ตอนที่6 ความวุ่นวาย

2234 คำ
ตอนที่6 ความวุ่นวาย “เรื่องแม่ของนาย ฉัน... เสียใจด้วยนะอัลฟาร์โน่ แต่! ฉันทำเรื่องขอเป็นแพทย์ผู้แลคุณป้าดารินทร์จากหมอเจ้าของไข้แล้วนะ โทษทีวะที่เพิ่งจะปลีกตัวมาหาแกได้สองวันมานี่เจอเคสหนักๆ ทั้งนั้น” ธีระดนย์ตบไหล่เพื่อนหนุ่มคืนอย่างปลอบใจก่อนหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาทำนองจะปรึกษาหารือด้วยกันกับเพื่อนที่กำลังตกอยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่ปกตินัก “ไม่เป็นไรหรอไอ้หมอฉันเข้าใจ แล้วตอนนี้อาการแม่ฉันเป็นไงบ้าง” “ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะอีกสามสี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็คงต้องพักฟื้นสักระยะ ว่าแต่แก เถอะพักผ่อนบ้างล่ะ หน้าตาแกดูโทรมๆ ไปนะ” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับบ่าของเพื่อนรัก อัลฟาร์โน่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเนือยๆ ให้ ยอมรับว่าเขาแทบจะไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากความเป็นห่วงมารดา ที่ต้องมารับเคราะห์จากศัตรูของเขา “ขอบใจมากไอ้หมอแต่ฉันยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกเยอะเลยวะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานที่ฉันต้องทิ้งมากะทันหัน เรื่องของไร่นี่และที่สำคัญที่สุดก็เรื่องของคุณแม่ฉัน” มาเฟียหนุ่มกัดฟันกรอดจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมาบริเวณขมับ “ใครก็ตามที่มันทำกับแม่ฉัน มันจะต้องได้รับบทเรียนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต” ชายหนุ่มขบกรามกรอด “ใจเย็นๆ อัลฟาร์โน่ ฉันว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ คนชั่วมันต้องได้รับกรรมของมันเข้าสักวันนั่นล่ะ” “หึ! ตำรวจจะทำอะไรได้วะไอ้หมอถ้าพวกมันเกรงกลัวกฎหมายก็คงไม่ลงมืออุกอาจแบบนี้หรอกใช่! เหมือนที่แกพูดนั่นแหละคนชั่วมันต้องได้รับกรรมของมัน แต่ฉันนี่แหละจะทำหน้าที่ส่งกรรมแบบติดจรวดให้พวกมันเอง” มาเฟียหนุ่มพูดเสียงกร้าวอย่างอาฆาต แววตาลุกโชติด้วยเพลิงแค้นแน่นอก “ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อน ฉันเชื่อว่าคุณป้าท่านก็คงไม่อยากให้แกทำอะไรบุ่มบ่ามลงไปในตอนนี้หรอกนะ เดี๋ยวมันจะได้ไม่คุ้มเสียถ้าเป็นฉันแล้วมีใครมาทำกับคนที่ฉันรักแบบแกฉันก็คงโมโหและโกรธมากเหมือนกัน แต่ฉันอยากให้แกตั้งสติแล้วคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ ก่อนจะลงมือทำอะไรลงไป” “ขอบใจที่เตือนสติฉันนะไอ้หมอ” แสงในตาของอัลฟาร์โน่อ่อนลงทว่าไม่ใช่เพราะเขาคิดจะลามือแต่อย่างใด หากแต่เพราะไม่อยากเพื่อนหนุ่มพลอยเป็นกังวลไปด้วยก็เท่านั้น “ฉันอาจจะช่วยอะไรแกไม่ได้มากหรอกนะ แต่ถ้าแกคิดว่ามีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ขอให้บอกมาแค่คำเดียวถึงบุกน้ำลุยไฟฉันก็จะทำเพราะคุณป้าท่านก็ดีกับฉันมากเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง” อัลฟาร์โน่ตบบ่าเพื่อนแรงๆ สบตากันด้วยความซาบซึ้ง “เอ้อนี่ ไหนๆ แกก็มาแล้ว ยังไงก็อยู่กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนซิฉันมีเรื่องอะไรจะคุยกับแกเยอะเลย” เจ้าของบ้านเอ่ยชวนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้วอย่างกระตือรือร้น “ได้ซิเพราะฉันเองก็มีเรื่องจะเล่าให้แกฟังเยอะเลยเหมือนกัน” บรรยากาศที่ตึงเครียดมาหลายวันพอจะทำให้อัลฟาร์โน่หัวเราะออกมาได้บ้างเบาๆ ด้วยการสนทนากับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน จากนั้นสองหนุ่มก็ผลัดกันซักผลัดกันเล่าชีวิตความเป็นมาในช่วงที่ห่างหายกันจนหายคิดถึง จนกระทั่งได้เวลาทานอาหารเช้า จึงได้ย้ายวงสนทนาไปคุยกันต่อจนคนเพิ่งมาเหยียบเมืองไทยได้ไม่นาน รู้สึกอิ่มที่หัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่อย่างน้อยนอกจากผู้เป็นมารดาที่รักเขาอย่างมากแล้ว ที่นี่เขาก็ยังมีเพื่อนซึ่งรักเขาไม่เคยเปลี่ยนอยู่ด้วยอีกคน คนงานชายหญิงเกือบห้าสิบคน มาชุมนุมกันอยู่หน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ ที่ใช้เป็นสำนักงานของไร่อัศวพงษ์ ผู้คนทั้งหมดต่างส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนายหญิงของไร่ ที่ถูกลอบทำร้ายอีกทั้งยังรู้ถึงการกลับมาของลูกชายเจ้าของไร่จึงมารวมตัวกันเพื่อสอบถามรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่คนงานส่วนหนึ่งก็ชักเริ่มคิดถึงสวัสดิ์ภาพของตนเองว่าตัวเองอาจจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจ ซ้ำยังมีข่าวลือแพร่สะบัดออกไปจากผู้ไม่หวังดีว่าพวกคนงานในไร่จะตกเป็นเป้าหมายต่อไป จึงทำให้พวกเขาคิดว่าตนเองอาจไม่ปลอดภัยจึงทำให้เกิดความสับสนในหมู่ของบรรดาคนงาน “นี่ขนาดนายผู้หญิงที่มีคนคอยคุ้มกันหลายคนยังถูกยิงอาการปางตาย แล้วคนงานธรรมดาอย่างพวกเราจะวางใจได้ยังไงวะ เผลอๆ กำลังทำงานอยู่ดีๆ เสือกมีลูกปืนจากไหนไม่รู้วิ่งมาใส่หัวเลือดสาดล้มดิ้นกระแด่วๆ ตายห่าไปแล้วใครจะรับผิดชอบจริงไหมพวกเรา เราต้องการค่าแรงเพิ่มและความมั่นใจว่าจะปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตลอดเวลาที่อยู่ในไร่นี้ ใครเห็นด้วยกันฉันบ้าง” ไอ้เดชหัวโจกกำลังปลุกระดมคนงานให้ลุกฮือขึ้นมา “ใช่ๆ พี่เดชพูดถูก ถ้าพวกเราเป็นอะไรไปแล้วลูกเมียของเราจะอยู่ยังไง” ไอ้วันคู่หูร้องสนับสนุนกันเป็นทอดๆ จนบรรดาพวกคนงานหลายคนเริ่มคล้อยตามส่งเสียงดังมากขึ้น “พวกมึงกำลังทำอะไรวะไอ้เดช/ไอ้วัน” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่เดินแทรกคนงานเข้ามาหาตัวหัวโจก คนงานที่ส่งเสียงร้องสนับสนุนเมื่อครู่เงียบกริบลงเมื่อเห็นคนมาใหม่อันเป็นบุคคลที่ได้รับความเกรงอกเกรงใจในตำแหน่งหัวหน้าคนงานในไร่อัศวพงษ์แห่งนี้ “ฉันก็ออกมาเรียกร้องสิ่งที่สมควรได้รับไงล่ะลุงนวยจริงไหมพวกเรา” ไอ้เดชพยายามเรียกเสียงสนับสนุนอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ทุกคนเงียบกริบมองหน้าหัวหน้าคนงานที่กวาดสายตามองมายังพวกตนด้วยสายตาผิดหวัง “แล้วทุกวันนี้นายหญิงไม่ดีกับพวกเราหรือไง… มีเจ้าของไร่ที่ไหนในละแวกนี้ที่ให้ที่อยู่ที่กินฟรีให้เงินทุนการศึกษาลูกหลานของเราให้ค่าแรงที่มากกว่าไร่อื่น โตจนหัวหงอกแล้วคิดกันไม่เป็นหรือไงถึงได้ให้ไอ้เดชมาปั่นหัวร้องโหวกเหวกน่ารำคาญอยู่นี่แทนที่จะไปทำงานตอบแทนบุญคุณของนายหญิงที่ท่านเมตตา” หลายคนมองหน้ากันเลิกลั่กก่อนจะส่งเสียงเข้าข้างนายอำนวยหัวหน้างานเป็นเสียงเดียวกัน เพราะต่างรู้อยู่แก่ใจกันดีว่านางดารินทร์ให้ความเป็นกันเองกับบรรดาคนงานทุกคนไม่เคยวางตัวกับพวกเขาเหมือนนายจ้างกับลูกจ้าง มีบ้านพักให้พวกคนงานที่บ้านไกลได้พัก มีโรงเลี้ยงอาหารสำหรับคนงานกินฟรีโดยไม่ได้หักค่าแรงสักบาท “อ้าวแล้วกัน! ทำไมมาว่าฉันอย่างงั้นล่ะลุงนวย ฉันก็แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเราทุกคนแค่นั้น” หัวโจกเริ่มโวยเมื่อรู้สึกว่ามันกำลังถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงเรื่อยๆ “มึงหยุดพล่ามเลยไอ้เดชสิ่งที่มึงกับไอ้วันกำลังทำเนี่ยเขาเรียกว่าก่อกวน” อำนวยชี้หน้าส่งเสียงดังจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อนลง “อันที่จริงตอนแรกพวกเรามาก็แค่อยากมาฟังข่าวอาการของนายผู้หญิงเท่านั้นแหละละจ้ะลุงนวย ได้ข่าวว่าลูกชายท่านกลับมาหลายวันแล้วก็เลยอยากมาถามอาการไม่ได้มีเจตนามาก่อความเดือดร้อนอะไรหรอกจ้ะ แต่ไอ้เดชกับไอ้วันนี่แหละมาปลุกระดมให้พวกเราสับสนไปหมด” หญิงสาวร่างอวบที่ทำงานอยู่ในโรงเลี้ยงเอ่ยแทรกขึ้น “อ้าวอีพรเดี๋ยวเถอะมึงปากดีนัก” หัวโจกอารมณ์ขึ้นมองหน้าหญิงสาวแม่ครัวประจำไร่ด้วยความไม่พอใจ “กูพูดเรื่องจริงมึงจะทำไมกูไอ้เดชห๊ะ!” แม่สาวพรเท้าเอวเชิดหน้ามองไอ้เดชอย่างไม่เกรงกลัว “หยุดๆ ๆ ทั้งสองคนนั่นแหละโตๆ กันแล้วทั้งนั้นอย่ามาทะเลาะกันเป็นเด็กๆ เอายังงี้ใครมีอะไรอยากสอบถามก็มาบอกฉันนี่ เดี๋ยวฉันจะเป็นตัวแทนของพวกเราเข้าไปถามลูกชายของนายผู้หญิงให้ก็แล้วกัน” หัวหน้าคนงานรับอาสา พอเขารับฟังพร้อมทั้งพูดคุยปัญหาต่างๆ กับคนงานได้สักพัก หัวหน้าคนงานแห่งไร่อัศวพงษ์ก็ตรงเข้าไปรอพบกับลูกชายเจ้าของไร่ในทันที โดยให้คนที่เหลือรอฟังข่าวอยู่ด้านนอกเพื่อกันความวุ่นวาย “นายอำนวย หัวหน้าคนงานในไร่มาขอพบครับเจ้านาย” ไซมอร์นเข้ามาบอกเจ้านายหลังจากออกไปเจรจาสอบถามกับกลุ่มคนที่ก่อหวอดอยู่ด้านนอก ถึงจุดประสงค์การมารวมตัวของพวกเขาจึงได้เข้ามารายงานให้เจ้านายทราบ “ให้เข้ามา” มาเฟียหนุ่มเงยหน้าบอกกับลูกน้องคนสนิท เขานั่งนิ่งไม่รู้สึกสะทกสะท้านตื่นตระหนกเลยสักนิดกับ เสียงดังอึกทึกของผู้คนด้านนอกดวงตาคมมองดูชายไทยผิวเนื้อสีดำแดงรูปร่างล่ำสันผมยักศกอายุราวสี่สิบห้าปี ผิวหน้ากร้านแดดลมประสาชาวไร่เดินตามหลังไซมอร์นเข้ามา หัวหน้าคนงานยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าอย่าอ่อนน้อมและดูเป็นมิตร แต่บางอย่างในตัวของผู้มาใหม่มีท่าทางสุขุมลุ่มลึกต่างจากคนงานทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด “สวัสดีครับนาย ผมชื่ออำนวยครับเป็นหัวหน้าคนงานที่นี่” ชายฉกรรจ์ผมสีดอกเลา ใบหน้ากร้านกรำแดดผิวสีเข้มมองคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างไม่แน่ใจนักว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง ด้วยตัวเขาเองก็ไม่ได้จบการศึกษามาสูงมากมายนัก ซ้ำยังไม่เคยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับบุตรชายของเจ้าของไร่สักเท่าไหร่อำนวยรู้เพียงว่าชายหนุ่มลูกครึ่งผู้นี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศและนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าพบลูกชายของนางดารินทร์เพียงลำพัง และก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินนางดารินทร์สนทนากับลูกชายด้วยภาษาต่างประเทศที่เขาฟังไม่ออกมาก่อนด้วย อำนวยเป็นคนในท้องที่และกว้างขวางพอสมควร เพราะตอนเป็นหนุ่มรักในทางนักเลงหัวไม้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทั้งยังเป็นคนจริงซื่อสัตย์สุจริตจึงได้รับความไว้วางใจจากนางดารินทร์ ให้เป็นหัวหน้าคุมคนงานในไร่อัศวพงษ์มาตั้งแต่ก่อตั้งไร่แห่งนี้ใหม่ๆ “สวัสดีครับ มีเรื่องอะไรกันครับคุณอำนวย” ชายหนุ่มหน้าตาฝรั่งจ๋าพูดภาษาไทยชัดแจ๋ว จนคนฟังทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอกที่ภาษาไม่ได้เป็นปัญหาอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ “นายพูดภาษาไทยได้” อำนวยฉีกยิ้มกว้าง “เอ่อ… คนงานในไร่เขาเป็นห่วงนายหญิงกันนะครับ อยากรู้ว่าตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเพราะว่ามีบางส่วนไปที่โรงพยาบาลมาแล้วแต่คนของนายกันไว้ไม่ได้พวกเขาเข้าเยี่ยมก็เลยพากันเป็นห่วง และก็มีข่าวลือเกี่ยวความไม่ปลอดภัยของพวกเราด้วยครับ ผมว่าน่าจะมีคนปล่อยข่าวทำให้พวกเราระส่ำระส่ายจนมีหลายคนมาขอลาออกกับผมเนื่องจากกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยน่ะครับนาย” “ตอนนี้คุณแม่ฉันปลอดภัยแล้วล่ะคุณอำนวยไปบอกพวกคนงานว่าไม่ต้องเป็นห่วง ระหว่างที่ท่านพักฟื้นฉันจะเข้ามาดูแลงานในไร่แทนจนกว่าท่านจะหายดี ส่วนเรื่องความปลอดภัยของพวกเราที่นี่ฉันจะดูแลให้เข้มงวดยิ่งขึ้น บอกพวกคนงานให้วางใจได้ใครมีหน้าที่ทำอะไรก่อนหน้านี้ก็ให้ทำตามปกติ ช่วงนี้เราต้องเข้มงวดเรื่องการเข้าออกไร่หน่อยนะคุณอำนวยบอกคนงานให้พวกคนงานช่วยกันสอดส่องดูแลด้วย ถ้าเห็นคนแปลกหน้าหรืออะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบมารายงานฉันทันที อ้อแล้วพรุ่งนี้ฉันอยากจะออกไปดูรอบๆ ไร่สักหน่อยคงต้องวานให้คุณอำนวยพาไป” “ได้ครับนาย! งั้นผมขอตัวนะครับพวกคนงานรออยู่ข้างนอกผมจะไปชี้แจงให้พวกเขารู้จะได้สบายใจกัน” พูดจบหัวหน้าคนงานค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไป เพียงครู่เดียวก็มีเสียงคนงานโห่ร้องอย่างดีใจ แล้วก็สลายตัวกันไปในเวลาต่อมา “ไซมอร์นนายช่วยไปสืบหาข้อมูลของนายอำนวยคนนี้มาให้ฉันหน่อย พื้นเพเป็นคนที่ไหน นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ฉันว่าบางทีหนอนบ่อนไส้มันอาจหลบอยู่ในนี้ก็ได้ตอนนี้ฉันยังไม่อยากไว้ใจใครทั้งนั้น” “ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดครับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม