8.1 ร่องรอย

1778 คำ
8 ร่องรอย หากแคว้นหยางคือแคว้นมหาอำนาจที่ห่ำหั่นสงคราม ช่วงชิงดินแดนอย่างเกรี้ยวกราดประดุจพญาอินทรีบนผืนนภาแล้วไซร้ แคว้นอู๋คงเปรียบดังพญาราชสีห์ผู้ครอบครองสรรพหลายบนผืนปฐพีที่น่าเกรงขามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ในระยะเวลายี่สิบเจ็ดปีที่สองแคว้นใหญ่ลงนามสัญญาสงบศึก แคว้นอู๋ก็หาได้หยุดการขยายดินแดนออกไปไม่... แคว้นเล็กแคว้นน้อยถูกกลืนกินไร้หนทางสู้ หากไม่นับแคว้นหยางที่อยู่ถัดขึ้นไปทางทิศเหนือ ก็เหลือเพียงสองแคว้นที่อยู่ติดกันซึ่งสามารถรักษาความเป็นเอกเทศไว้ได้ แคว้นเหลียวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และแคว้นจ้าวทางทิศตะวันออก ชายแดนทั้งสามทิศราวกับมีเมฆหมอกอึมครึมปกคลุมอยู่ตลอด ซุ่มรอจังหวะประจวบเหมาะเพื่อจะเข้าโจมตี ทว่ายามนี้ จอมทัพแห่งแคว้นอู๋กลับติดพันเรื่องราวบางอย่างอยู่ฝั่งทางเหนือ อาชาชั้นยอดสามตัวเคลื่อนผ่านชายป่าดุจลมพายุ เศษธุลีลอยคลุ้งคลุกเคล้ากับใบไม้แห้งที่ปลิวขึ้นสูง ตัดกับภาพของดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายอยู่กลางศีรษะจนเกิดเป็นเงาทะมึน อากาศในแดนเหนือให้ความรู้สึกร้อนอบอ้าวจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนจึงชอบคลายชุดของตนมิให้แน่นเกินไป เผยให้เห็นไหปลาร้าและแผงอกกำยำของชายชาติทหาร ซือหยาที่ขี่ม้านำอยู่หน้าสุดกระชากสายบังเ**ยนให้ม้าหยุดวิ่ง หมุนกายไปเอ่ยกับนายของตนในขณะที่จัดการกับเสื้อผ้าให้เข้าที่ “นายท่าน เราใกล้ถึงจุดที่หน่วยสะกดรอยระบุไว้แล้วขอรับ” นายผู้น่ายกย่องจักต้องมีบ่าวที่วางตัวถูกกาลเทศะ แม้ซือหยาจะมีตำแหน่งเป็นถึงโหวแล้วก็ตาม ถึงไม่ได้หายใจเข้าออกเป็นท่านอ๋องห้าเหมือนกับหานลู่ ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงรับใช้ท่านอ๋องห้าด้วยความจงรักภักดี ทั้งเถิดทูนและเคารพ เป็นต้นแบบที่น่าเลื่อมใส ซือเหยาได้ฟังกิตติศัพท์ของฮั่วหลิงหวางตั้งแต่สมัยที่ตนยังเป็นเพียงทหารชั้นปลายแถว หากมิได้รับการอุปการคุณจากอีกฝ่าย เขาก็คงไม่มาถึงจุดนี้ได้เร็วเพียงนี้ ท่านอ๋องผู้เกรียงไกรแห่งแคว้นอู๋ ไม่ว่าคนของเขาจะอยู่ใกล้หรือไกลก็ได้รับการใส่ใจอย่างเท่าเทียม ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บุรุษผู้นั้นมีกำลังพลและมือเท้าที่แข็งแกร่ง ทั้งยังจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง รัชทายาทแห่งแคว้นหยางจะถูกแต่งตั้งขึ้นตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จากนั้นก็จะถูกส่งไปนอกวังเพื่อร่ำเรียนวิชาในพื้นที่เร้นลับ และจะเดินทางกลับมายังวังหลวง เปิดเผยตัวตนก็ต่อเมื่อฮ่องเต้ประกาศสละราชสมบัติหรือสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนแคว้นอู๋กลับมีวัฒนธรรมและแนวคิดที่ต่างออกไป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม องค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้งขึ้นมาสองพระองค์ คือรัชทายาทฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งต้องแข่งขันกันสร้างผลงานเพื่อการแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ทว่าเมื่อห้าปีก่อน องค์ชายใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทฝ่ายขวากลับคิดคด ก่อการกบฏและปลงพระชนม์ฮ่องเต้ สถาปนาตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าปกครองแคว้น กระทำเรื่องอกตัญญู ผิดศีลธรรมและกฎมณเฑียรบาล หมดสิ้นความชอบและคุณลักษณะที่เหมาะสมในการเป็นองค์เหนือหัว ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายองค์ชายสามซึ่งมียศศักดิ์เดิมเป็นรัชทายาทฝ่ายซ้ายจึงกลายเป็นผู้ที่เหมาะสมโดยชอบธรรม พระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายห้าและองค์ชายเก้าจนกอบกู้บัลลังก์กลับคืนมาได้สำเร็จ ศึกในครานั้นนับว่าเป็นศึกสายเลือดที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย เป็นที่เล่าขานไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งหลายล้วนสนับสนุนองค์ชายสามเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เหล่าบรรดาอ๋อง ขุนนางและผู้มีอำนาจที่เข้าฝั่งขององค์ชายใหญ่ถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ตัดถอนรากถอนโคนจนสิ้นซาก ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่คนเดียว หลังจากรัชทายาทฝ่ายซ้ายขึ้นครองราชย์ องค์ชายห้าและองค์ชายเก้าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง สามพี่น้องร่วมมือร่วมใจกันบริหารแว่นแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง จริงอยู่ที่ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ทว่าคนในวงในต่างก็ทราบกันดีว่าผู้นำทัพกรำศึกสังหารกลุ่มกบฏทั้งในที่มืดและที่แจ้ง ล้วนเป็นฝีมือการวางแผนและสั่งการของฮั่วหลิงหวางทั้งสิ้น! ซือเหยาหลุดออกจากห้วงคือเมื่อท่านอ๋องห้าทรงกระชากบังเ**ยนบ้าง ร่างสูงโปร่งที่ผ่านการฝึกฝนกล้ามเนื้อมาอย่างดีเยี่ยมประทับอยู่บนอานม้าอย่างงามสง่า แผ่บารมีของชายชาติทหารและสายเลือดกษัตริย์อย่างเต็มภาคภูมิ ทันใดนั้นเองที่กระแสลมแรงก็โบกพัดผ่านร่างทั้งสามไปวูบใหญ่ ความเย็นสบายที่ช่วยคลายอากาศร้อนอบอ้าว กลับมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ... ครั้นหานลู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย สัญชาตญาณปกป้องที่มีต่อนายจึงกระตุ้นให้เขาชักกระบี่ออกจากฝักแล้วขวบม้ามาป้องกันฮั่วหลิงหวาง ส่วนซือเหยาก็พุ่งตัวไปยังที่มาของกลิ่นอย่างรวดเร็ว บุรุษผู้เป็นใหญ่ในที่นี้ยังคงนั่งนิ่งบนหลังอาชา ริมฝีปากปิดสนิทไม่เอ่ยสิ่งใด ดวงตาคมหรี่ลง ดูท่าพวกเขาคงมาช้าไป.... ข่าวสารของหน่วยสืบข่าวส่งมาครั้งล่าสุดก็เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นก็เงียบหาย ไร้ซึ่งการติดต่อใดๆ แม้ฮั่วหลิงหวางจะดำรงตำแหน่งสูง กำราบศัตรูและสังหารอย่างโหดเหี้ยม แต่หากเป็นคนของตนก็ใส่ใจและเป็นห่วงราวกับญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด จึงเดินทางมาสำรวจด้วยตนเอง ท่านอ๋องห้าเบือนพระพักตร์ไปยังหานลู่ อีกฝ่ายก็ควบม้าตามทิศที่ซือเหยามุ่งไป เบิกทางให้กับผู้เป็นนาย ภาพผืนป่ารกชันกลายเป็นป่าโปร่งเนื่องจากต้นไม้บางส่วนราวกับถูกของหนักทับจนหักโค่น สายตาทั้งสองจ้องตรงไปยังร่างสีทึบจำนวนสิบคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โดยมีร่างของชายหนุ่มผิวสีแทนกำลังตรวจสอบศพทั้งหลายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลิ่นเหม็นหืนจากศพที่ขึ้นอืดมิได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัว ทว่าซากศพบางรายที่ถูกสับแยกอวัยวะออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ เกลื่อนกลาด ปล่อยให้นกกาลงมาจิกกินต่างหากที่ทำให้สีหน้าของเจ้าของนัยน์ตาพยัคฆ์เข้มลึกขึ้นจนน่ากลัว กลิ่นอายสังหารรุนแรงแผ่จากร่างหนา ส่งผลให้นกทั้งหลายที่มารุมกินซากศพถึงกับแตกกระเจิง บินหนีกันอุตลุด สีหน้าของหานลู่ยังคงเรียบสนิท แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกของฮั่วหลิงหวางได้เป็นอย่างดี ศัตรูมิเพียงแค่สังหารสายสืบของพวกเขา หากยังใช้ดาบและกระบี่สับศพแยกออกเป็นชิ้นๆ การทำเช่นนี้นอกจากจะหยามเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้ตายแล้ว ยังรวมไปถึงการดูหมิ่นผู้อยู่เบื้องบนที่สั่งการลงมาอีกด้วย! มือของราชองครักษ์กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาเฉียบคมเชือดเฉือนมิต่างจากใบมีด หากเขาพบเจอเจ้าพวกที่ลงมือเมื่อไหร่ล่ะก็...แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็ต้องเอาเลือดชั่วของมันมาล้างพระบาทของท่านอ๋องให้จงได้! “นายท่าน ทุกคนล้วนไร้ลมหายใจ คาดว่าน่าจะถูกสังหารไปตั้งแต่สี่ห้าวันก่อน ข้าพบสิ่งนี้อยู่ในมือของท่านจวี่” โหวหนุ่มเอ่ยพลางใช้วิชาตัวเบาดีดตัวขึ้นจากพื้นที่ยืนอยู่ไกลออกไป พริบตาเดียวก็ทิ้งตัวเบื้องหน้าพยัคฆ์หนุ่มในท่าคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วผายมือออกมาด้านหน้า เผยให้เห็นเศษผ้าที่ถูกขยำจนยับยู่ยี่ ร่างใหญ่กระโดดลงจากอาชา ท่านจวี่ที่ซือเหยาหมายถึง คือหัวหน้าหน่วยสืบข่าวลับหน่วยที่สามซึ่งได้รับหน้าที่ตามสืบเรื่องสำคัญนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาและลูกน้องจะพลาดท่าจนถูกสังหาร เจ้าคนทรยศผู้นั้นคงมีคนคอยช่วยเหลือเป็นแน่... ยอดขุนพลฉวยเศษผ้าในมือซือเหยาขึ้นมาพร้อมกับคลี่ออก เศษผ้าขนาดเท่าสองฝ่ามือถูกเขียนอย่างรีบร้อนด้วยโลหิตสีแดงฉาน ปรากฏเพียงอักษรตัวเดียวที่บอกเล่าคำตอบทั้งมวล ‘ฝู...’ มือใหญ่กร้านอ่านอักษรเลือดที่เขียนเพียงครั้งเดียวก็ขยำเศษผ้าในมือแน่น แววตาดุจพยัคฆ์พร้อมสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็น กำลังภายในอัดแน่นปะทุก่อนจะระเบิดออกจากฝ่ามือซึ่งกำเศษผ้าอยู่ภายใน หานลู่และซือเหยาต่างนิ่งค้างอยู่ในอิริยาบถเดิม ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือขยับตัวต่อหน้าบุรุษผู้มีสายเลือดเดียวกับพญามังกรในยามที่กำลังมีโทสะ จนกระทั่งฮั่วหลิงหวางคลายมือออก เศษผ้าถูกพลังมหาศาลบีบอัดจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง โปรยปรายลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง... แคว้นฝู แคว้นฝูมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคนทรยศสมควรตายผู้นั้น! “หึ” ชายหนุ่มผู้มียศสูงสุดในที่นี้เค้นออกมาในลำคอ หากแต่ประกายในดวงตานั้นเย็นเหยียบจนน่าขนลุก “นายท่าน โปรดสั่งการ” หานลู่กล่าวพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายซือเหยา รอฟังคำสั่ง “ซือเหยา เจ้ามุ่งหน้ากลับไปยังค่ายพยัคฆ์ ขอฟังคำสั่งจากข้า ส่วนหานลู่ เจ้าติดตามข้ากลับไปเมืองหลวง” พยัคฆ์เงินแห่งสนามรบเอ่ยพลางกวาดตามองซากศพอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งการอีกครา “เผาร่างพวกเขาทั้งหมด นำอัฐิกลับไปทำพิธีฝังที่เมืองหลวง” ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าขานรับอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ” สายลมวูบใหญ่พัดพากลิ่นเหม็นเน่าจนลอยคลุ้ง เมฆฝนที่พัดผ่านมาทางทิศเหนือบดบังแสงตะวัน เกิดเป็นเงาใหญ่ทาบทับผ่านร่างทั้งสาม ท่านอ๋องห้าตัดสินใจเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงครานี้...อีกไม่นานเสียงกลองศึกแห่งค่ายพยัคฆ์คงดั่งไปกึกก้องไปทั่วท้องนภา สำแดงแสนยานุภาพอันเกรียงไกรให้ประจักษ์แก่ใต้หล้า! หากคิดจะเป็นศัตรูกับแคว้นอู๋ ก็ไม่ต่างจากซื้อใบเบิกทางไปยังปรโลก!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม