บทที่ 7 เหยี่ยวระวังภัย

1342 คำ
เหยี่ยวตัวใหญ่สีเทาดำบินวนอยู่เหนือทุ่งหญ้า ซิวอี้เซิงเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นเต้นก่อนจะชี้นิ้วให้ลูกน้องทั้งสามของตนมองตาม “พวกเจ้าดูนั่น! เหยี่ยวตัวนี้บินวนพวกเราหลายรอบแล้วนะ” ซิวลู่ฉิงผู้ชอบอ่านนิยายสืบสวนและลึกลับอยู่บ่อยๆ มองตามนิ้วของพี่ชายอย่างตื่นเต้น “นี่มันเหยี่ยวระวังภัยเหมือนในเรื่องนักสืบยุทธภพเลย” “เฮ้อ! เจ้าก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึงนิยายเรื่องโปรดอยู่ได้ เหยี่ยวระวังภัยที่เจ้าว่าเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาน่าจะเป็นเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์ขององค์หญิงจินเฟิ่งแห่ง แคว้นจิน* พระชายาเอกของจวิ้นอ๋อง” ซิวอี้เซิงไม่ชอบอ่านหนังสือ หากเป็นตำราอาวุธและการฝึกยุทธเขาจึงพากเพียรอ่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็กชายมักจะขอให้ผู้อารักขาของท่านพ่อพาไปฟังการเล่านิทานในโรงน้ำชาซึ่งมักจะเล่าเรื่องจริงจากแดนไกลหรือไม่ก็เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ ส่วนซิวลู่ฉิงที่ชอบอ่านนิยายก็มักจะขอให้สาวใช้ประจำตัวของนางไปแอบซื้อนิยายที่ชอบจากร้านหนังสือมาให้เพราะบิดาของนางไม่ค่อยชอบให้อ่านนิยายนักบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์ต่อการค้า ครั้นอ่านแล้วเด็กหญิงก็มักจะเอามาเล่าให้พี่ชายฟังอยู่เสมอ ชิงเว่ยเว่ยมองดูเหยี่ยวตัวนั้นแล้วก็หันไปถามซิวลู่ฉิง “เหยี่ยวระวังภัยที่เจ้าว่ามันทำหน้าที่อะไรบ้าง?” “เหยี่ยวของจอมยุทธ์เซียวมีชื่อว่าสายฟ้า มันจะทำหน้าที่ลาดตระเวนในบริเวณที่จอมยุทธ์เซียวอยู่รัศมีหกลี้* หากเห็นความปกติจะบินกลับไปรายงานในทันที บางครั้งมันก็ยังทำหน้าที่ส่งข่าวด้วยเพราะมันคอยระวังภัยและจับตา มองศัตรูจึงได้ชื่อว่าเป็นเหยี่ยวระวังภัย” “จวิ้นอ๋องเองก่อนที่จะเดินทางไปอภิเษกสมรสกับองค์หญิงจินเฟิ่งที่แคว้นจินก็ทรงฝึกเหยี่ยวมาก่อน ไม่แน่ว่าในแคว้นหมิงอาจจะมีผู้ที่ทำได้อีกหลายคน เหยี่ยวตัวนี้ดูเหมือนคอยจับตามองพวกเรานะ” เด็กทั้งสี่พากันกินจนอิ่มหนำแล้วก็เริ่มเก็บของใส่ในห่อผ้าก่อนจะพาเดินไปดูชายป่า ซิวอี้เซิงมองดูร่องทางเดินที่หายเข้าไปในป่า “นี่คงเป็นเส้นทางที่บรรดาศิษย์พี่ใช้เข้าไปหาของสำคัญในป่าสินะ” “อืม....น่าจะเป็นเช่นนั้น” ฉีเหยียนพึมพำ “อาเหยียน เจ้าเดินก็ก้มลงมองทางหน่อยเล่า? เนินเขาที่พวกเราเดินกันอยู่นี่ ใช่ว่าจะปลอดภัยเหมือนอย่างตอนที่เราเดินอยู่ในเมืองหรอกนะ อาจจะมีสัตว์เลื้อยคลานเพ่นพ่านผ่านมาก็ได้” “ไอหยา!” ฉีเหยียนเผลอกระโดดจนตัวลอย ขึ้นขี่หลังซิวอี้เซิง เขากลัวงูยิ่งนัก เคยเจองูเขียวในสวนครั้งหนึ่งเขาก็กระโดดขึ้นขี่หลังสาวใช้ประจำตัวไม่ยอมลงเดินซ้ำยังซุกหน้าซบอยู่หลังจิงหานตัวสั่นเทา จนนางต้องคอยปลอบอยู่นาน ครั้นพวกบ่าวรับใช้มาช่วยกันจับงูเขียวตัวนั้นเอาไปทิ้งนอกจวนแล้วเขาจึงยอม ลงยืนที่พื้น “อะไรของเจ้า? กลัวถึงขนาดนี้เชียวหรือ?” “ทำยังกับเจ้าไม่กลัวงูอย่างนั้นแหละ” ซิวอี้เซิงหัวเราะร่วน “ข้าเป็นหัวหน้าซิวเชียวนะ แค่งูจะไปกลัวทำไมกัน? อีกอย่างไม่เคยได้ยินคนพูดกันว่ามีงูบนเขาไข่มังกรมาก่อน” “หรือว่าจะเป็นเหมือนตอนที่จอมยุทธ์เซียวไปเจอเขาที่ไร้สัตว์อยู่อาศัย” ซิวลู่ฉิงขมวดคิ้ว “อย่างไรหรือ?” “เว่ยเว่ย วันหลังข้าจะเอานิยายเรื่องนี้ให้เจ้ายืมไปอ่านก็แล้วกัน ในเล่มที่สามได้กล่าวถึงภูเขาแห่งหนึ่งที่ไม่มีสัตว์แม้สักตัวกล้าอาศัยอยู่เพราะที่นั่นมีพวกภูตผีปีศาจน่ะสิ” ชิงเว่ยเว่ยฟังถึงตรงนี้นางรู้สึกว่าสายลมที่พัดกรูเกรียวเข้ามาเหมือนจะทำให้ขนลุกขนพอง “ไม่แน่นะ บางทีที่นี่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้” “เจ้าอย่าพูด! หัวหน้าซิวบอกแล้วมิใช่หรือว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงสิ่งน่ากลัว” ซิวลู่ฉิงที่ยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่รีบเปลี่ยนไปยืนอยู่กลางกลุ่มสหายทันที “เหลวไหล จะมีภูตผีปีศาจมาจากไหนกัน?” “เอ๊ะ! นั่นเงาอะไรอยู่ในป่า?” “หืม! อาเหยียนเจ้าเห็นหรือ?” หัวหน้ากลุ่มฉีหลินรู้สึกตื่นเต้นในทันที รีบมองหาตามทิศที่ฉีเหยียนมองอยู่ “ใช่! ดูเหมือนเมื่อครู่จะมีหลายเงาเสียด้วย” “พวกเราเข้าไปดูกันดีไหม?” ซิวอี้เซิงรีบเสนอแนะ เขาอยากเห็นนักว่าข้างในมีอะไร? ไม่รอให้คนขี้กลัวอย่างฉีเหยียนทัดทานเขาเดินดุ่มๆ นำหน้าเข้าไปในป่าทันที “หัวหน้า! ไม่มีผีแน่นะ” ซิวลู่ฉิงผู้กังวลเพียงว่าตนเองจะเจอผีร้องถามขึ้น “ผีที่ไหนจะมาเล่า? กลางวันแสกๆ แบบนี้” ชิงเว่ยเว่ยเดินต่อจากฉีเหยียนซึ่งขออยู่กลางระหว่างซิวอี้เซิงกับเว่ยเว่ยเพราะเขารู้ว่าสองคนนี้ใช้กระบี่ได้เก่ง หากเจอเรื่องใดก็น่าจะช่วยเขาได้ ส่วน ซิวลู่ฉิงก็เกาะแขนชิงเว่ยเว่ยเอาไว้ แม้นางจะมิได้แย่เรื่องการป้องกันตนเอง แต่เมื่อเห็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ก็นึกกลัวว่าอาจจะมีผี เด็กทั้งสี่คนเดินตามกันเข้าไปในทางเดินเข้าป่าที่สอง เดินวนไปวนมาก็ยังไม่พบเงาที่ฉีเหยียนว่า “อาเหยียนอาจจะมองเห็นกวางก็ได้” “ข้าว่าป่านี้ไม่มีกวางแน่ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตั้งแต่พวกเราเดินขึ้นเนินเขาขึ้นมาแม้แต่กระต่ายน้อยสักตัวก็ไม่มี” ชิงเว่ยเว่ยตั้งข้อสังเกต “นั่นน่ะสิ!” ซิวอี้เซิงหันไปสนับสนุน “ที่นี่ชักจะแปลกไปแล้ว นกสักตัวก็ไม่ได้ยินเสียง” แม้ซิวอี้เซิงจะไม่เคยไปเดินป่าแต่เพราะเขาคิดว่าวันข้างหน้าหากตนเองได้เป็นแม่ทัพย่อมต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นตำราที่เกี่ยวกับภูมิประเทศ แม่น้ำ ป่าไม้เขาจึงหมั่นอ่านและศึกษา “อย่าว่าแต่นกเลย! ข้ายังแปลกใจที่ไม่มีแมลงสักตัว” ซิวลู่ฉิงเอ่ยขึ้น “จริงของเจ้า!” ชิงเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี “หัวหน้าซิว ข้าว่าพวกเราออกจากป่านี้ไปก่อนดีกว่า เอาไว้วันหลังค่อยหาคนมาเพิ่มแล้วขึ้นมาสำรวจกันใหม่” ซิวอี้เซิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาสังเกตว่ายิ่งเดินไปยิ่งเห็นต้นไม้เหมือนกันไปหมด ปกติในป่าทุกต้นล้วนแตกต่างแต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าป่านี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น? “เออ...งั้นพวกเรากลับกันเถอะ!” ซิวลู่ฉิงกับชิงเว่ยเว่ยหันหลังกลับเพราะพวกเขาคิดจะย้อนกลับไปทางเดิม ทว่าพอหันหลังกลับมาเด็กทั้งสี่คนถึงกับตกใจ “เอ๊ะ!” ฉีเหยียนตื่นตะลึงยิ่งกว่าคนอื่นๆ “ทำไมทางเดินหายไปแล้ว?” เส้นทางที่พวกเขาเดินเข้ามาเมื่อครู่หายไปหมดกลายเป็นต้นไม้และเถาวัลย์รกครึ้ม ชิงเว่ยเว่ยนึกถึงตำราจอมยุทธ์ที่นางศึกษา “หรือว่า? พวกเราตกอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว แย่ล่ะ!” ซิวอี้เซิงผงะ “ข้าเคยได้ยินว่าการตั้งค่ายกลล้วนเป็นการทำกับดักของยอดฝีมือ ไม่เคยคิดว่าเราจะได้เจอด้วยตนเอง” “หัวหน้าซิว พวกเราคงเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวแล้ว” **************************** *หกลี้ ประมาณ 3 กิโลเมตร *องค์หญิงจินเฟิ่ง นางเอกเรื่อง “ท่านอ๋องเป็นของข้า”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม