4.2 ตะพาบน้ำ

2404 คำ
คราวนี้ได้ผลขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อคนหลับกลับลืมตาขึ้นมาฉับพลัน เด้งตัวลุกขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด เมื่อครู่นี้เขารู้สึกตัวแล้วแต่ไม่มีแรงพอที่จะขยับตัวหรือลืมตาขึ้นมา ทว่าคำพูดที่และเสียงลับมีดกลับทำให้เขาเผลอนึกไปว่าถูกชนเผ่ากินคนพาตัวกลับมาจริงๆ ! เขาเบิกโพลงอย่างตกใจราวกับเห็นผี แต่บาดแผลที่สีข้างทำให้เขาต้องนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ครั้นชายหนุ่มยกมือขึ้นมาจึงเห็นว่านิ้วมือทั้งสิบถูกพันแผลเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทิ้งไว้เพียงความเจ็บแสบที่คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะหายดี “ข้าสู้อุตส่าห์เจียดเงินส่วนตัวมาเป็นค่ารักษาให้เจ้า หากเจ้ากล้าทำแผลฉีกอีก คราวนี้ข้าคงไม่มีเงินพอจะช่วยเจ้าอีกครั้งหรอกนะ” น้ำเสียงสบายอารมณ์กับรอยยิ้มบางกลับได้ผลยิ่งกว่าการข่มขู่แบบเอาดาบมาจ่อที่คอเสียอีก ร่างกำยำพอจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายได้ช่วยเหลือตนไว้ก็ผ่อนคลายลง จับจ้องผู้ช่วยเหลืออย่างไม่วางตา ไม่ว่าเขาจะดูอย่างไรก็เห็นว่าอีกฝ่ายเด็กกว่า แต่การช่วยเหลือย่อมไม่สนใจเรื่องอายุ “ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้” เขากล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง นางจึงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าเห็นตะพาบน้ำเกยตื้นแล้วก็ต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา” นางดัดเสียงพลางลุกขึ้นยืน บิดกายอย่างเกียจคร้าน ส่วนผู้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่นกับสรรพนามประหลาดหู “ใครคือตะพาบน้ำ” “ก็เจ้าอย่างไรเล่า” นางตอบกลับหน้าตาย “ทำไมรึ? ข้าว่าน่ารักดีออก” “ข้ามีนามว่าหลี่ชุน” เสียงเข้มเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นก็ดี เจ้าจะบอกว่าตนเองชื่อหลี่ชุนก็ชื่อหลี่ชุนไปเพราะมันเป็นสิทธิ์ของเจ้า ส่วนข้าจะเรียกเจ้าว่าตะพาบน้ำ เพราะมันก็เป็นสิทธิ์ของข้าเช่นเดียวกัน” หลี่ชุนขมวดคิ้วแน่นจนหัวคิ้วแทบชนกัน เป็นหนุ่มร่างบางแท้ๆ ทำไมถึงได้ฝีปากเก่งกล้าเกินตัวเช่นนี้ แถมยังพูดจามีเหตุผลเสียจนเขาไม่อยากจะพูดอะไรต่อ... หญิงสาวเห็นว่าหลี่ชุนเงียบไปก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มุมปากยังคงยกยิ้มน้อยๆ ตามนิสัย “เจ้าตื่นก็ดีแล้ว อีกไม่นานท่านสามและฮูหยินคงจะเอาอาหารและยาที่ต้มมาให้เจ้า” นางกล่าวจบก็เดินตรงไปยังประตูห้อง นางไม่ได้เดินสำรวจเมืองแห่งนี้มาหลายปีจึงอยากจะแวะไปเดินตลาดยามเย็นเสียหน่อย “ไม่...ข้าจะไปแล้ว! ” ร่างบางหันใบหน้ากลับมาทันที ยามที่สบนัยน์ตาที่คุกกรุ่นไปด้วยเพลิงแห่งความแค้นก็หรี่ตาลง “ไป? สภาพเช่นนี้เจ้าจะไปทำอะไรล่ะ” น้ำเสียงเรียบง่ายทว่ากลับเสียดแทงความรู้สึกของผู้ฟังเข้าอย่างจัง ครั้นชายหนุ่มก้มลงพิจารณาบาดแผลตามร่างกายก็นิ่งอึ้ง ความเป็นจริงตอกย้ำความเจ็บปวดจนกายของเขาสั่นระริก “หากเจ้าอยากจะทำอะไร อย่างน้อยก็จะรอจนกว่าแผลหายดีกว่านี้เสียก่อน” หนิงเทียนกล่าวจบก็เตรียมจะออกไปด้านนอกอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอด คนป่วยก็มิยอมนอนอยู่เฉยๆ อยู่ดี “ช้าก่อน! ” ใบหน้าของหนุ่มน้อยซึ่งมีเค้าความหวานราวกับอิสตรีเบือนกลับมา “มีอะไรหรือ” “เจ้าไม่คิดจะถามข้าเลยหรือว่าข้าเป็นใคร และเหตุใดจึงบาดเจ็บ” คนแปลกหน้าผู้นี้สร้างความประหลาดใจให้เขาไม่รู้จักจบจักสิ้น จากเดิมที่ชายหนุ่มค่อนข้างสับสนอยู่แล้ว พอมาเจอคนแบบนี้เข้าก็ยิ่งงงมากยิ่งขึ้นไปอีก “อ้อ! จริงด้วย แต่ข้าขอแบบสั้นๆ จะได้หรือไม่ พอดีต้องรีบออกไปข้างนอกต่อ” การแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจส่งผลให้หลี่ชุนขมวดคิ้ว แต่ก็พยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจของตนเอง “ข้าคือบุตรชายกลุ่มพ่อค้าตระกูลหลี่ เมืองฮั่นจูแห่งแคว้นเกา ในระหว่างที่กำลังเดินทางมาเปิดเส้นทางค้าขายใหม่ในแคว้นหยาง ขบวนรถพ่อค้าของพวกเราก็ถูกกองโจรดักปล้นและสังหาร ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอด เมื่อฟื้นก็ใช้มือขุดหลุมฝังศพให้กับบุพการีแล้วพยายามเดินตามรอยเกือกม้าของพวกมัน ข้าเดาว่ามันคงจะพาข้าไปยังรังโจร แต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์จึงหมดสติไป โชคดีเหลือเกินที่ได้ท่านมาช่วยเหลือเอาไว้ ข้าคิดว่า...” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยเล่าเป็นเรื่องเป็นราว หากก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อผู้ฟังยกมือขึ้นห้าม “ข้าเข้าใจแล้ว แต่เวลานี้เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด” นางบอกเขาว่าขอแบบสั้นๆ อย่างไรเล่า! ขืนนางไม่ห้ามเอาไว้มีหวังได้ร่ายยาวจนนางหลับกันพอดี หลี่ชุนดูอึ้งไป ชั่วชีวิตที่เกิดมาเป็นทายาทพ่อค้าใหญ่ไม่เคยถูกใครห้ามมิให้พูดมาก่อน แม้จะไม่ถึงกับไร้มารยาทจนทำให้รู้สึกโมโห แต่ก็ทำให้ทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน “เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนหรือ” ผู้ฟังยกยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆ “เอาเป็นว่าเจ้าติดหนี้ข้าหนหนึ่งก็แล้วกัน” ดวงตาสีชาบนใบหน้าหล่อเหลาพิจารณาดูคนที่ช่วยตนเองเอาไว้อย่างเต็มตามากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นหนุ่มน้อยใบหน้าหยกคนหนึ่ง ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมา คนที่ช่วยเขาเอาไว้เป็นใครกันแน่... “เจ้า...ชื่ออะไร” คำถามนี้ส่งผลให้หนิงเทียนมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ท่ามกลางความประหลาดใจของคนฟังที่มึนงงไปเรียบร้อย จนป่านนี้เขายังดูไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ “ไว้เจ้าอาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยบอกจะดีกว่า มิเช่นนั้นแผลอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนเอาได้” นางเอ่ยกับเขาอย่างหวังดีก่อนจะเดินจากไป ทิ้งเพียงความสงสัยที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หลี่ชุนไม่อาจข่มตานอนหลับได้ แค่ถามชื่อมันจะอะไรกันนักหนา ไม่เห็นจะเกี่ยวกับบาดแผลตรงไหน ทายาทตระกูลพ่อค้าใหญ่คิดพลางคลำมือเข้าที่อกเสื้อ แต่ใบหน้าก็พลันซีดเผือดลงเมื่อพบว่าของสำคัญในชุดไหมราคาแพงอยู่กลับหายไป! หยกประจำตระกูลของเขาหายไปไหน! ...ท้องตลาดแห่งเมืองหงเล่อช่างคึกคักเหลือเกิน แม้อีกไม่กี่ชั่วยามจะถึงยามเย็น ทว่าสองข้างทางกลับมีแผงลอยวางเรียงรายจนทั่ว ชาวบ้านต่างก็พากันออกมาจับจ่ายใช้สอยจนละลานตา เมืองหงเล่อตั้งอยู่ใกล้แคว้นเกาซึ่งมีอาณาเขตติดกับทะเล แม่น้ำและทะเลสาบที่นี่จึงมีลักษณะเป็นน้ำกร่อย ส่วนใหญ่จึงมีแต่ชาวประมง ค้าขายปลาและสัตว์ทะเลกันแทบทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยดึงดูดให้เมืองและหมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงต่างเข้ามาซื้ออาหารทะเลโดยตรงเพื่อความสดใหม่ อิงซานก็เป็นหนึ่งในพ่อค้าเหล่านั้นที่ทำการค้ากับหมู่บ้านตงเจียง แต่ก็นับโชคยังดี ที่การเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายของนางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่านหรือว่าเห็นทะเลนอก... เจ้าตัวคิดพลางหยิบป้ายหยกขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือขึ้นมาโยนเล่น หยกสีเขียวครามสลักคำว่า ‘หลี่’ ลอยขึ้นลงอยู่ในมือบางราวกับของเล่นชิ้นหนึ่ง ความจริงนางรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นทายาทตระกูลพ่อค้าใหญ่ เพราะช่วงที่ช่วยพยุงเขาขึ้นรถเกวียน หนิงเทียนก็ได้ล้วงมือหยิบป้ายหยกในอกเสื้อเขาออกมา นางอุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แถมยังนำเงินติดตัวที่อยู่น้อยนิดออกมาอีก อย่างไรเสียก็ขอยืมป้ายหยกไปทำทุนสำหรับการเดินทางหน่อยก็แล้วกัน ตระกูลหลี่มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้นางจะไม่เคยพบเจอพวกเขามาก่อนแต่ก็พอได้ยินชื่อมาบ้าง น่าเสียดายนักที่ครอบครัวร่ำรวยเช่นนั้นต้องมาจบชีวิตลงเพราะโจรเถื่อน ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจมีเบื้องหลัง แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับนางอยู่ดี เพียงแค่ได้ช่วยเหลือทายาทของตระกูลพ่อค้าใหญ่ก็เท่ากับว่านางได้นำตนเองไปเสี่ยงมากพอแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือให้เจ้าตะพาบน้ำซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านอิงซานไปสักพัก ที่นางยอมขนาดนี้ ก็เพราะว่าอีกฝ่ายทำให้นางนึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวโปรดหรอกนะ... รอยยิ้มบางเบาฉาบทับอยู่บนใบหน้าหวาน ท่าทีเต็มไปด้วยเสน่ห์เรียกให้สายตาจากดรุณีวัยแรกแย้มรีบหันหนีอย่างเหนียมอาย ฝ่ายหนิงเทียนก็มองพวกนางด้วยความสนใจ ไม่ใช่ว่านางชมชอบสตรีเพศเหมือนๆ แต่เป็นเพราะสนใจในการแสดงออกและท่าทีเขินอายของพวกนางต่างหาก นับตั้งแต่สูญเสียครอบครัวไปในวัยเพียงห้าขวบ รอบกายของนางก็มีแต่ผู้ชาย โดยเฉพาะในระยะเวลาสามปีให้หลังมานี้ต้องอยู่ท่ามกลางบุรุษเป็นโขยง ท่าทีของดรุณีน้อยเหล่านี้จึงให้ความรู้สึกแปลกใหม่กับนางไม่น้อย หนิงเทียนเคยมาเยือนเมืองหงเล่อหลายคราเมื่อสมัยยังเด็ก แม้อาคารปลูกสร้างหลายๆ อย่างจะสร้างขึ้นมาแทนที่เก่า ทว่านางก็มั่นใจว่าสถานที่แห่งนั้นน่าจะยังคงอยู่เหมือนเดิม เมืองทุกเมืองในแคว้นหยาง...หนิงเทียนสามารถจดจำผังเมืองทั้งสิบหกเมืองได้อย่างขึ้นใจ มือเรียวบางกำป้ายหยกในมือก่อนจะหยิบขึ้นมาพิจาณาใกล้ๆ อีกครา ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มหุบลงทันทีในขณะที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นแล้วหรี่ลง แล้วจัดการเก็บป้ายหยกเข้าในอกเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงจุดมุ่งหมาย... เรือนขนาดใหญ่สภาพเก่าแก่ตั้งอย่างโดดเดี่ยวตรงสุดมุมถนน ด้านหน้ามีชายในชุดสีทึมยืนเฝ้ากว่าสี่นาย สถานที่แห่งนี้คือ ‘บ่อนเถื่อน’ นั่นเอง ตามกฎหมายของแคว้นหยางแล้วมิอนุญาตให้เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบห้าปีเข้าไปเล่นพนันได้ ทว่าผู้ที่เปิดบ่อนนี้เป็นถึงผู้มีอิทธิพล เขาจึงมีความกล้าพอที่จะเปิดบ่อนแห่งนี้มายาวนานกว่าสิบปี! ดวงตากลมโตสำรวจอยู่เพียงครู่เดียวก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน สภาพภายในแทบจะเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง การตกแต่งที่เรียบหรูและสะอาดใหม่มีการแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนสำหรับคนทุกชนชั้น ชั้นหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนนอกสุดเป็นที่สำหรับชาวบ้าน ส่วนฝั่งด้านในจะเป็นสำหรับผู้มีฐานะปานกลางและมีตำแหน่ง ขณะที่ชั้นสองแบ่งเป็นห้องเล็กๆ จำนวนมากสำหรับขุนนางใหญ่หรือผู้มียศศักดิ์ทั้งหลาย นับว่าเป็นการจัดแจงพื้นที่ใช้สอยได้อย่างดีเยี่ยม สามารถรับลูกค้าได้ทุกประเภท นับว่าเจ้าของเป็นพ่อค้าหัวใส มีทั้งทอยลูกเต๋า ไพ่นกกระจอกและทายน้ำเต้า ปู ปลา ถึงนางจะรู้เรื่องในบ่อนนี้ดี แต่ก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่กันแน่ นางใช้เวลามองสำรวจอยู่ไม่นานก็เดินตรงไปยังโต๊ะหนึ่งซึ่งมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอย่างโดดเดี่ยว ยกยิ้มให้เขาพร้อมกับทักทายอย่างเป็นมิตร “สวัสดีพี่ชาย” ผู้ถูกเรียกปรายตามามองคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะชักสายตากลับไปราวกับนางไม่มีตัวตน ทว่าหนิงเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยคุ้นเคยและรู้วิธีเล่นสักเท่าไรนัก เห็นว่าพี่ชายดูเก่งกาจช่ำชอง รบกวนแนะนำข้าหน่อยจะได้หรือไม่” ชายร่างท้วมอายุประมาณสามสิบต้นๆ ยังคงเงียบไร้การตอบสนอง ส่วนผู้เอ่ยถามก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน สายตาที่จับจ้องทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกอึดอัดจนต้องก้มหน้าลงมองหนุ่มหน้าหวานก็อดเสียไม่ได้ “เจ้าสนใจอะไร” “ขอเป็นอันที่ง่ายที่สุดก็แล้วกัน อ้อ...โต๊ะที่ท่านคุมอยู่เล่นอะไรหรือ ข้าอยากเล่นโต๊ะที่ท่านคุม” อีกฝ่ายเหยียดยิ้มบางๆ เจ้าเด็กอายุน้อยผู้นี้ไม่รู้หรือว่าการที่ไม่มีคนมาเล่นโต๊ะของเขา มันหมายความว่าอย่างไร? ช่างไร้เดียงสาดีแท้... “ทอยลูกเต๋า” เขาเอ่ยตอบในขณะที่มองการแต่งกายของนางอย่างสำรวจ ครั้นเห็นหนุ่มน้อยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ดูท่าคงจะไม่มีเงินอะไรมากมายนัก นัยน์ตาของชายร่างท้วมก็หม่นแสงลง วันนี้ดูท่าเขาคงได้เงินเข้าบ่อนน้อยกว่าที่คิดเอาไว้... เขารู้วิธีการทอยลูกเต๋าให้ออกมาได้ดังใจนึก ปกติจึงมักจะดูแลอยู่ในส่วนที่สอง แต่เพื่อนร่วมงานด้วยกันเห็นว่าเขาชอบได้หน้าเนื่องจากรู้วิชา เขาจึงผลัดออกมาอยู่ในส่วนแรกบ้างเพราะไม่อยากมีเรื่อง อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่อาจจะไม่ทำให้เขาเบื่อมากเกินไปนัก... พลางขยับมือไปจับถ้วยซึ่งบรรจุลูกเต๋าจำนวนสามลูกเพื่อเตรียมตัว แต่เสียงดัดห้าวขัดจังหวะขึ้นมา “พี่ชาย ความจริงข้าว่าท่านดูดีจะตาย เพียงแต่เสื้อผ้ากับรองเท้าที่ท่านสวมมันเก่าไปหน่อยจึงกลบรัศมีความองอาจของท่านไปจนหมด” เขาขมวดคิ้วในขณะที่มือหยุดชะงัก “เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร” ผู้ถูกถามคลี่ยิ้มกว้างขึ้น ชายผู้นี้นับว่ามีไหวพริบในระดับหนึ่ง นางจึงกวักมือเรียกให้เขาโน้มตัวลงมาใกล้พร้อมกับกระซิบบอกเขาเสียแผ่ว...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม