาบ้างเจ้าสนใจจะศึกษาแล้วลองทำไปวางขายบ้างดีหรือไม่เล่า? หว่านหวาน”