“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ทันทีที่เสียงของชายหนุ่มดังแว่วเข้ามาในหู ภาพคฤหาสน์เก่าหลังใหญ่หลังหนึ่งแว้บเข้ามาในภวังค์จนเขาต้องดีดนิ้วเปาะ ร้องเรียกร่างสูงที่กำลังก้าวลงจากรถไว้อย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวครับ ผมพอจะรู้แล้วว่ามีที่ไหนที่เหมาะกับคุณ”
“ที่ไหนครับ”
“กลับขึ้นรถเถอะ ยังไงก็ไปที่บ้านผมก่อนเถอะครับ ผมต้องการข้อมูลอีกหน่อย”
ไม่รู้อะไรดลใจให้โจชัวต้องกลับขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านของทนายคอนเนอร์ บ้านของเขาตั้งอยู่ในย่านธุรกิจของลอนดอนซึ่งคาดว่าก็คงอยู่ในละแวกเดียวกับบ้านหลักที่พอของเขาเคยอาศัยอยู่ ทนายคอนเนอร์เชื้อเชิญเขาเข้าไปข้างใน เรียกภรรยาของเขาช่วยนำเสื้อผ้ามาให้โจชัวผลัดเปลี่ยนและดูแลจัดเตรียมอาหารเย็นให้ ก่อนตนจะขอตัวไปยังห้องทำงานเพื่อตรวจสอบเอกสารทรัพย์สินในส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของตระกูลโจนส์เพียงลำพัง
ที่บ้านของทนายคอนเนอร์นั้นมีเด็กชายและเด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบปีอาศัยอยู่ด้วย ทั้งสองพากันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนภรรยาของทนายคอนเนอร์ต้องดุเสียงดังถึงได้เงียบไป ต้นเหตุของเสียงเด็กทั้งสองนั้นมาจากการแบ่งขนมมาร์ชแมลโลว์กันไม่ลงตัว ก่อนเด็กหญิงจะวิ่งน้ำตานองมายังห้องนั่งเล่นซึ่งโจชัวอยู่ พลันฟ้องเป็นการใหญ่
“คุณแม่ขา อลันไม่ยอมแบ่งมาร์ชเมลโลว์ให้หนู”
“ผมแบ่งแล้วนะ แต่มันไม่พอดีต่างหาก อลิซขี้โกหก!”
“ไม่เอานะเด็กๆ ไม่ทะเลาะกัน แม่ให้แกะห่อใหม่ได้ แล้วไปเล่นกันเงียบๆ นะจ๊ะ”
พอได้ยินคำอนุมัติ เด็กๆ ก็ร้องไขโย พากันวิ่งไปยังห้องครัว โจชัวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวคอนเนอร์จนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อยที่เด็กทั้งสองมีทั้งพ่อและแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนจะหลุดออกจากความคิดของตนเอง หันไปตามเสียงของหญิงวัยกลางคนทันที
“ขอโทษด้วยนะคะคุณโจนส์ที่เด็กๆ รบกวนคุณ”
“ไม่เป็นไรครับคุณนายคอนเนอร์”
เป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่โจชัวยิ้มให้กับคนอื่นก็ว่าได้ แม้มันจะเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นมิตร
“เรียกมาเรียก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเรียกคุณนายคอนเนอร์หรอก”
โจชัวพยักหน้ารับ ก่อนหล่อนจะเบนความสนใจไปรินกาแฟลงถ้วยให้เขาอีกครั้ง พลันโจชัวก็นึกแปลกใจขึ้นมากับสรรพนามที่เด็กๆ ใช้เรียกมาเรีย มันดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อยที่คนที่เลยวัยกลางคนไปแล้วจะมีลูกเล็กๆ ถึงสองคน จึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“เด็กสองคนนั่น... ผมหมายถึงอลันกับอลิซน่ะครับ พวกแกเป็นลูกของคุณกับคุณคอนเนอร์หรือ”
มาเรียยิ้มเล็กน้อย ส่งถ้วยกาแฟให้ชายหนุ่มรับก่อนตอบ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เด็กสองคนนั่นเป็นลูกๆ ของลูกชายเรา พอดีพ่อแม่ของพวกแกทำงานอยู่เมืองอื่น พวกแกเลยมาอยู่กับเราที่นี่ประจำ เราสอนให้เรียกเราว่าพ่อแม่ตั้งแต่เล็กๆ เลยเป็นอย่างที่เห็นน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ...”
โจชัวพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดอิจฉาไม่ได้อยู่ดีที่เด็กทั้งสองนอกจากจะมีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ยังมีปู่กับย่าที่คอยให้ความรักยามไม่ได้อยู่กับพ่อแม่อีก ช่างต่างจากเขาอะไรอย่างนี้นะ นอกจากพ่อจะไม่เคยสนใจไยดีตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาแล้ว ครอบครัวฝั่งพ่อยังไม่ยอมรับเขาว่าเป็นหนึ่งในสายเลือดอีก กระทั่งทั้งตระกูลไม่มีใครหลงเหลืออยู่นอกจากเขานี่แหละ เขาถึงได้รับการต้อนรับสู่ตระกูลอีกครั้ง
“ยังไงคุณโจนส์นั่งรอก่อนนะคะ คงอีกสักพักกว่าตาแก่จะจัดการเอกสารเสร็จ”
สรรพนามซึ่งผู้เป็นภรรยาใช้เรียกสามี ทำเอาโจชัวหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะขอตัวไปพาเด็กๆ เข้านอนเพราะเลยเวลานอนของเด็กๆ มามากแล้ว โจชัวจึงนั่งรอทนายคอนเนอร์ต่อไปตามลำพัง ไม่กี่อึดใจ ชายวัยกลางคนก็ออกจากห้องทำงานพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ ตรงเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับโจชัวก่อนส่งเอกสารในมือให้
“อันนี้เป็นเอกสารกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่วนนี่เป็นรูปถ่ายของคฤหาสน์ครับ ลองดูสิครับว่าโอเคมั้ย ถ้าคุณชอบ ผมจะได้ติดต่อกับคนดูแลที่นั่นแล้วพาคุณไปพรุ่งนี้”
โจชัวหยิบภาพถ่ายคฤหาสน์ขึ้นมาดู พินิจคร่าวๆ ดูท่าคฤหาสน์นี้น่าจะมีอายุยาวนานแล้วจากความเก่าแก่ของมัน หากแต่หาได้ดูซอมซ่อไร้การดูแลแต่อย่างใด จากบรรยากาศรอบๆ เขาเดาได้ว่าน่าจะสร้างอยู่ในป่า พลันทนายคอนเนอร์ก็พูดขึ้นให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“คฤหาสน์นี่เป็นหนึ่งในสมบัติเก่าแก่ของตระกูลโจนส์มาหลายชั่วอายุคนแล้วครับ ถ้าจำไม่ผิด เห็นว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 ถึงจะเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังคงสภาพดีกว่าคฤหาสน์หลังอื่นๆ ของตระกูลที่ถูกรื้อสร้างคฤหาสน์ใหม่อยู่เยอะ ที่สำคัญ แถวนั้นไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านด้วย หวังว่าคงจะถูกใจคุณนะ”
“มันอยู่ที่ไหนครับ”
ทนายคอนเนอร์กะไว้อยู่แล้วว่าโจชัวต้องสนใจ เขาหยักยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“อยู่ในหมู่บ้านโบราณเล็กๆ ทางเหนือของเมืองแมนเชสเตอร์ครับ”
โจชัวนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกแปลกๆ กับภาพคฤหาสน์ในภาพถ่ายใบนี้เสียเหลือเกิน ราวกับว่ามีความผูกพันอะไรบางอย่างกับคฤหาสน์หลังนี้อย่างไม่อาจให้คำตอบได้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตระกูลโจนส์มีคฤหาสน์นี้ไว้ในครอบครองด้วย ถึงอย่างนั้นเขาก็ตอบตกลงไปโดยแทบไม่ต้องใช้ความคิดหรือเหตุผลอะไรมากนัก นอกเสียจากความต้องการที่จะไปราวกับมีเสียงปริศนาร้องเรียกเขาดังออกมาจากภาพถ่าย
“ตกลงครับ ผมเลือกที่นี่”
ทนายคอนเนอร์ยิ้มอย่างพอใจที่โจชัวยอมตกลงตามข้อเสนอของเขา รู้สึกโล่งอกที่เขารอดพ้นข้อกล่าวหาว่าดูแลทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์ได้ไม่ดีเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนเจคอบจะเสียชีวิตนั้น เขาได้ดำเนินการบางอย่างกับคฤหาสน์เอาไว้
“แต่ผมต้องบอกไว้อย่างหนึ่งว่าคฤหาสน์นี่ถูกดัดแปลงเป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเล็กๆ ไปเมื่อเดือนก่อนนะครับ ตอนนี้มีเด็กในดูแลราวสิบกว่าคน แต่เดี๋ยวเด็กพวกนั้นก็จะถูกส่งเข้ามาอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในลอนดอน หวังว่าคุณคงจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”
“ครับ ไม่มีปัญหา”
“ดีครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะได้ติดต่อทางนั้นเลย”
ว่าแล้วก็เดินไปยกหูโทรศัพท์ กดหมายเลขติดต่อผู้ดูแลคฤหาสน์ทางนั้นในทันที ปล่อยให้โจชัวนั่งจ้องภาพถ่ายในมือลำพังโดยไม่อาจให้คำตอบตัวเองได้ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจเลือกคฤหาสน์แห่งนี้เลยสักนิด