ไต้เส้าจวินยืนมองเด็กนักเรียนชายหญิงที่อยู่ในความปกครองของตนเองทยอยเดินลงจากอาคารไปยังประตูใหญ่หน้าสถาบัน มีเด็กไม่กี่คนเท่านั้นที่ดูแล้วจะควบคุมได้ยาก เขาจำได้แม่นเพียงซิวอี้เซิงผู้ที่มีน้องสาวมานั่งเรียนร่วมห้องอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนเด็กชายจะไม่ค่อยชอบการร่ำเรียนเท่าใดนัก เขาสังเกตเห็นว่าคุณชายซิวผู้นี้ดูเหมือนจะชมชอบวิชาการป้องกันตัวเป็นพิเศษ คะแนนในวิชานั้นอาจารย์หูมาบอกกับเขาว่า ซิวอี้เซิงนำเป็นอันดับหนึ่ง แม้วิชาอื่นเหล่าอาจารย์จะมาบ่นให้ฟังจนหูแทบดับ แต่อย่างน้อยอาจารย์รูปงามยังรู้สึกสบายใจว่าศิษย์ของตนยังมีความถนัดอยู่บ้าง
“เจ้าดูจะมีความสุขกับการสอนเด็กๆ มากเลยนะ” อาจารย์จงผู้สอนเล่นดนตรีเดินมาข้างหลัง ตบบ่าสหายเบาๆ ขณะมองตามหลังเด็กสองห้องที่เดินตามกันไป
“อืม! แล้วเด็กห้องเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?”
จงกว้านซีได้ยินก็ส่ายหน้า “ข้าคงไม่เหมาะกับการดูแลพวกเขาเหมือนเจ้าหรอก อีกไม่กี่วันได้ยินอาจารย์ใหญ่หวังบอกว่าจะมีอาจารย์คนใหม่มารับผิดชอบแทนแล้ว ส่วนข้าก็จะได้กลับไปสอนดนตรีได้อย่างเต็มที่เช่นเดิม”
“ได้อาจารย์มาจากที่ใด?”
“เห็นว่ามาจากเมืองชิงหลิง เป็นปราชญ์หญิงที่ซ่อนกายอยู่บนภูเขาชู่ชีมีคนแนะนำมาให้อาจารย์ใหญ่หวัง เขาบอกกันว่านางสวยมากเสียด้วย ข้าชักจะอยากเห็นเสียแล้วสิ”
ไต้เส้าจวินส่ายหน้า สหายจงของตนมีมนุษยสัมพันธ์ดียิ่ง ไม่ว่าไปที่แห่งใดก็ล้วนแต่ทำความรู้จักกับคนได้โดยไม่ถือตัว
“ต่อให้นางงดงามแต่เจ้าก็ไม่อาจรู้ว่าในใจของนางมีผู้ใดแอบแฝงอยู่หรือไม่? ค่อยดูท่าทีของนางไปก่อนก็แล้วกัน”
จงกว้านซีหัวเราะหึๆ ในลำคอ ไต้เส้าจวินยังคงเป็นคนระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ช่วงเวลาหลังจบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ไปหลายปี คนทั้งสองได้ออกไปเผชิญชีวิตหลากรูปแบบและใช้ชีวิตอยู่หลายเมือง
“เจ้ากลัวว่านางจะมีความลับซ่อนอยู่กระมัง?”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เบื้องนอกสดใสไม่รู้ว่าข้างในจะมืดมนหรือไม่?”
สายตาของอาจารย์ไต้มองเลยไปยังสาวน้อยชุดสีส้มที่เดินคู่กับสาวน้อยชุดสีชมพู เด็กหญิงสองคนนั่งอยู่หน้าสุด แม้ชิงเว่ยเว่ยจะไม่ค่อยพูดและตอบคำถามในห้องเรียนนัก ไต้เส้าจวินรู้สึกท่าทีของนางไม่เหมือนกับเด็กหญิงเลย สักนิด ซิวลู่ฉิงตั้งใจเรียนในห้องและตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่วดูเป็นเด็กหญิงร่าเริงผู้หนึ่ง จงกว้านซีมองตามสายตาของสหายไป
“เอ๊ะ! เจ้าดูเด็กกลุ่มนั้นสิ เหตุใดจึงเดินย้อนกลับมาทางหอสมุดแต่มิได้ตรงเข้าไปในหอสมุดเล่า?”
“สาวใช้พวกเขาดูเหมือนจะจับกลุ่มรออยู่ศาลาด้านหน้า แล้วนี่จะนัดกันไปที่ใด” ไต้เส้าจวินสังเกตว่าเด็กชายสองคนสะพายห่อผ้า ส่วนเด็กหญิงทั้งสองถือเอาร่มไปด้วยคนละคัน
เด็กทั้งสี่เดินเลียบๆ เคียงๆ หายไปข้างหอสมุด อาจารย์ไต้เริ่มขมวดคิ้ว
“เด็กดีของเจ้าเห็นทีคงจะเริ่มซุกซนกันเสียแล้ว”
“รอดูสักครู่ หากว่าพวกเขาไม่กลับออกมาล่ะก็ เราคงต้องไปตามแล้วไม่รู้ว่าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
เด็กน้อยทั้งสี่มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามมาก็วิ่งตื๋อตามทางเดินเล็กๆ ขึ้นไปบนเนินเขา หากยืนมองจากด้านหลังหอสมุดแล้วจะมองเห็นทางขึ้นเขาไข่มังกรเป็นทุ่งหญ้าลาดยาวขึ้นไปแล้วค่อยเป็นลานกว้างพอประมาณ นอกนั้นจึงเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ มีทางเดินเล็กๆ เข้าไปข้างในได้หลายทางคล้ายกับเส้นทางที่มดทำรัง
“โอ๊ะๆ ข้าตื่นเต้นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาผจญภัยโดยไม่มีคนติดตาม พวกเจ้าว่าในป่านี้มีสัตว์ร้ายไหม?” ฉีเหยียนคุณชายผู้อยู่ในกฎระเบียบมองซ้ายมองขวา ป่าแห่งนี้คงต้องนับเป็นป่าแห่งแรกในชีวิตที่เขาได้บุกเข้ามา
“ข้าก็เหมือนกัน! ป่านี้น่าตื่นเต้นจริงๆ มีทั้งสนามหญ้าและป่าด้านหลัง หากว่าวันหนึ่งข้างหน้าข้าได้ไปในสนามรบที่มีภูมิประเทศเช่นนี้ข้าจะซุ่มดูศัตรู ที่ใดดี?” ซิวอี้เซิงกำลังนึกถึงกองทัพพยัคฆ์เหินอันเกรียงไกร มีแม่ทัพใหญ่อย่างชินอ๋องสวมหน้ากากปีศาจภูเขาออกไล่ล่าตามเรื่องเล่าตามโรงน้ำชา
“ป่านี้แม้จะไม่กว้างใหญ่นักแต่ดูซับซ้อนอยู่นะ วันนี้พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปข้างในเลย ดูเหมือนทางเดินเข้าไปจะมีเยอะเหลือเกิน” ชิงเว่ยเว่ยชี้ให้สหายน้อยของนางดูร่องทางเดินเล็กๆ ที่สามารถเดินเข้าไปในป่าได้
ซิวลู่ฉิงแม้จะอยากขึ้นมาดูบนเขาไข่มังกรว่ามีสภาพเช่นไรแต่นางก็มีความกลัวอยู่มาก มือหนึ่งนางเกาะแขนของชิงเว่ยเว่ยเอาไว้ อีกมือถือร่ม เป็นเพราะชิงเว่ยเว่ยบอกเอาไว้ตั้งแต่วันนัดหมายว่าควรจะพกเอาร่มไปด้วยเผื่อฝนตกก็จะได้ไม่ต้องเปียกหรืออาจจะได้ป้องกันสัตว์ที่ไม่คาดคิดได้ด้วย
“หวังว่าคงไม่มีหมีหรือเสือโผล่ออกมาหรอกนะ”
“เสี่ยวฉิง! คนเดินเข้าป่าเขาห้ามพูดถึงเสือ เข้าใจหรือไม่?” ซิวอี้เซิงผู้เป็นพี่ชายหันมาดุน้องสาว นอกจากจะสะพายห่อผ้าใส่น้ำและหมั่นโถวแล้ว เด็กชายยังห้อยกระบี่ไม้ติดเอวมาด้วย
“ได้ๆ ข้าพูดแค่นี้หวังว่ามันจะไม่ออกมาหรอกนะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ร่างอวบท้วมของนางเริ่มจะเดินไม่ไหว จึงหันไปโอดครวญกับสหายที่ตนยึดแขนเอาไว้ “เราพักกันก่อนสิ ข้าปวดขาจะแย่แล้ว!”
“หัวหน้าซิว! พวกเรานั่งพักกันก่อนเถอะ เสี่ยวฉิงเดินไม่ไหว”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอก ซิวอี้เซิงก็ชะงักเท้าหันกลับมามองเด็กหญิงสองคน “ไปนั่งที่โขดหินพวกนั้นก็แล้วกัน”
ชิงเว่ยเว่ยมองตามนิ้วของซิวอี้เซิงก็เห็นว่าท่ามกลางทุ่งหญ้าที่สูงเกือบถึงเอวนั้นมีโขดหินหลายก้อนซ่อนอยู่ ด้านบนคล้ายแผ่นตั่งใหญ่เรียบ เด็กน้อยทั้งสี่จึงเดินตรงไปหย่อนก้นลงนั่งแยกกันเป็นสองคู่ ซิวลู่ฉิงขยับขึ้นไปนั่งบนก้อนหินใหญ่แผ่นเรียบแล้ว
“หัวหน้า! ข้าหิวแล้วล่ะขออาหารกับน้ำดื่มหน่อยเถอะ”
ซิวอี้เซิงยอมปลดห่อผ้าออกวางตรงหน้าน้องสาวแล้วกางห่อผ้าขาวที่มีหมั่นโถว ปลดจุกน้ำดื่มในถุงหนังยื่นให้ ซิวลู่ฉิงคว้าหมั่นโถวขึ้นมากัดหยับๆ อีกมือก็คว้าเอาถุงน้ำขึ้นมาเทดื่มสลับกัน
ส่วนฉีเหยียนผู้มีรูปร่างผอมแห้งปลดห่อผ้าออกมาดื่มน้ำ ก่อนจะหันไปหยิบหมั่นโถวที่อยู่ตรงหน้าเด็กหญิงตัวอ้วนมาใส่ปาก
“พวกเจ้าสองคนเห็นทีคงจะต้องฝึกร่างกายให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเหตุร้ายที่ต้องใช้แรงกำลังคงจะสู้ไม่ไหว” ซิวอี้เซิงที่รูปร่างท้วมเหมือนกับน้องสาวแต่มีกำลังมากมองไปยังฉีเหยียนผู้ผอมบางก็รู้สึกอเนจอนาถ “ข้าในฐานะหัวหน้าเห็นว่าต้องกวดขันเรื่องพละกำลังของพวกเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนก็ไม่ต่างจากสุกรป่วย”
“แต่ข้าไม่ได้อ้วนนะ” ฉีเหยียนที่เคี้ยวหมั่นโถวก้อนแรกหมดรีบหันมาเถียง
“อาเหยียน! ข้าบอกแล้วว่าข้อตกลงแรกของกลุ่มฉีหลินคือ พวกเจ้าต้องเชื่อฟังหัวหน้าอย่างข้า”
ฉีเหยียนพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ได้!” เขาเปิดเอาห่ออาหารที่ตนสะพายมากางออก ในนั้นมีน่องไก่ทอดหลายชิ้น แม้จะไม่มีความร้อนหลงเหลืออยู่แล้วแต่กลิ่นเครื่องเทศที่คลุกอยู่กลับส่งกลิ่นหอมฉุย
“ว้าวววว.....ไก่ทอดของเจ้าหอมจริงๆ”
******************************