ไต้เส้าจวินรู้สึกแปลกใจที่เห็นเด็กทั้งสี่ที่มักจะเกาะกลุ่มกันในยามเลิกเรียนวันนี้กลับแยกย้ายกันเดินไปคนละทาง
“น่าแปลกนะ ไม่น่าจะเชื่อว่าจะไม่สุมหัวกันอีก”
“ใครหรือ?”
“พวกเด็กที่ไปหลงป่าคราวก่อนอย่างไรล่ะ? โน่น! น่าแปลกจริงที่วันนี้แยกย้ายกันกลับบ้านได้อย่างสงบ”
“ข้าเห็นพวกเขาชอบไปรวมกลุ่มกันด้านข้างหอสมุดมิใช่หรือ?”
“เจ้าก็เห็นด้วย”
“อืม...เห็นสิ! ดูเหมือนจะไปเกือบทุกวันนี่” จงกว้านซีมองตามหลังซิวอี้เซิง เด็กชายที่ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์หูว่าเรียนรู้วิชาการต่อสู้ป้องกันตัวได้รวดเร็วและทำได้ดีทุกครั้ง ก่อนจะหันไปมองคุณหนูสกุลชิงที่กำลังขึ้นรถม้าออกไป ยังมีคุณชายน้อยฉีที่วันนี้หงอยๆ
แปะ! แปะ!
“วันนี้พวกเราก็ออกไปหาสหายเก่ากันสักหน่อยเถอะ เผื่อเขาช่วยพวกเราสืบหาร่องรอยเพิ่มเติมได้” ไต้เส้าจวินนึกถึงสหายเก่าที่เคยเรียนในเค่อเฉิงด้วยกัน
“จริงสิ! คนที่ไม่ยอมสอบเป็นขุนนางแต่ชอบเป็นมือปราบ สหายคู่ป่วนประจำเค่อเฉิงนั่น”
“ไปเถอะ! เราสืบกันเองน่าจะช้า ไปหาแนวร่วมกันดีกว่า”
ไห่ฮ่าวให้รถม้าประจำจวนไปจอดรถอยู่ที่โรงเตี๊ยมบนถนนเดียวกัน วันนี้จ้งซูกับจ้งหนิงทำหน้าที่เฝ้ารถม้า ชิงเว่ยเว่ยกับผู้คุ้มกันแอบย้อนกลับมาที่สถาบัน
“คุณหนูขอรับ ดูเหมือนคนจะไปกันหมดแล้ว บนอาคารเรียนฝั่งนั้นก็ปิดสนิท พวกอาจารย์น่าจะกลับกันหมด” ไห่ฮ่าวเงยหน้าขึ้น
“วันนี้ฟ้าครึ้มแต่เช้าคนคงกลัวฝนจะตกเลยรีบกลับ ทางจะได้สะดวกสำหรับเรา”
เสียงฝีเท้าเล็กๆกำลังมาทางพวกเขา ซิวอี้เซิง ซิวลู่ฉิง และฉีเหยียนย้อนกลับมาพอดี ชิงเว่ยเว่ยหันไปยิ้มให้สหายน้อย
“พวกเจ้าทำหน้าที่ให้แข็งขัน เราสองคนจะขึ้นไปข้างบน หากว่าเลยเวลาหนึ่งชั่วยามก็หาคนไปตามด้วย เราแค่คิดจะไปเลียบๆ เคียงๆ ซุ่มดูพวกเขาเท่านั้น” ชิงเว่ยเว่ยสั่งเสียพร้อมกับเดินนำไห่ฮ่าวขึ้นไปบนทุ่งหญ้า
ยังไม่ทันที่ซิวอี้เซิงจะได้ร้องถามคนทั้งสองก็วิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าซิว ยังจะยืนเซ่ออยู่อีก พวกเรารีบแยกย้ายไปประจำจุดดูต้นทางกันเถอะ ภารกิจนี้จะล้มเหลวไม่ได้นะ” ซิวลู่ฉิงรีบเตือนพี่ชาย
“ได้! อาเหยียนเจ้าไปดูส่วนหน้าอาคารนะ”
“ตกลง”
เมื่อพ้นสายตาสหายชิงเว่ยเว่ยก็ใช้กำลังภายในทะยานลิ่วนำไห่ฮ่าวไปถึงชายป่า คนทั้งสองเดินด้วยฝีเท้าที่ว่องไวไปตามชายป่า
“คุณหนูขอรับ ดีที่ป่านี้ไม่ถึงกับกว้างมาก หากเราเร่งฝีเท้าสักหน่อยก็น่าจะเดินเลาะชายป่าได้ทั่ว แล้วเราจะเข้าไปข้างในดูสักหน่อยไหมขอรับ?”
“ยังหรอก เท่าที่ข้าอ่านมา ด้านในของค่ายกลนี้ไม่อาจจะอยู่อาศัยได้เพราะการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาที่ซับซ้อน เงาดำพวกนั้นอาจจะอาศัยอยู่ชายป่าด้านใดด้านหนึ่ง” ชิงเว่ยเว่ยที่อุทิศตนอ่านตำราค่ายกลจนดึกดื่น รีบทะยานไปข้างหน้า
เขาไข่มังกรมีรูปร่างคล้ายไข่ขนาดใหญ่ถูกหั่นครึ่งคว่ำไว้บนพื้น มีบริเวณสนามหญ้าเป็นโค้งกว้างพอประมาณอยู่ด้านหนึ่ง ด้านหลังเขาเป็นผาเล็กตัดชันที่คราวก่อนหน่วยฉีหลินกับจินวั่งซูและพระชายาชิงหลานพากันแอบปีนขึ้น แม้บริเวณเขาไข่มังกรจะมิได้กว้างใหญ่นัก ทว่าเป็นค่ายกลจึงทำให้ยากจะรู้ว่าเดินรอบแล้วหรือยัง?
“เหมือนเราเดินย้อนมาที่เดิมเลยขอรับ”
“นี่เป็นค่ายกลซ้อนค่ายกลน่ะ มิใช่เพียงมีค่ายกลอยู่ในส่วนที่เป็นป่าเท่านั้น แต่เขาเขาไข่มังกรนี้ยังเป็นค่ายกลไข่มังกร มีภาพลวงตาทำให้เราเดินอย่างไรก็ไม่รอบ ดูท่าตอนนี้เรากำลังเดินวนรอบชายป่าที่เดิม”
ไห่ฮ่าวผงะ เขาไม่คิดว่าที่นี่จะซับซ้อนถึงเพียงนี้ จึงมองหน้าเจ้านายน้อย
“คุณหนูขอรับ แล้วเราจะ....”
“เจ้าเดินตามหลังข้า ข้าต้องหาพวกเขาให้เจอ” ชิงเว่ยเว่ยสีหน้ามุ่งมั่น นางคิดว่านี่เป็นบททดสอบสำคัญของการเป็นนักสืบและจอมยุทธ์ ครั้งนี้นางห้อยกระบี่ที่พี่รองสั่งตีมาให้ ขนาดเหมาะกับความสูงของนางและใช้งานได้จริง นางรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะปะทะกับพวกคนร้ายเพื่อทดสอบฝีมือตนเองบ้างที่พูดว่าแค่มาซุ่มดูนั้น อันที่จริงก็เพียงหลอกสหายน้อยเอาไว้มิให้ติดตามมาเท่านั้น หากแสดงพลังฝีมือให้พวกเขาเห็นล่ะก็ ย่อมจะกลายเป็นปัญหา
นางก้าวเดินตามขั้นตอนที่จดจำมาจากตำราค่ายกลเพื่อหาขอบเขตที่แท้จริงของพื้นที่บนเขาไข่มังกรโดยมีไห่ฮ่าวตามหลังชนิดก้าวต่อก้าว
“นั่น! ชายป่าฝั่งตะวันออก”
เงาตะคุ่มวูบวาบอยู่ด้านหน้า ทำให้คนทั้งสองรีบย่อร่างหมอบลงหลังพุ่มไม้อย่างว่องไว ครั้งนี้บุรุษในชุดสีน้ำเงินคล้ายชาวบ้านเหล่านั้นปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน
“หัวหน้า! คราวก่อนมีคนแอบขึ้นมาทางหลังเขา ฝีมือไม่ธรรมดาเลย ท่านว่าพวกเขาจะแอบมาอีกหรือไม่?”
“ไม่แน่! ป่านี้ได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่หวังสั่งห้ามคนทั้งสถาบันเค่อเฉิงเอาไว้มิให้ขึ้นมาโดยเด็ดขาด ทั้งมีค่ายกลซับซ้อนยังมีคนกล้าเข้ามาลองอีก หากนายท่านมาคราวนี้ข้าคงต้องรีบรายงานแล้ว”
*****************************