เป็นอันว่าคนทั้ง 5 ต้องกลับไปอย่างคนเสียเส้น เพราะทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด จูเลี่ยงรุ่ยและหวงเลี่ยงหลิงจึงได้โอกาสพักผ่อนเสียที
ภายในห้องนอนของนางร้ายรุ่นลูก
จูเลี่ยงรุ่ยสำรวจข้าวของในห้องก่อนจะทำตาโต นี่แสดงว่าครอบครัวของนางร้ายต้องเป็นผู้มีอิทธิพลและมั่งคั่งมากๆ ถึงขนาดมีเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ฮวาหลีซึ่งในสมัยโบราณแต่กาลก่อนนั้นถือได้ว่าเป็นไม้ที่ใช้ทำเครื่องเรือนของฮ่องเต้เลยทีเดียว นอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ อาทิ โต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า ล้วนทำมาจากไม้ฮวาหลีและไม้จื่อถานทั้งสิ้น
“อืม ความจริง เราทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูจูนางร้ายรุ่นเล็กก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตให้ยากลำบาก รู้ๆ กันอยู่ว่ายุคสมัยนี้เพิ่งจะพ้นจากการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ไม่กี่ปี ชาวบ้านตาดำๆ ยังคงลำบากและอดอยากอีกมาก แต่…เรามีแม่เป็นนางร้ายนี่นะ อือ แต่คนเรามันไม่มีใครดี 100 % หรือว่าชั่ว 100% หรอก คนเราหากจะเปรียบเหมือนตัวละครก็คงเป็นตัวละครกลมๆ ตัวหนึ่ง ในโลกของความเป็นจริงตัวละครแบนๆ ที่ดี 100 % หรือว่าชั่ว 100 % นั้นหาแทบไม่มี แต่เอ๊ะ!นี่เป็นโลกนิยายไม่ใช่เหรอ เราเข้ามาอยู่ในหนังสือนิยายนี่นะ อยากรู้จังว่าตัวละครต่างๆ ทั้งพระเอก นางเอก หรือว่านางร้ายจะเป็นตัวละครประเภทไหน กลมหรือแบนกันนะ?แล้วถ้าเกิดว่าเราสามารถเปลี่ยนนางร้ายอย่างหวงเลี่ยงหลิงให้เป็นคนดีได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น?น่าลองดูไหมล่ะ?”
“แม่คะ หนูว่า พวกเราเจอเรื่องราววุ่นวายมามากพอแล้ว เราไปทำบุญกันดีไหมคะ เผื่อจิตใจจะได้สงบและผ่อนคลายขึ้น” จูเลี่ยงรุ่ยพูดพลางโอบกอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง
หวงเลี่ยงหลิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แต่ไหนแต่ไรมาลูกสาวคนเดียวผู้นี้ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องการทำบุญทำทาน วัดวาอารามและสถานสงเคราะห์ต่างๆ ล้วนไม่เคยเข้า
“เอาสิ แต่ เอ วันนี้นึกยังไงถึงชวนแม่ไปทำบุญ?” หวงเลี่ยงหลิงถามออกไปด้วยความสงสัย
หญิงสาวระบายยิ้ม ท่าทางดูมีความสุข ไม่เหมือนช่วงเวลาที่ผ่านๆ มาที่จูเลี่ยงรุ่ยนั้นเอาแต่คิดแค้นและชิงชังสองแม่ลูกนั่น
“แม่คะ เราสองแม่ลูกโชคดีมีวาสนาได้เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย แต่ดูคนภายนอกสิคะ ชาวบ้านตาดำๆ ต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก อาหารการกินก็ขาดแคลน หน้าหนาวไม่มีผ้าห่มจนต้องหนาวตาย หน้าร้อนไม่มีพัดลมไม่มีแอร์จนต้องร้อนตาย จะว่าไปแล้วพวกเราโชคดีกว่าพวกเขายิ่งนัก เกิดมาสุขสบาย ในเมื่อเรามีแล้วควรจะแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ผลบุญจะได้ช่วยส่งเสริมให้พวกเราพบเจอแต่ความสุขความเจริญ พบเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ กัลยาณมิตรดีๆ และจะส่งเสริมบารมีให้พวกเราร่ำรวยและมั่งคั่งขึ้น ทำอะไรก็จะประสบแต่ความสำเร็จค่ะ”
หวงเลี่ยงหลิงจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวด้วยความประหลาดใจ หรือว่า…การผ่าตัดสมองจะทำให้ลูกสาวของเธอเปลี่ยนไปกันนะ แต่เอาเถอะ เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน หวงเลี่ยงหลิงรู้สึกว่าจูเลี่ยงรุ่ยดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความคิดความอ่าน และดูมีความสุขมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวานลูกสาวของเธอก็เล่นเอาพ่อและพรรคพวกของเมียน้อยหงายหลังหาทางกลับบ้านไม่เจอไปเลย
“ได้สิ แล้วลูกอยากไปทำบุญที่ไหนล่ะ?”
“เราไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ที่โรงเรียนในหมู่บ้านที่ยากจน และเอาขนมเอาเครื่องเขียนไปแจกพวกเขาด้วยดีไหมคะ” หญิงสาวเสนออย่างลิงโลด เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันโรงเรียนในสมัยนี้เป็นอย่างไรกันนะ
“เอาสิจ๊ะ อะไรที่เลี่ยงรุ่ยของแม่อยากทำ แม่ก็จะสนับสนุนทุกอย่าง ขอเพียงแต่ให้ลูกมีความสุข เดี๋ยวเราให้คนของคุณตาขับรถพาไปและให้ทหารไปคุ้มครองอารักขาด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้เราไปซื้อของสำหรับแจกเด็กๆ ที่ห้างสรรพสินค้ากันนะคะ อ้อ หนูได้ยินมาว่ามีร้านนวดหน้ามาเปิดใหม่ ได้ข่าวว่าผลิตภัณฑ์ของเขานำเข้ามาจากทางตะวันตก หนูอยากให้แม่ไปลองจัง หนูรู้ว่าแม่ชอบนวดหน้า เอาอย่างนี้ละกัน ระหว่างหนูเลือกของให้แม่ไปนอนนวดหน้านะคะ จะได้ผ่อนคลาย” จูเลี่ยงรุ่ยพยายามหาวิธีต่างๆ มาช่วยผ่อนคลายอารมณ์ที่ตึงเครียดและสับสนให้ผู้เป็นแม่ ชีวิตก่อนเธอนั้นเป็นลูกค้าขาประจำร้านนวด ทั้งนวดตัวนวดหน้า เธอรู้ว่าการนวดมันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากแค่ไหน
ผู้เป็นแม่ยิ้มอ่อน เวลานี้ลูกสาวของเธอดูเปลี่ยนไป ดูอารมณ์ดีมีความสุข และใส่ใจตัวเธอมากขึ้น เมื่อก่อนหญิงสาวจะเอาแต่ร่ำร้องหาผู้เป็นพ่อ แต่เวลานี้เธอไม่เคยได้ยินลูกสาวเอ่ยถึงพ่อเลยนับตั้งแต่เมื่อวานที่เขาออกจากบ้านหลังนี้ไปอย่างคนเสียเส้น
“แล้วลูกไม่ปวดหัวแล้วหรือ หมอบอกให้ลูกพักเยอะๆ นะ เอาไว้ให้ลูกแข็งแรงแล้วเราค่อยไปก็ได้” หวงเลี่ยงหลิงแย้งอย่างเป็นห่วง
จูเลี่ยงรุ่ยที่ไม่อยากเสียเวลาอยู่บ้านเพราะเรื่องราวในนิยายนั้นเดินไว เธอต้องเดินให้ไวกว่า อีกอย่างเธอรู้สึกว่าเวลานี้ร่างกายนี้แข็งแรงดีแล้ว แทบไม่มีอาการปวดหัวเลย
“หนูแข็งแรงดีแล้วค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไปหรอกค่ะ หนูรักตัวเอง หนูรักแม่ หนูรักตา หนูจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังค่ะ” หญิงสาวพูดจบก็กอดประจบผู้เป็นแม่อีกครั้งอย่างเอาใจ เล่นเอาหวงเลี่ยงหลิงอดยิ้มออกมาไม่ได้
เช้าวันถัดมา ที่ห้างสรรพสินค้า
วันนี้เป็นวันเสาร์คนเลยพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ หลังจากส่งแม่เข้าร้านนวดหน้าเปิดใหม่ที่ดูหรูหราราคาแพงแล้ว จูเลี่ยงรุ่ยก็เดินตรงเข้าไปในร้านเครื่องเขียน
“นี่ๆ นั่น เอ่อ จูเลี่ยงรุ่ยนี่ เดี๋ยวเธอก็คงเห็นนายแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยกระซิบเบาๆ ข้างหูโหวเจียวซือ
เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนฝูงว่าโหวเจียวซือนั้นมีคู่หมั้นคือจูเลี่ยงรุ่ย หญิงสาวคลั่งรักเขามากถึงขนาดวิ่งไล่ตามเขาไปแทบจะทุกที่ และอาละวาดผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เขา สหายของโหวเจียวซือคิดว่าอีกไม่กี่อึดใจคู่หมั้นแสนสวยของสหายตนคงจะเข้ามาหาโหวเจียวซือเหมือนทุกครั้งแน่ๆ เพราะเธอกับเขาเพิ่งจะเดินผ่านกันสบสายตากันตอนที่เดินดูของในร้าน
จูเลี่ยงรุ่ยเดินดูเครื่องเขียนต่างๆ สักพักก็จัดการสั่งคนของเธอที่ติดตามมาด้วยเป็นชาย 1คน หญิง 1 คนให้จัดการขนของที่เธอต้องการไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน หลังจากจ่ายเงินเสร็จคนทั้ง 3 ก็เดินออกจากร้านไป นั่นสร้างความแปลกใจให้กับ 2 นายทหารหนุ่มอย่างมาก
…ทำไมเธอไม่เดินหาเขาทั้งๆ ที่สบตากับเพื่อนที่มักจะติดสอยห้อยตามเขาประจำเหมือนทุกๆ ครั้ง?
จู่ๆ ใจของโหวเจียวซือก็ว้าวุ่นขึ้นมา วันนี้เขามาซื้อเครื่องเขียนต่างๆ เพื่อเอาไปแจกเด็กๆ ในหมู่บ้านที่ยากจน เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านการเรียนการศึกษาให้แก่เด็กที่ขาดกำลังทรัพย์ อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของเขา เขาตั้งใจว่าจะชวนคนรักอย่างเตียวหนิงฮวาให้ไปทำบุญบริจาคครั้งนี้ด้วยกัน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเจอคู่หมั้นของตนที่นี่ โหวเจียวซือเห็นหลังเธอไวๆ ก็จำได้ว่าเป็นเธอคนนั้น คนที่มักจะตามเขาแจไปทุกที่ ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงต้องรีบหาที่หลบให้พ้นจากสายตาของเธอ จนกระทั่งเธอและคนของเธอเดินออกจากร้านไปโดยที่ไม่หันมามองหาเขาเลย และนั่นทำให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมา
ที่คฤหาสน์ของจูเลี่ยงรุ่ย เวลา 18.00น.
ชายวัยกลางคนเดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่น ท่าทางหัวเสีย ทันทีที่รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอด เขารีบปรี่เข้าไปที่ประตูหลังของรถทันทีพร้อมกับกระชากเปิดออก
“ไปไหนกันมา ทำไมกลับกันเอาป่านนี้ รู้หรือเปล่าว่าผมรอทานข้าวอยู่” จูลู่จื้อพูดเสียงดังจนเกือบฟังเป็นตวาด
หวงเลี่ยงหลิงที่ก้าวลงมาจากรถช้าๆ ทำสีหน้างุนงง อะไรนะ?เมื่อตะกี้คุณสามีสุดที่รักของเธอว่าอะไรนะ รอทานข้าวงั้นหรือ?เขาไม่เคยทานข้าวเย็นกับเธอมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ
“เอ๋…อะไรนะคะพ่อ พ่อรอทานข้าว?รอทานข้าวกับใครหรือคะ พวกเราจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายนั้นทานข้าวเย็นกับพ่อไปตั้งแต่ปีไหน พ่อคะ พ่อมาผิดบ้านหรือเปล่า” จูเลี่ยงรุ่ยพูดดักคอพลางทำท่าทางยียวน
จูลู่จื้อถอนหายใจแรง ดวงตาของเขาเจือแววละอายอยู่บ้าง จริงอย่างที่ภรรยาและลูกสาวของเขาว่ามานั่นแหละ หลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามหลบเลี่ยงการร่วมโต๊ะกับสองแม่ลูกคู่นี้มาโดยตลอด อ้างว่าต้องอยู่เวรบ้างล่ะ นายใช้ให้ทำงานนอกเวลาบ้างล่ะ ต้องติดตามผู้บังคับบัญชาบ้างล่ะ แล้วก็หาโอกาสไปอยู่กับสองแม่ลูกนางเอกคู่นั้น
“แล้วนี่ไปไหนกันมา ซื้อข้าวของมาทำไมเยอะแยะ เงินมันหาง่ายนักหรือ คุณ ทำไมไม่สอนลูกให้รู้จักประหยัดบ้างล่ะ อย่านึกว่าตนเองเกิดมาบนกองเงินกองทองแล้วจะใช้จ่ายมือเติบเป็นกระเชอก้นรั่วนะ ถ้าหากในวันข้างหน้าเงินขาดมือจะทำอย่างไร” จูลู่จื้อพูดพลางส่งสายตาตำหนิภรรยาที่ได้แต่นิ่งงัน เพราะเธอตั้งตัวไม่ทันกับหลายๆ สิ่งตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว แล้วไหนจะวันนี้ที่สามีที่ไม่ค่อยจะยอมกลับบ้านกลับมารอกินข้าวเย็นกับเธอและลูกสาวอีก
“พ่อคะ พ่อจะเดือดร้อนไปทำไมล่ะคะ เงินพวกนี้เป็นเงินของแม่และตาทั้งนั้น ไม่ใช่เงินที่พ่อหามาให้สักหน่อย เอ หนูเองก็จำไม่ค่อยจะได้แล้วสิว่าครั้งสุดท้ายพ่อให้เงินหนูและแม่ไว้ใช้จ่ายไปเมื่อไหร่ อ้อ ส่วนเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือยนั้น ข้อนี้ขอเถียงนิดดดดนึงนะคะ วันนี้หนูไปซื้อเครื่องเขียนค่ะ ตั้งใจว่าจะพาแม่ไปทำบุญเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันให้เด็กๆ ในหมู่บ้านที่ยากจนและนำเครื่องเขียนพวกนี้ไปแจกด้วย ถือว่าทำบุญล้างซวยไงคะพ่อ ชีวิตหนูและแม่เจอเรื่องซวยๆ มามากพอแล้ว” จูเลี่ยงรุ่ยลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไว้หน้าผู้เป็นพ่อของเจ้าของร่าง ก็ทำไมจะต้องไว้หน้าด้วยล่ะ ผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ นี่น่ะหรือชีวิตพระเอกนิยาย โธ่เอ๊ย
จูลู่จื้อหน้าชา เขาทั้งอับอายและเสียหน้าที่ลูกสาวพูดจาไม่ไว้หน้าตนเลย ครั้นจะดุด่าว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่กล้า เพราะสิ่งที่จูเลี่ยงรุ่ยพูดมาทั้งหมดนั้นมันเป็นความจริง
…เขาเป็นผู้ชายเฮงซวยจริงๆ นั่นแหละ
เป็นผู้ชายเฮงซวยที่เคยคิดอยากจะหย่า แต่ครั้นพอภรรยาและลูกสาวเอาจริงเขากลับไม่อยากหย่าซะนี่ ยิ่งวันนี้ได้มาเห็นว่าหวงเลี่ยงหลิงนั้นดูสงบเสงี่ยมและเงียบขรึมมากขึ้น ท่าทีที่มีต่อเขานั้นหรือก็ผิดแปลกออกไปยิ่งทำให้ใจเขาร้อนรน
“คุณมานี่ มากับผมเดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเรื่องลูก” จูลู่จื้อเอาเรื่องลูกมาบังหน้าเพราะกลัวว่าหวงเลี่ยงหลิงจะไม่ยอมมากับเขา จูเลี่ยงรุ่ยได้แต่มองพระเอกพ่อลากแขนนางร้ายแม่เข้าไปในตัวคฤหาสน์ตาปริบๆ