ตอนที่10 เลขามาเฟีย
ก๊อก
**! ก๊อก! ก๊อก! **
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังขึ้น อัลฟาร์โน่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ แหงนหน้ามองนาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาแปดโมงตรง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาได้นัดกับผู้จัดการสาวของไร่และนับเป็นครั้งแรก ที่จะได้พูดคุยกันอย่างเป็นทางการ กับหญิงสาวที่มารดาของเขาไว้วางใจให้รับตำแหน่งสำคัญหลังจากวันก่อนได้ซักถามประวัติความเป็นมาของเธอจากมารดาของเขามาแล้วคร่าวๆ
“เข้ามาได้” คนในห้องพูดขึ้นด้วยภาษาอังกฤษเสียงดัง
“สวัสดีค่ะ” ศรัญชญาทักทายคนตรงหน้า พร้อมกับมองหน้าเจ้านายหนุ่มอย่างประเมินเป็นหนแรกที่ได้มองหน้าของเขาโดยปราศจากสายตาคมของฝ่ายนั้นจ้องอยู่ ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มท่าทีสง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม คิ้วของเขาดกหนาพาดเฉียงไปบนดวงตาสีสนิมกล้ากำลังขมวดมุ่นอยู่กับจอพีซีบนโต๊ะทำงาน หญิงสาวไม่แน่ใจนักว่าชายหนุ่มเรียกตัวเธอมาเพื่อพูดเรื่องอะไร การที่เจ้านายคนใหม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารกับเธอ ไม่ใช่ปัญหาของหญิงสาวแม้แต่น้อย แม้ว่าจะต้องรื้อฟื้นกันบ้างนิดหน่อยเนื่องจากห่างหายการใช้งานไปนานพอสมควร
“เชิญนั่ง” ชายหนุ่มกล่าวคำเชิญโดยที่สายตายังจับจดอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ จนหญิงสาวชักไม่ค่อยสบอารมณ์กับคนตรงหน้า ที่ดูจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเธอเท่าไหร่นัก
“มีอะไร ให้ดิฉันรับใช้หรือคะ”
ศรัญชญาแหงนหน้ามองเจ้านายหนุ่มเต็มๆ ตา หญิงสาวจ้องผู้ชายตรงหน้าเหมือนถูกสะกด ‘หล่อเป็นบ้า’ จมูกโด่ง คิ้วหน้าสีน้ำตาลเข็ม ปากหยักได้รูป ใบหน้าของเขาราวกับว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าบรรจงปั้นแต่งขึ้นมาให้เป็นผลงานชิ้นยอด เธอนั่งบิดมือไปมาอยู่ใต้โต๊ะก้อนเนื้อในอกเต้นโครมครามยิ่งกว่าครั้งก่อนที่ได้ไปเยี่ยมนางดารินทร์ด้วยกันที่โรงพยาบาลซะอีก
“ฉันจะแจ้งว่า…ฉันจะเลื่อนการทดลองงานของเธอออกไปอีกสามเดือน ระหว่างนี้ฉันมีสิทธ์เชิญเธอออกได้ทุกเมื่อ ตามที่เห็นสมควร”
“อะ… อะไรนะคะ!? แต่คุณป้า เอ่อ…คุณดารินทร์ท่านรับฉันเข้าทำงานแล้วคุณจะมาทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ” หญิงสาวเสียงกร้าวลุกขึ้นยืนมองหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งจะนึกชมอยู่ในใจอย่างเอาเรื่องหลังจากนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีกับประโยคคำพูดของผู้ชายตรงหน้า รูปร่างหน้าตาของเขาช่างขัดกับความคิดและนิสัยใจคอราวกับฟ้ากับเหว ทั้งที่เมื่อวานเขาก็เพิ่งรับปากคุณป้าดารินทร์ของเธอเป็นมั่นเป็นเหมาะอยู่แท้ๆ ว่าจะดูแลเธอ แล้วอะไรกันนี่เพิ่งจะผ่านมาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเองดูเขาทำกับเธอสิ!
“ฟังให้ดีนะคุณศรัญชญา ตอนนี้ฉันดูแลที่นี่ถ้าเธอไม่พอใจจะลาออกตอนนี้เลยก็ได้นะใบลาออกอยู่ในแฟ้มโน้นฉันยินดีจะเซ็นให้พร้อมกับอนุมัติในทันที” คนพูดพยับเพยิบหน้าไปทางตู้เก็บเอกสาร
ในขณะที่คนฟังหัวตากระตุก มือเล็กๆ กำแน่นค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง การรับมือกับผู้ชายคนนี้ดูท่าว่าไม่ง่ายนักแต่อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมแพ้ง่ายๆ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ด้วยการนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“ค่ะเจ้านาย… ฉันจะทำตามทุกอย่างที่คุณสั่ง” น้ำเสียงเธอยังสั่นๆ ด้วยความไม่พอใจทั้งที่พยายามควบคุมมันเอาไว้แล้ว หญิงสาวมองใบหน้าคมคายที่ปรากฏเส้นโค้งขึ้นอย่างพึงพอใจของเขา
“ดี งั้นกลับไปทำงานของเธอได้แล้ว ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจากนี้ฉันจะเรียกให้มาพบอีกที”
อัลฟาร์โน่ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้า สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวอมชมพู ริมฝีปากบาง ซึ่งตอนนี้เม้มเข้าหากันอย่างไม่พอใจ คิ้วโค้งรับกับดวงตาคู่สวยที่ประดับด้วยขนตายาวงอนอย่างเป็นธรรมชาติที่เวลานี้มองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามบนใบหน้าของเธอลงแม้แต่น้อย แหละคล้ายมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับชายหนุ่ม ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเจอกับสาวสวยมาก่อนหากแต่หญิงสาวเบื้องหน้า สามารถสะกดสายตาคมกล้าของเขาให้จับจ้องอยู่กับเธออย่างไม่อยากละสายตา ทรวงอกอวบอิ่มที่ไหวยวบยาบขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่อยู่ในอารมณ์โกรธกรุ่นของเธอ ไปกระตุ้นความต้องการที่ซ่อนอยู่ในตัวของชายหนุ่มให้ร้อนวูบวาบหิวกระหาย สัตว์ร้ายในตัวถูกปลุกขึ้นมาจากความมืด ส่งผลให้เกิดอาการคับแน่นในจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมที่จะขย้ำร่างบางตรงหน้าและฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ดูขัดหูขัดตานั่นออกไปจากร่างของเธอได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มต้องสะกดกลั้นความรู้สึกของอารมณ์ปรารถนาที่เกิดผิดที่ผิดเวลาด้วยความยากลำบาก
“คนบ้า! หน้าตาก็ดีแต่นิสัยแย่ชอบวางอำนาจ” หญิงสาวบ่นอุบอิบเป็นภาษาไทยซึ่งเธอคิดว่าอีกฝ่ายคงฟังไม่รู้เรื่อง
“เธอพูดอะไร?” คิ้วสีน้ำตาลเข้มย่นเข้าหากัน
“อ๋อ… ฉันบอกว่ารับทราบค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินออกมาอย่างรวดเร็วโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามหลังไปด้วยแววตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกได้ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก คิดไม่ตกว่าทำไมหญิงสาวเมื่อครู่ถึงได้ทำให้เขากลายเป็นไอ้พวกหื่นกามขึ้นมาได้ แต่การจากได้พูดคุยกับเธอเขาก็พอจะประเมินได้ว่าแม่สาวรูปร่างอ้อนแอ้นนี่ไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน…
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณเอ๋ย”
นายอำนวยทำหน้ายิ้มๆ ถามขึ้นหลังจากสังเกตเห็นคนเคยอารมณ์ดีหน้าบูดมาตั้งแต่เช้า จนคนงานหลายคนเข้าหน้าไม่ติด ซึ่งผิดกับบุคลิกของผู้จัดการสาวสิ้นเชิงที่ปกติแล้วจะเป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าไม่เง้าตาขวางเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมาแบบนี้
“เหม็นขี้หน้าคนบางคนน่ะค่ะคุณลุง เหม็นมากด้วยคนขี้เก็ก”
หญิงสาวพูดพลางใช้คราดเสียบฟางแล้วโยนเข้าไปในคอกม้าฉับๆ คล้ายกับต้องการออกกำลังเพื่อระบายความโกรธที่เหมือนไฟสุมอกให้เบาบางลง อำนวยเลิกคิ้วมองหน้าหญิงสาวแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ดูภายนอกศรัญชญาอาจจะดูเข้มแข็งปราดเปรียวและมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ยังไงสรีระร่างกาย หรือหัวจิตหัวใจเธอก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเปรียบกับคนภายนอกในวัยเดียวกันแล้วคงจะยังไม่ประสาด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเธอ ศรัญชญาสูญเสียมารดาตั้งแต่เธอเรียนอยู่ในชั้นปีที่สามในมหาลัยของรัฐบาลด้วยโรคมะเร็ง นับแต่นั้นมาเธอก็ต่อสู้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทำงานส่งเสียตัวเองและเลี้ยงดูน้องสาวที่มีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิด
“ใครทำให้คุณเอ๋ยหงุดหงิดครับบอกไอ้ชายมาเลย เดี๋ยวชายจะไปชกหน้ามันให้” ชาติชายเอ่ยแทรกขึ้น หน้าตาเคร่งขรึมจริงจัง ชาติชายเป็นคนตัวใหญ่ล่ำสันบึกบึนสมชายไทย ผิวสีแทนเหมือนอำนวยบิดาของเขา
“อย่าซ่าให้มากนักไอ้ชาย!” อำนวยพูดปรามลูกชายคนโตด้วยน้ำเสียงเอือมระอา ชายชาติเป็นลูกติดภรรยาเก่าของเขาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ชาติชายอายุเพียงสิบขวบด้วยโรคประจำตัว นอกจากนิสัยทำเป็นกร่างของลูกคนนี้แล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็ภูมิใจในตัวชาติชายอยู่ไม่น้อยด้วยความขยันขันแข็ง เอางานเอาการและมีน้ำอดน้ำทน ไม่ทำตัวไร้สาระไปสุ่มหัวอยู่กับเพื่อนขี้ยาหรือติดเหล้าเคล้าการพนันเหมือนลูกชายคนงานบางคน
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ขอบใจนะชาย” ศรัญชญากล่าวพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนต่างสถานะของเธอ
ชาติชายเป็นเพื่อนที่ดีของเธอตลอดเวลาที่อยู่ในไร่แห่งนี้ ด้วยอายุอานามที่ไม่ห่างกันมากนัก จนหลายคนเคยเข้าใจผิดกับความสำพันธ์ของคนทั้งสองมาแล้ว แต่หญิงสาวเองก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ด้วยรู้ว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
เพราะเธอล่วงรู้ความลับบางอย่างของเพื่อนคนนี้ ความลับในมุมที่น่ารักผิดกับกิริยาภายนอกที่เจ้าตัวชอบแสดงออกเพื่อ
ปกปิดบางอย่างเอาไว้
ความลับของเพื่อนชายใจสาว…
กล้องวงจรปิด****CCTV หลายสิบตัวถูกนำมาติดตั้งบริเวณหลายจุดสำคัญของไร่อัศวพงษ์
พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าใหม่หลายคน เดินตรวจตราเป็นระยะทั้งกลางวันและกลางคืน คนงานในไร่ถูกเคอร์ฟิวห้ามไม่ให้ออกมาจากที่พักหลังเวลาห้าทุ่มด้วยข้ออ้างเกี่ยวกับความปลอดภัย อัลฟาร์โน่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องทำงานประชุมกับหุ้นส่วนสำคัญด้วยการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม (วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์)
ไซมอร์นและเดย์ส่งข้อมูลความคืบหน้ากลับมาเป็นระยะ ขณะที่นางดารินทร์ถูกส่งตัวไปพักฟื้นต่างประเทศด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอัลฟาร์โน่ ในขณะที่เขาอยู่ในประเทศไทยมีผู้ทรงอิทธิพลหลายคนในประเทศโทรมาหาเขาแทบไม่เว้นแต่ละวันเพื่อหวังคุยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่พวกคนเหล่านั้นอยากจะสานสัมพันธ์กับมาเฟียหนุ่ม แต่เขาก็หาเหตุผลเพื่อบอกปัดไปตลอดด้วยข้ออ้างในเรื่องเวลาสารพัด แต่คราวนี้ดูจะเป็นข้อยกเว้น ชายหนุ่มหยิบการ์ดเชิญสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะมาหลายวันขึ้นดูและวางมันลงในเวลาต่อมา ก่อนคว้าโทรศัพท์ต่อไปยังปลายสายทันที
“สวัสดีค่ะ… เจ้านาย” เสียงใสจากปลายทางดังขึ้น แฝงแววประชดเล็กๆ ในน้ำเสียง
“ค่ำนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยงในตัวเมืองและต้องการให้เธอไปด้วย รถจะออกจากไร่เวลาหกโมงเย็น ตรงต่อเวลาด้วย ฉันไม่ชอบรอใคร” พูดจบประโยคปลายสายก็ตัดไปเหมือนเคยโดยไม่ได้ปล่อยโอกาสให้หญิงสาวพูดโต้แย้งใดๆ
“อะไรนะคะ! แต่ฉัน ฮัลโหลๆ ๆ! คนอะไรไม่มีมารยาทพูดๆ ๆ แล้วก็วางไม่เคยฟังคนอื่นบ้าง” หญิงสาวบ่นอุบ คิ้วสวยพุ่งเข้าชนกัน ยกแขนเรียวขึ้นมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบสี่โมงเย็น
“ตายล่ะ เหลืออีกสองชั่วโมงเนี่ยนะ”
ผู้จัดการสาวแห่งไร่อัศวพงษ์เรียกอำนวยเข้าไปหาบอกภารกิจด่วนจี๋ของเธอพร้อมทั้งฝากงานที่กำลังทำค้างอยู่ แล้วคว้าจักรยานถีบออกมาเร็วป๋อ ปากก็บ่นพึมพรำมาตลอดทาง งานอะไรก็ไม่บอกแล้วชุดเสื้อผ้าที่มีในตู้เสื้อผ้าของเธอก็มีแต่กางเกงยีน และเสื้อเชิ้ตแขนยาวทั้งนั้นเพราะคิดว่าอยู่แต่ในไร่ คงไม่ได้ออกงานสังคมอะไรเป็นพิเศษ คิดถึงหน้าจอมเผด็จการขึ้นมาแล้วก็อดที่จะอารมณ์เสียไม่ได้ ตลอดสามวันที่ผ่านมาเธอพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเลี่ยงไม่ให้เจอหน้าหล่อปานเทพบุตรแต่เย็นชาเหมือนรูปสลักนั่น ด้วยการทำงานอยู่แต่ในไร่ทั้งวัน
สมัยตอนที่ยังเป็นนักศึกษามีชายหนุ่มมากมายแวะเวียนมาขายขนมจีบให้เธอไม่เว้นแต่ละวันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ยังไม่รวมพวกหัวงูที่ทำงานตอนเธอไปเป็นพนักงานเสริ์ฟหลังเลิกเรียนอีก ด้วยหญิงสาวเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่ง
‘ก็แหมเป็นถึงดาวคณะ อ่ะนะ
’ น้องสาวของเธอมักพูดบ่อยๆ เมื่อเธอเล่าถึงบรรดาชายหนุ่มที่พยายามเข้ามาสานสำพันธ์ด้วย แต่ก็แปลกที่ยังไม่เคยมีใครทำให้เธอหงุดหงิดและใจเต้นโครมครามเท่ากับเจ้านายคนนี้ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายขี้เก๊กหน้าหล่อนั้นหญิงสาวกลับหวั่นไหววาบหวิวในหัวอกหัวใจอย่างประหลาด
ผู้จัดการสาวรีบตรงกลับมายังบ้านพักหยิบรื้อชุดโน้นชุดนี้ในตู้เสื้อผ้าหลังย่อมของเธอออกมาดูชุดแล้วชุดเล่า ก่อนจะนั่งถอนใจเสียงดังที่ปลายเตียง ก็ในตู้เสื้อผ้าของเธอมีแค่ชุดนอน ชุดไปรเวทและชุดทำงานเท่านั้น ไอ้พวกชุดกระโปรงสีหวานหรือชุดราตรีหรูหราเธอไม่เคยได้ใส่มันหรอก เนื่องด้วยไม่เคยเห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้มันมาก่อน
‘เชอะ! งั้น ฉันก็จะใส่ชุดนี้แหละ
’ ใบหน้าสวยเปื้อนรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อคิดแผนที่จะแก้เผ็ดจอมเผด็จการที่เอาแต่ใจ นึกจะสั่งอะไรก็สั่งโดยที่ไม่ให้เวลาเธอได้เตรียมตัวเลยสักนิด…
“กี่โมงแล้วแดน” อัลฟาร์โน่ถามขึ้นในขณะที่นั่งกอดอกอยู่เบาะหลังรถยนต์คันหรู ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
ทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยดูเข้มขึงขึ้นอีกเท่าตัวก็จนป่านนี้คนสำคัญของมารดาเขายังไม่ย่างกรายมาสักที ทั้งที่เขานัดเธอพร้อมระบุชัดเจนในเรื่องเวลา
“ห้าโมงห้าสิบเก้าครับ” คนขับรถในชุดสูทสีดำพูดหลังก้มดูเครื่องบอกเวลาที่ข้อมือ เพียงอึดใจก็ปรากฏร่างหญิงสาวมายืนอยู่ข้างประตูรถตรงข้ามคนขับด้วยชุดแต่งกายเสื้อลายสก๊อตสีส้มกางเกงยีนรัดรูปสีดำ คาดทับด้วยเข็มขัดสีน้ำตาลและรองเท้าหนังสีเดียวกัน
“ขออนุญาตค่ะ” เธอกล่าวน้ำเสียงใสซื่อเปิดยิ้มน้อยๆ กวนหน่อยๆ เอื้อมมือเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับ โดยไม่รอคำอนุญาตจากคนหน้าเฉยที่มองมาด้วยแววตาตำหนิ อัลฟาร์โน่หลับตาพ่นลมหายใจออกมาเสียงดังเมื่อเห็นชุดที่ผู้จัดการสาวสวมใส่เขาจ้องเธอเขม็งทว่าอีกฝ่ายกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อนขึ้นมานั่งเงียบกริบคู่กับแดนคนขับรถมิหนำซ้ำยังทำลอยหน้าลอยตาใสซื่อเกินเหตุ นี่สงสัยว่าอยากจะลองดีกับเขาซะกระมัง ก็ได้แล้วเราจะได้เห็นดีกัน อัลฟาร์โน่คิดอยู่ในใจ
“ไปได้แล้วแดน”