4
ตะพาบน้ำ
ท้องฟ้าสีครามสดใสปราศจากก้อนเมฆสีขาว ไอแดดแผดเผาส่งผลให้ร่างที่ออกเดินทางดื่มน้ำจนหมดเกลี้ยง
ครั้นอิงซานนำเกวียนไปพักเอาไว้ใต้ร่มไม้ เขาก็บอกให้นางไปเติมน้ำที่ริมธาร ส่วนเขาจะไปเก็บดอกไม้ป่าเพื่อนำไปฝากภรรยาผู้เป็นที่รัก
หนิงเทียนรับคำอย่างว่าง่าย มือเรียวเล็กรวบกระเป๋าน้ำมาทั้งหมด ก่อนจะเริ่มมุ่งหน้าเดินไปยังทิศที่คนสูงวัยชี้บอก
ดรุณีในใต้หล้า ล้วนแล้วแต่ถูกปลูกฝังให้ร่ำเรียนทักษะสี่อย่างเพื่อให้กลายเป็นยอดสตรีผู้เพียบพร้อม...
บางครอบครัวอาจมุ่งเน้นเพียงทักษะเดียวแล้วขัดเกลาให้เกิดความโดดเด่น ทว่าสำหรับบุตรีขุนนางใหญ่และองค์หญิงทั้งหลาย ศาสตร์ทั้งสี่แขนงถือเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนแตกฉาน
ฉิน ฉี ซู ฮว่า[1]
แต่นางกลับไม่เคยมีโอกาสได้ร่ำเรียน หรือแม้แต่เฉียดเข้าไปใกล้พวกมันเลยสักหน
ไม่สิ...นางยังวาดรูปได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการวาดผังเมืองหรือรูปนกฮูกก็ตามที
หากหนึ่งในสิ่งที่นางได้เรียนรู้มาจนแตกฉานและเชี่ยวชาญ...คือการจดจำแผนที่
ไม่ใช่แค่การดูแผนที่ให้เข้าใจว่าทิศใดคือทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก แต่เป็นการจดจำแผนที่ใต้หล้าอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของแคว้นต่างๆ ภูเขา แม่น้ำ ชื่อเมือง มหาสมุทร เกาะ หรือแม้กระทั่งช่องแคบของอ่าวระหว่างแว่นแคว้น
พวกมันราวกับถูกสลักเอาไว้ในหัว จนสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างได้อย่างชัดเจนและละเอียดยิบ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยต้องพกแผนที่และไม่เคยหลงทาง แม้ว่าการเดินทางแบบเอื่อยเฉื่อยเพราะขี่ม้าไม่ได้จะทำให้ผู้คนชอบเจ้าใจผิดว่านางหลงทางอยู่เรื่อยก็ตามที
‘อืม ไม่รู้ว่ามันถือเป็นโชคดี หรือถือเป็นโชคร้ายของข้ากันแน่...’
นางคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งความเย็นชื้นในอากาศสัมผัสเข้าใบหน้า ความแสบร้อนที่ถูกแดดแผดเผาผ่านเนื้อผ้ามาเป็นเวลานานถูกบรรเทาจนเบาบางลง
เสียงกระพือปีกของนกจำนวนหนึ่งบินผ่านศีรษะ ความเป็นธรรมชาติช่วยขับกล่อมจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลาย
ผู้ที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นชายหนุ่มร่างบางใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็มาถึงธารน้ำขนาดเล็ก กระแสน้ำไหลผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย บรรยากาศเย็นสบายทำเอาผู้มองอยากงีบหลับเสียเหลือเกิน
ไม่ได้สัมผัสความสบายใจและปลอดโปร่งเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว...
หากถามว่าชอบไหม แน่นอนว่านางชอบ แต่กลับไม่อาจปรับตัวให้ชินกับมันได้ในเร็ววัน
สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาหลายปี คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
ครุ่นคิดพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆ ธารใส ลงมือเติมน้ำเข้ากระเป๋าน้ำอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งมือเรียวบางชะงักมือที่กำลังปิดจุดกระเป๋าน้ำ ความผิดปกติบางอย่างดึงดูดความสนใจของนางเอาไว้
กลิ่นคาวเลือด...
แม้จะเจือจางจนแทบไม่รับรู้ถึงกลิ่นสาบของมัน แต่กลิ่นของมันก็ชัดเจน
เจ้าตัวตัดสินใจเทของเหลวในกระเป๋าน้ำออก เอื้อมมือลงไปสัมผัสกับน้ำในลำธารแล้วยกขึ้นมาใกล้จมูก สูดดมเพียงครู่เดียวก็มั่นใจว่าเป็นกลิ่นโลหิตอย่างแน่นอน
หากมีกลิ่นสาบเช่นนี้ อีกไม่นานคงดึงดูดให้สัตว์นักล่าออกมาเป็นแน่ ความจริงนางควรหนีไปให้ไกล ทว่าความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า นางจึงเดินไล่สวนทิศทางของกระแสน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อหาต้นตอของมัน
อาจเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บ หรือไม่เสียเลือดมากจนตายไปแล้ว
ทว่าความคิดทั้งหลายกลับหยุดลงทันทีเมื่อดวงตากลมโตสังเกตเห็น ‘ต้นตอ’ ของโลหิตที่ปดเปื้อนอยู่ในน้ำได้อย่างเต็มตา ร่างของชายผู้หนึ่งดูแข็งแรงกำยำราวกับผู้ที่ฝึกฝนร่างกายกำลังนอนคว่ำหน้า เสื้อผ้าเป็นไหมชั้นดีดูราคาแพง
ร่างท่อนบนกำยำเกยอยู่ริมฝั่ง ส่วนท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปกลับจมอยู่ในลำธาร
บาดแผลที่สีข้างซึ่งมีโลหิตไหลออกมาทำให้น้ำในบริเวณนั้นถูกเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวสีแดงจางๆ
หนิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปมาขึ้น เมื่อใกล้พอแล้วก็หันซ้ายแลขวา ก่อนจะเดินไปหยิบเศษกิ่งไม้ยาวๆ ขึ้นจากพื้นแล้วเริ่มลงมือเขี่ยร่างของคนที่นอนคว่ำหน้าโดยไม่คิดจะเข้าไปใกล้กว่านี้
ทว่าเขี่ยไปเขี่ยมา ผู้ที่นอนคว่ำหน้าอยู่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางจึงเปลี่ยนจากการเขี่ยกลายเป็นจิ้มไม้ลงบนแผ่นหลังใหญ่ของอีกฝ่ายแทน
จึก...จึก
“นี่ เจ้าตายหรือยัง เป็นศพหรือว่ายังมีชีวิตอยู่” จิ้มไปพลางดัดเสียงห้าวถามไปด้วย แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิง
‘สงสัยจะตายแล้วแหะ’
ด้วยเหตุนี้เจ้าตัวจึงยักไหล่พร้อมกับทิ้งกิ่งไม้ในมือลง การยุ่งเรื่องของชาวบ้านคงหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว โดยเฉพาะผู้ที่กำลังหนีเองอย่างนางก็ยิ่งไม่ควรหาเหามาเพิ่มใส่หัวอีก
นางหมุนกายเตรียมจะเดินจากไป ไม่อยากเสี่ยงกับสัตว์นักล่าที่คงจะใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อข้อเท้าของนางกลับถูกสิ่งแปลกปลอมคว้าเอาไว้แน่น!
เจ้าตัวหันหน้ากลับไปทันควัน พบว่าร่างที่นอนคว่ำไม่รู้เป็นหรือตายเมื่อครู่กลับกุมข้อเท้าบางเอาไว้ แถมใบหน้าที่ก้มลงจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนกลับเงยขึ้นมา
‘อ้าว! ยังไม่ตายหรอกหรือ...’
ใบของอีกฝ่ายหล่อเหลาเอาการ ดวงตาสีชาฉายแววอิดโรย คาดคะเนดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบปีอยู่ในสภาพขาวซีดไร้สีเลือด ทว่าสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดกลับเป็นจมูกโด่งที่ดูจะยาวมากกว่าคนปกติเล็กน้อย
ภาพของสิ่งหนุ่งผุดขึ้นมาในความคิด เขาทำให้นึกถึงตะพาบน้ำ...สัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่นางเคยเลี้ยงตอนเด็กๆ
หญิงสาวเผลอจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งนาน จนกระทั่งริมฝีปากบางแห้งผากของเขาเริ่มขยับ “ช่วยข้าด้วย...”
“อ้อ” ผู้ฟังพยักหน้า ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมจะก้าวเดินต่อ ส่งผลให้คนเจ็บต้องออกแรงยื้อโดยใช้มือกุมข้อเท้าเล็กเอาไว้สุดแรง
ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวมองตามไปยังมือที่จับข้อเท้าของนางไว้ จึงสังเกตเห็นว่าที่ปลายนิ้วทั้งห้าของชายหนุ่มปริแตกและมีโลหิตไหลซึมออกมา
“นี่เจ้า...จะไม่ช่วยข้าเลยหรือไง! ” เสียงทุ้มห้าวอ่อนล้าแต่ก็แฝงความไม่พอใจอยู่ในที
“ข้ารักษาบาดแผลไม่เป็น แถมดูๆ ไปแล้ว ข้าคงไม่มีแรงมากพอที่จะแบกตัวเจ้าด้วย อีกอย่าง...ข้าต้องเอากระเป๋าน้ำไปเก็บก่อน” เอ่ยพลางชูมืออีกข้างที่ถือสายห้อยกระเป๋าน้ำมาด้วยสองอัน และแขวนตรงลำคออีกส่วนหนึ่งเป็นการยืนยัน
อีกฝ่ายที่สติเริ่มเลือนรางฟังแล้วก็นิ่งไป ดวงตาปรือขึ้น แม้จะเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจนแต่ก็สังเกตเห็นว่ารูปร่างของคนแปลกหน้าบอบบางราวกับอิสตรีจริงๆ
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปเฉยๆ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้เท่านั้น!
เขาจะต้องแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขา!
ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็เม้มริมฝีปากแน่นขึ้น การออกแรงบีบข้อเท้าเล็กยิ่งกระตุ้นให้เลือดทะลักออกมาจากบาดแผล โลหิตที่สูญเสียไปเป็นจำนวนมากทำให้สติของเขาพร่ามัวมากขึ้นทุกที
“แต่...แต่เจ้าจะทิ้งข้าไว้แบบนี้ไม่ได้! ”
ผู้ฟังเลิกคิ้วสูง ท่าทีของเจ้าตะพาบน้ำดูกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ จึงชอบใจและถูกชะตาไม่น้อย
รอยยิ้มบางๆ อาบไล้บนใบหน้าที่มีเค้าความหวาน ทว่าคนเจ็บกลับหมดสติไปเสียก่อนที่จะได้เห็นมัน
หนิงเทียนเห็นดังนั้นจึงรีบแกะมือของอีกฝ่ายออกจากข้อเท้าของตน ใช้วิชาตัวเบารีบมุ่งตรงกลับไปตามอิงซานให้มาช่วยเหลือคนด้วยกัน
ระยะเวลาผ่านพ้นจากเที่ยงตรงจนกระทั่งบ่ายคล้อย พวกนางก็เดินทางมาถึงเมืองหงเล่อซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนที่จะข้ามไปยังแคว้นเกา
นางตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังแคว้นเกา แล้วค่อยใช้เส้นทางนั้นผ่านเมืองจื้อโหยวเพื่อเข้าไปยังแคว้นอู๋
เหงื่อที่ไหลซึมอยู่ในหน้ากากหนังมนุษย์ช่างน่ารำคาญ ทว่าผู้สวมใสก็มีคุ้นชินกับมันอยู่พอสมควรจึงว่าทางนิ่งเฉย
ท่านหมอที่ถูกเรียกมาให้รักษาตัวผู้บาดเจ็บลากลับไปนานพอสมควร แต่ผู้ที่นอนสลบอยู่บนเตียงที่เจ้าของบ้านเสียสละให้กลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
ท่านหมอจะบอกว่าอีกฝ่ายเสียเลือดมากพอสมควรจึงต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพัก แต่จากการสังเกตดูใบหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาด หนิงเทียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงเริ่มมีการเคลื่อนไหว
อิงซานมีน้ำใจให้นางและคนเจ็บพักอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะหายดี
หนิงเทียนย่อมไม่ปฏิเสธอาหารและที่พัก บ้านของอิงซานถือว่าไม่คับแคบ แต่พอมันผสมผสานกับน้ำใจของสองสามีภรรยาเข้าด้วยก็ทำให้มันดูกว้างใหญ่ขึ้นมาภายในพริบตา
หนุ่มน้อยหน้าหยกลุกขึ้นยืนพร้อมกับชะโงกหน้าดูคนหลับ ไม่ว่าจะมองหรือพิจารณาอย่างไรก็รู้สึกว่าจมูกโด่งติดจะยาวหน่อยๆ ของเขาช่างเหมือนกับตะพาบน้ำตัวน้อยที่นางเคยเลี้ยงเมื่อตอนเด็กมากจริงๆ
“เจ้าตะพาบน้ำ”
ผู้ถูกเรียกยังคงไร้การตอบสนอง เสียงลับมีดทำครัวจากภรรยาวัยสาวดังเข้ามาจนถึงด้านใน หนิงเทียนจึงก้มหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้นอย่างนึกสนุก กระซิบลงที่ข้างหูคนหลับอยู่อย่างแผ่วเบา
“หากเจ้ายังแกล้งหมดสติเป็นผักอยู่เช่นนี้ ข้าจะให้คนมาต้มเจ้ากินแล้วนะ”
[1] ฉิน ฉี ซู ฮว่า (****) หมายถึง เล่นดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพ ถือเป็นศาสตร์สี่แขนงที่เป็นดังรากฐานของปัญญาชนนักปราชญ์ อิสตรีชนชั้นสูงจึงต้องเรียนรู้ศาสตร์ทั้งสี่แขนงให้แตกฉาน เนื่องจากเป็นตัวตัดสินคู่ครองในบรรดาผู้มีฐานะและอำนาจในสังคม