“แหวะ สัตว์ชั้นต่ำ! พวกมันก็แค่ถุงเลือดเดินได้สะเออะจะมีคู่โชคชะตาเป็นแวมไพร์ หึ”
“อาจารย์ข้ามเรื่องนี้ไปดีกว่า รีบสอนเถอะว่ากัดตรงไหนเลือดพวกมันจะไหลออกมาหมดตัว แล้วตายเร็วที่สุด” แวมไพร์อีกตนพูดขึ้นด้วยความสนุกสนาน ขณะที่ยังเลียเลือดสดในถุง
“อย่าดูถูกฟีโรโมนของพวกมันไป มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ไม่แพ้เลือด แม้ไม่ได้ช่วยเพิ่มพลัง แต่บางครั้งช่วยให้สงบ และบางครั้งช่วยให้ตื่นเต้นสุดขีดเชียวละ” อาจารย์กายวิภาคพูดขึ้นก่อนจะกวาดตามองมนุษย์ที่นั่งอยู่ในห้อง ร่างกายของพวกเราสั่นระริก รู้สึกเหมือนกำลังถูกมีดชำแหละตรงหน้าแวมไพร์
ฉันตัวแข็งจนนั่งหลังตรงไม่ขยับ
“ถ้าอยากรู้ว่ากัดตรงไหน ก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตรงไหนที่จะทำให้มันดิ้นพล่าน ลำคอไงล่ะ เจาะเขี้ยวของพวกเธอลงไปที่เส้นเลือดใหญ่ของพวกมัน แต่ก็ถนอมมันด้วยล่ะอย่าโลภจนทำมันตายในครั้งเดียว”
“ผมสงสัยจังว่าดูดกี่ทีเลือดพวกมันถึงจะหมดตัว”
“พวกมันสร้างเลือดได้ตลอด ๆ พ่อหนุ่มน้อย พวกมนุษย์อย่างพวกแกก็เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าควรยื่นส่วนไหนให้นายท่านของพวกแก” เขาหันมากำชับนักเรียนสี่ห้าคนที่รวมทั้งฉันด้วย
นี่มันเรื่องบ้าที่สุด
ทำไมฉันต้องมานั่งเรียนเรื่องร่างกายตัวเอง เพื่อสังเวยให้กับพวกบ้าเลือดไร้อารยธรรมพวกนี้ด้วย
“งั้นฉันขอดื่มเลือดเธอได้ไหม ตัวเธอหอมดี นี่เหรอกลิ่นฟีโรโมน อ้าส์~” น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้นข้างหู ฉันหันกลับไปมองก่อนจะพบแวมไพร์ตนหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวเจาะเข้าลำคอฉัน
“กรี๊ดดดดดด ฉันมีเจ้านายแล้วนะ”
“มีเจ้านายแล้วงั้นเหรอ”
ฉันพยักหน้าก่อนจะปัดผมออกชี้ที่ลำคอของตัวเองให้เขาดู ขณะที่ก้าวถอยหลังไปชนกับเจอโรม
“วิกเตอร์มันมีเจ้าของแล้ว นายค่อย ๆ หาคนอื่นเถอะ”
“หึ ร้องกรี๊ดเหมือนไม่เคยโดนกัดอย่างนั้นแหละ” วิกเตอร์เบ้ปากแล้ววางมือลงบนหัวฉันราวกับเห็นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง “เธอน่ารักดีนะ”
“ขอบคุณ” แต่ช่วยไสหัวไปไกล ๆ ได้ไหม ฉันฝืนยิ้มกว้าง
“เอาละกลับมานั่งที่วิกเตอร์ เราต้องเรียนกันต่อ”
“ฮู่ววววว”
ถ้ากฎบ้านั่นไม่เขียนว่าห้ามลาออกทุกกรณี มีเพียงจบปีสี่และตายเท่านั้นที่จะผ่านรั้วออกไปได้ แถมกำแพงสูงหลายร้อยเมตร ฉันจะมีปัญญาที่ไหนบินออกไปจากที่นี่กัน
ไอ้โรงเรียนเฮงซวย!!!
หลังจากพักกลางวันโรงอาหารสำหรับมนุษย์ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มันควรจะเป็นเวลาที่รู้สึกปลอดภัย พวกเรากินอาหารกันปกติ แต่แวมไพร์เหล่านั้นกลับยืนจ้องราวกับเลือกปลาสวยงาม ทำเอาฉันรู้สึกอึดอัดจนกินอะไรไม่ลง
“ฉันไม่กินแล้วดีกว่า ไปก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นถือถาดไว้ในมือบอกลาเจอโรม
“แต่เธอยังไม่ทันทานอะไรเลยนะ”
“ฉันจะกินลงได้ยังไง ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในกรงสัตว์ที่รอคนมาเลือกเลย ฉันเอาแซนด์วิชกับนมกลับไปกินที่ห้องก็พอแล้ว นายรีบออกจากที่นี่ดีกว่านะ” ฉันชูของในมือส่ายไปมาก่อนจะกำชับเจอโรม ในเวลานี้ห้องสมุดคงว่าง พอจะให้รีบหาหนังสือเขียนรายงานและรีบกลับห้องดีกว่า
ฉันตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตในห้องให้มากที่สุด
เรียนแล้วกลับห้องพักเท่านั้น จะไม่มีวันไปเสนอหน้าให้เป็นภัยต่อตัวเองเด็ดขาด
ตึกที่ถูกสร้างสไตล์โมเดิร์นมีเฉลียงทางเดินให้ฉันลัดเลาะไปตามตึก ผ่านสระน้ำเข้าไปที่ห้องสมุด บัตรประจำตัวถูกแตะลงที่ประตู เมื่อยืนรอสักพักประตูขนาดใหญ่ก็เปิดออก
ชั้นหนังสือเรียงรายสุดลูกหูลูกตา มีคนอยู่ข้างในไม่กี่คนนัก คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่มาตอนนี้ ฉันเดินปรี่เข้าไปมองหมวดหนังสือที่ถูกติดอยู่ตามชั้นต่าง ๆ ความเงียบเชียบของห้องสมุดทำให้ฉันได้ยินเสียงส้นรองเท้าตัวเองเคาะกับพื้นหินอ่อน
ต้อก ต้อก ต้อก
“อืมมมวรรณคดี นั่นไงหมวดประวัติศาสตร์”
ฉันหรี่ตามองก่อนจะพบว่าหนังสือที่ต้องการอยู่ชั้นบนเกินที่จะเอื้อมถึง จึงต้องลากบันไดมาก่อนจะปีนขึ้นไปหยิบหนังสือออกจากชั้น
“ฮึก...ขอร้องละค่ะนายท่าน”
“...” ฉันหยุดการกระทำเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ไม่ห่างจากตัว ครั้นหันไปมองรอบกายกลับพบว่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
“อย่าทำให้ฉันโมโห”
“ฮึก...ช่วยด้วย”
ปัง!!!
“กรี๊ดดดดดอั้ก...”
ชั้นหนังสือที่ฉันกำลังจับอยู่สั่นสะเทือนรุนแรง คล้ายถูกร่างคนกระแทกจากเสียงที่ได้ยิน ทำให้ฉันเบิกตากว้างรีบแหวกหนังสือ มุดตัวข้ามชั้นหนังสือไปมองอีกฝั่งของชั้น
ร่างกำยำกำรอบลำคอหญิงสาวคนหนึ่งไว้ สีหน้าโกรธจัดพร้อมดวงตาแดงฉาน จ้องไปที่เธอคนนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฟันของเขาที่ถูกซ่อนเผยออกมาบ่งบอกว่ากำลังจะทำพันธะทาส ฉันมองภาพนั้นราวกับตัวเองกำลังถูกแช่แข็ง ไม่อาจจะละสายตาจากภาพตรงหน้าได้
“ฮึกฮืออออ ไม่นะกรี๊ดดดดดดดด”
โครมมม
หนังสือบนชั้นเกือบสิบเล่มถูกฉันดันจากฝั่งนี้ไปอีกฝั่งอย่างลืมตัว ฉันขมวดคิ้วมองแวมไพร์ตนนั้นอย่างรังเกียจ ใช้มันเบี่ยงความสนใจเพื่อให้มนุษย์คนนั้นรอด หนังสือพวกนั้นร่วงกราวใส่เขา มันทำให้เขาชะงักและปล่อยมือออกจากเธอ ทำให้หญิงสาวคนนั้นวิ่งหนีไปได้ทัน
คนที่เสียหลักเงยหน้าสบตาฉัน