แสงคบเพลิงโบกสะบัดราวกับกำลังเต้นระบำ บนผนังดินเหนียวบังเกิดภาพวูบไหวของเงาเพรียวบางสองร่างในมุมหนึ่งของห้องโถงที่แสนใหญ่โต
ภายในบ้านไม้ทรุดโทรมที่เรียงต่อกันอย่างไม่เป็นระเบียบ กลับมีบันไดในห้องลับทอดยาวไปยังห้องโถงใหญ่อยู่ลึกลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยลอบสังหารแห่งแคว้นหยาง
หนิงเทียนวันนี้มิได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มบางคลอเคลียด้วยผมดำยาวที่เจ้าตัวไม่ได้รวบ สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษสีขาวสะอาดขณะที่มือโบกพัดกระดาษเล่มที่สองเพื่อผ่อนคลายความร้อน
ฝ่ายจงยี่หยาสวมชุดสีดำไร้ลวดลาย เรือนผมรวบสูงเกล้าเป็นมวย เปิดดวงหน้าคมแข็งกระด้าง ริมฝีปากเป็นรูปกระจับสีแดงสด ทว่าคิ้วเข้มปลายชี้ขึ้นกลับดูดุดันดั่งบุรุษเพศ
อาชีพนักลอบสังหารไม่แบ่งแยกชายหญิง โดยเฉพาะสตรีที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เกิดอย่างจงยี่หยาซึ่งได้พิสูจน์ความสามารถของตน จนได้รับตำแหน่งสูงสุดในหน่วยที่หกนี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
ที่สำคัญคือการที่นักลอบสังหารเป็นสตรีเพศนี่แหละที่สามารถเข้าหาเป้าหมายได้ง่ายกว่า ทั้งยังไม่เป็นที่ระแวงหรือสนใจเท่ากับบุรุษ
หนิงเทียนเคยมีโอกาสได้พบนักฆ่าสาวผู้นี้มาแล้วสองครา ซึ่งต่างคนต่างก็จดจำอีกฝ่ายได้อย่างขึ้นใจ
หนึ่งขาวหนึ่งดำ กลิ่นอายที่แตกต่างช่างให้ความรู้สึกราวกับมาจากคนละโลก แต่พวกนางต่างรับรู้ว่ามีบางสิ่งระหว่างทั้งสองที่คล้ายคลึงกันโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด
เป็นโชคชะตาที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อตนเอง แต่เกิดมาเพื่อใครอีกคน...
“อย่างที่ข้าบอกไปว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นรายงานทางราชสำนัก ขอบคุณพี่ยี่หยามากที่ช่วยเหลือเอาไว้เมื่อวาน” ผู้กล่าวเคลื่อนพัดในมือลง เตรียมจะเดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ทว่าจังหวะต่อมา นางก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อดวงตากลมโตเคลื่อนกลับไปจับจ้องอีกฝ่าย
“จริงสิ พี่ยี่หยา” หนิงเทียนเอ่ยถาม “ท่านไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานานเท่าไรแล้ว”
“ข้าคงปล่อยให้ท่านไปจากที่นี่ไม่ได้”
รอยยิ้มบนหน้าผู้ฟังยังคงไม่แปรเปลี่ยน ราวกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย
“เช่นนั้นเอง” หนิงเทียนพยักหน้า “ใครคือผู้สั่งการ? ”
หัวหน้าหน่วยลอบสังหารทำงานให้ราชสำนัก อันที่จริงก่อนที่นางจะพากลุ่มโจรมาที่นี่ นางก็คิดเผื่อไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าจงยี่หยาจะยืนนิ่งอยู่กับที่ ทว่ามือข้างขวาของนางอยู่กำแน่นราวกับมีของอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน
“ทรงมีราชโองการอย่างเป็นทางการมาเมื่อสองวันก่อน”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างเชื่องช้า แสดงว่ารองแม่ทัพหม่าจิวหูน่าจะเดินทางกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว
...ดูท่าพอคลาดจากนางที่หมู่บ้านตงเจียงก็คงจะกลับทันที
กุนซือสาวจมอยู่ในความคิดไม่นานก็จ้องตรงไปยังดวงตานิ่งสงบของคู่สนทนา “ท่านจะจับตัวข้าไปหรือ”
สิ้นเสียงของหญิงสาว บรรยากาศภายในโถงใหญ่ก็ดูอันตรายขึ้นมาฉับพลัน!
แสงสีส้มเริงระบำอยู่บนคบเพลิง สะท้อนลงบนใบหน้าของนักฆ่าสาวที่จริงจังขึ้นอีกหลายส่วน มือที่กำแน่นอยู่คลายออกเล็กน้อย เผยให้เห็นผ้าสีขาวที่โผล่ออกมาให้เห็นระหว่างร่องนิ้วเรียว
มันคือผ้าที่ชุบยาสลบเอาไว้...
“อย่าจริงจังนักสิพี่ยี่หยา หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ข้าย่อมไม่ใช่คู่มือของท่าน แค่แข่งกันหักไม้จิ้มฟันข้าคงจะพ่ายแพ้อย่างไม่ติดฝุ่น” หนิงเทียนกล่าวพลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้จงยี่หยาอย่างไม่รีบร้อน พัดที่รวบเก็บถูกยื่นออกไปสัมผัสกับหัวไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา “แต่น้ำใจที่ท่านติดข้าไว้คราก่อน ท่านคงไม่ว่าใช่ไหมหากข้าจะขอใช้มันตรงนี้”
สีหน้าของนักฆ่าสาวผ่อนคลายลง แต่ถึงกระนั้นก็ดุดัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมาอยู่ที่ชายแดน
มันประจวบเหมาะกับที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการสำคัญ แน่นอนว่ามันมิได้ส่งมายังหน่วยนี้เพียงแห่งเดียว หากยังกระจายไปยังหน่วยลับทั้งหลายที่แทรกซึมอยู่ทั่วแผ่นดิน!
เนื้อหาเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าห้ามมิให้หญิงสาวมีรอยขีดข่วนเป็นอันขาด!
...ดูแล้วคงไม่มีใช่ความผิดอาญา และนางก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถามว่าผู้ที่ทางหลวงต้องการตัวมาทำอะไรที่นี่
จงยี่หยามักจะประจำการอยู่ที่นี่เสมอ นอกเสียจากมีงานสำคัญหรือถูกเรียกตัวกลับไปยังเมืองหลวงเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น ซึ่งครั้งล่าสุดก็เกิดเหตุที่ทำให้นางติดค้างน้ำใจของหญิงสาวผู้ดูแล้วเปราะบางผู้นี้
หัวหน้าหน่วยลอบสังหารหน่วยที่หกจ้องตากับหนิงเทียน เสียงราบเรียบเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา “ข้าให้เวลาท่านได้เพียงห้าวัน”
แม้ไม่สามารถปิดบังเบาะแสนี้ได้ แต่ถ้าจะให้แจ้งข่าวช้าลงก็พอมีทางอยู่
“เท่านั้นก็เกินพอ ขอบคุณท่านมาก พี่ยี่หยา” หนิงเทียนลดพัดในมือลง คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
แววตาที่นิ่งสงบของจงยี่หยาพลันเกิดประกายวูบไหว ดังผืนน้ำที่ถูกกระทบจนเกิดระลอกคลื่น
หนิงเทียนมักมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ แต่เพราะเหตุใดเล่า... แผ่นหลังอันเปราะบางในชุดขาวสะอาดจึงได้ดูอ้างว้างโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้
ริมฝีปากของผู้มองปิดสนิท จนกระทั่งผู้มาเยือนจากไปแล้วจึงเดินไปยังทางออกอีกแห่งหนึ่ง
ครั้นร่างในชุดดำมาถึงที่หมายก็กวาดตามองไปรอบๆ เรือนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของนกพิราบสื่อสาร กรงนกแต่ละอันแบ่งแยกตำแหน่งอย่างชัดเจนถึงจุดหมายปลายทางที่ต่างกันออกไป
จงยี่หยามองสำรวจความเรียบร้อยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่พบถึงความผิดปกติใดๆ ก็สาวเท้าไปยังโต๊ะเล็กกลางเรือน ตวัดด้ามพู่กันลงบนแผ่นกระดาษแล้วจัดการเป่าให้แห้ง ม้วนใส่ปล้องไม้ไผ่ขนาดเล็ก
เช้าวันนั้น... นกพิราบตัวหนึ่งก็ถูกส่งออกไปจากหน่วยลอบสังหารที่ประจำการอยู่ ณ เมืองหงเล่อ
ครั้นเสร็จสิ้นธุระจากหน่วยลอบสังหารแล้ว ไป๋หนิงเทียนที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ก็เดินแวะเดินชมตลาดระหว่างเดินทางกลับบ้านของอิงซาน
หญิงสาวในคราบคุณชายน้อยโบกพัดในมือ ใบหน้าที่อมยิ้มน้อยๆ ฟังเสียงพูดคุยค้าขายไปเพลินๆ
“นี่ๆ เจ้ารู้หรือยังว่าทางการจะเก็บภาษีเพิ่ม! ”
“อะไรกัน! เมื่อสิ้นปีก็ขึ้นมาหนหนึ่งแล้ว ครานี้จะเพิ่มอีกหรือ! ”
“เห็นว่าฝ่าบาทกำลังจะไปสร้างพระราชวังฤดูร้อนที่เมืองฉางหลิว”
“พี่ชายของข้าทำงานอยู่เมืองหลวง เห็นว่าที่เรียกเก็บเงินภาษีคราก่อนเป็นเพราะจะเอาเงินไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพ”
นี่คือเสียงบทสนทนาจากถนนฝั่งด้านซ้าย ในระหว่างเดียวกันแม่บ้านที่จับจ่ายซื้อของยามเช้าก็ดังขึ้นทางฟากขวา
“พี่สาวของข้าแต่งงานไปอยู่ฝั่งทางตะวันตก บอกว่าช่วงนี้น้ำแล้ง พืชผลเก็บเกี่ยวแทบไม่ได้ก็ยังต้องเสียภาษีเพิ่ม นางต้องเอาวัวไปขายเพื่อจ่ายเงินเพราะไม่อยากมีปัญหากับทางหลวง”
“ทรงทำเช่นนี้ไม่ต่างจากถอนขนห่าน[1] เลยนะ! ”
“โธ่ไม่น่าเลย...แต่เวลานี้ที่ข้าเป็นห่วงคือสถานที่สู้รบมากกว่า หวังว่าฝ่าบาทคงจะไม่คิดทำศึกกับแคว้นเกาหรอกนะ หากเป็นอย่างนั้นจริงพวกเราต้องเดือดร้อนมากแน่ๆ ”
ผู้ที่ยืนฟังเงียบๆ เดินผละออกจากสตรีทั้งสอง รอยยิ้มบางบนใบหน้ายังคงอยู่หากดวงตากลมโตกลับเหม่อมองไปไกล หาได้ใส่ใจอยู่กับท้องถนนที่วุ่นวายในยามเช้าตรู่ไม่
[1] ถอนขนห่าน เป็นสุภาษิตหมายถึงการที่รัฐเรียกเก็บภาษีจากประชาชนในอัตราสูง