“ได้สิ ว่าแต่เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะทำอะไร”
“ดูจากพวกผักกับวัตถุกดิบอื่น ๆ ที่มีอยู่บ้าง ก็ทำได้แค่กุ้งปลาหมึกอบวุ้นเส้นล่ะมั้งคะ”
“น่ากินดี”
“ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะกินได้รึเปล่านี่สิคะ แพรไม่เคยทำอาหารให้คนอื่นนอกจากคนที่บ้านซะด้วยสิ”
จักรภัทรอมยิ้มขณะแกะเปลือกกุ้งไปด้วย พร้อมกับเหลือบมองเจ้าของเสียงบ่นเล็ก ๆ ตลอดการทำอาหาร และเมื่อเห็นทักษะของ พริมพริสาแล้วก็คิดถึงเรื่องขยายห้องครัวในอนาคตทันที อย่างน้อยเวลาที่หญิงสาวอยู่ที่นี่ก็จะได้ไม่เหงา
กว่าเมนูกุ้งหมึกอบวุ้นเส้นจะเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมง ยิ่งได้กลิ่นหอมจากทั้งข้าวหอมมะลิที่หุงสุกใหม่ ๆ กับกลิ่นของเครื่องเทศในหม้อดินโชยออกมา ยิ่งทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานรุนแรงขึ้น
“ฝากพี่ใหญ่ยกไปวางไว้ที่โต๊ะหน่อยนะคะ” พริมพริสายิ้มพร้อมกับยื่นจานข้าวสวยสองจานให้คนตรงหน้า
จักรภัทรจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มรับคำสั่ง จะว่าไปแล้ววันนี้วันเดียว พริมพริสาทำให้เขายิ้มได้มากกว่าปีที่แล้วทั้งปีเสียอีก หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวตายด้านราวกลับได้รับการฟื้นฟูจากสายฝนชุ่มฉ่ำ หากไม่ใช่ พริมพริสา เขาอาจไม่ได้เอ็นดูภรรยาคนนี้ขนาดนี้ก็เป็นได้
หลังจัดโต๊ะเรียบร้อยจักรภัทรก็ต้องแปลกใจที่มีเมนูง่าย ๆ อย่างไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศเพิ่มเข้ามาด้วย
พริมพริสาใช้ช้อนกลางตักกุ้งที่แกะแล้ววางลงบนจานให้คนตรงหน้า พร้อมกับดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ลองกินดูสิคะ”
จักรภัทค่อย ๆ ตักขึ้นมาพอดีคำ ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“เป็นยังไงบ้างคะ” เสียงใสถามเมื่อเห็นว่าทานคำแรกเข้าไปแล้ว โดยที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้นยังเหมือนเดิม ยิ่งทำให้เธอใจไม่ดีเท่าไหร่ เพราะกลัวไม่ถูกปาก “ไม่เค็มเกินไปใช่ไหมคะ”
“...” คนตัวโตไม่ตอบแต่ตักทานไปอีกหลายคำจนหายไปครึ่งจาน
“พี่ใหญ่...”
“หืม”
“ยังไม่ตอบแพรเลยนะคะว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง”
“อร่อยมาก” ชายหนุ่มชมเสียงนุ่มผิดกับหน้าตา แต่พริมพริสาก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดเขามากกว่าหน้าตาอยู่แล้ว
“เฮ่อ...” เด็กน้อยถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างน้อยครั้งนี้ก็พอถูกปาก ทำให้เธอมีข้ออ้างในการทำอาหารล่ะนะ เพราะแม่ของเธอมักพูดอยู่เสมอว่า เสน่ห์ปลายจวักผัวรักผัวหลง เสน่ห์บนเตียงผัวหลงจนตาย ไหน ๆ เธอก็ไม่มีเสน่ห์อย่างที่สองแล้ว ยึดหลักเสน่ห์อย่างแรกไปก่อนก็แล้วกัน ในเมื่อทางรอดของเธอคือการอยู่ให้เป็นนี่นะ
เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจแล้วก็ลงมือทานในส่วนของตัวเองได้อย่างสบายใจ โดยไม่ทันได้เห็นถึงสายตาอ่อนโยนของคนข้าง ๆ
“ทำไมไม่กินจานนี้ด้วยล่ะ กินแต่ไข่เจียว” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่แตะจานอบวุ้นเส้นเลยสักครั้ง
พริมพริสายิ้มแห้ง เพราะเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่เธอยังไม่เคยบอกเขา
“คือว่า...แพรแพ้อาหารทะเลน่ะค่ะ ถ้ากินแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลแน่ ๆ” เพราะขนาดแค่เธอหยิบจับพวกมันบางครั้งยังรู้สึกคันผิวหนังขึ้นมาเลย แต่เมื่อเห็นว่าอาหารทะเลน่าจะเป็นอาหารโปรดของเขา ไม่ทำให้เขาลำบากใจในอาการแพ้ของเธอน่าจะดีกว่า...
“เราก็น่าจะบอกพี่ตั้งแต่แรก” จักรภัทรบีบปลายจมูกของคนตัวเล็กเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว เธอไม่จำเป็นต้องเอาใจเขาขนาดนี้ก็ได้
“แหะ ๆ แพรไม่ได้ตั้งใจปิดนี่คะ พี่ใหญ่ไม่ได้ถามนี่นา”
“แล้วแพ้อะไรอีกไหม”
“นอกจากปลาน้ำเค็ม อาหารทะเลทุกชนิด นอกนั้นก็ไม่มีแล้วค่ะ แพรยังรู้สึกโชคดีอยู่เลยนะคะที่ไม่แพ้พวกแป้งพวกนม ไม่งั้นคงอดเรียนทำขนมแน่ ๆ”
จักรภัทรมองคนช่างจ้อราวกับตกอยู่ในหลุมอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้น ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่เพียงแค่วันเดียว แต่ในความรู้สึกเขาราวกับอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี ถึงหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นซึ่งแตกต่างจากเขา แต่เพราะเธอมีทั้งความสดใส ความใสซื่อ ความกระตือรือร้นที่ต้องการเรียนรู้และรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น แถมยังรู้จักวางตัว รู้ว่าควรดื้อตรงไหน เอาแต่ใจตอนไหน และผ่อนปรนตอนไหน ทำให้พริมพริสาดูไม่เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป เรียกได้ว่าร้ายเดียงสาเลยล่ะ แต่ทุกอย่างที่เป็นตัวตนของเด็กคนนี้ กำลังทำให้โลกที่เคยมีแต่สีเทาของเขาเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย…
พริมพริสาเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนคอยมองอยู่ จะเป็นใครไปได้นอกจากสามีของเธอเองที่จ้องตาเขม็งจนน่ากลัว กลายเป็นว่าจากที่ทานอร่อย ๆ เริ่มจะไร้รสชาติแทน
“อิ่มแล้วเหรอ”
พริมพริสามองคนถามเสียงนุ่ม ใคร ๆ ก็ว่าคนตรงหน้าเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก แต่ที่เธอสัมผัสได้ กลับร้อนแรงเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนบ่ายเสียอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นสาว ๆ คนอื่นมานั่งตรงนี้คงละลายติดพื้นกันหมด
“ยังค่ะ” เธอตอบตามตรงแต่ไม่ได้ตอบทั้งหมด
“แล้วทำไมไม่กินต่อล่ะ”
ก็มีคนจ้องหนักขนาดนี้ ใครจะกินลงอีกล่ะคะ