‘เลิกตีหน้าซื่อได้แล้ว ต่อให้ไม่ถอนหมั้น ฉันก็ไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอ’
‘ผู้หญิงอย่างเธอ…มันไร้ค่าเกินไปสำหรับฉัน’
‘ที่ฉันยังไม่ถอนหมั้นกับเธอตอนนี้ ก็น่าจะรู้นะว่าเพราะอะไร’
ประโยคพวกนั้นของลูคัสยังคงหลอนอยู่ในหู มือบีบโทรศัพท์บนตักแน่นเพื่อระบายความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามา ยอมรับว่าตัวเองไร้ค่ามากที่เอาร่างกายเข้าแลกเพื่อไม่ให้ลูคัสถอนหมั้น
เพราะไม่มีทางเลือกจึงยอมทำในสิ่งที่ไร้ค่า…
“แม่เลี้ยงเป็นคนส่งของไปให้เขาใช่ไหมคะ”
ขอบปากแก้วไวน์ที่ ‘ธัญชนก’ กำลังยกขึ้นจิบจรดลงริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉูดฉาด เมื่อแพรวาเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แววตาคู่นั้นมองอย่างไม่พอใจกับการกระทำที่ดูไร้มารยาท แต่ในเวลาต่อมากลับยิ้มมุมปากแล้วจิบไวน์ต่ออย่างละเมียดละไม
เขาที่แพรวาพูดถึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…ลูคัส
“ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง”
“ทำไมแม่เลี้ยงไม่ปรึกษาแพรก่อนคะ”
“ทำไมฉันต้องปรึกษาเธอก่อน ถ้ามัวแต่รอให้เธอลงมือทำ ป่านนี้ก็คงไม่ถึงไหน”
“แพรบอกแล้วไงคะว่าจะยอมทำตามแม่เลี้ยงแค่เรื่องเดียว ส่วนที่เหลือเดี๋ยวแพรจัดการเอง”
“แล้วเมื่อไหร่เธอจะจัดการ?” ธัญชนกเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งกอดอกแล้วเอ่ยถามแพรวาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แววตาที่มองคู่สนทนายากคาดเดาและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ธัญชนกแต่งงานกับพ่อตอนเธออายุห้าขวบ มีลูกติดหนึ่งคนชื่อว่า ‘ภูริช’ อายุมากกว่าสามปี แรกเริ่มแม่เลี้ยงปฏิบัติกับเธอดีเหมือนลูกสาวอีกคน หลังจากพ่อล้มป่วยตอนเธออายุสิบเจ็ดปี แม่เลี้ยงก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“รอให้เธอลงมือ ชาตินี้ก็ไม่สำเร็จหรอก”
“แต่อย่างน้อยแม่เลี้ยงก็น่าจะให้โอกาสแพรจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง” การที่แม่เลี้ยงทำแบบนั้น มันยิ่งทำให้ลูคัสเข้าใจผิด คิดว่าเธออยากแต่งงานกับเขาจนตัวสั่น
และใช่…เขาคิดแบบนั้นจริงๆ
สิ่งที่แม่เลี้ยงกำลังทำ มันทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงไร้ค่าในสายตาลูคัส
“จะเป็นอะไรไหม ถ้า…ถ้าแพรขอจัดการเรื่องนี้เองโดยที่ไม่มีแม่เลี้ยงเข้ามา…”
เคร้ง!
เฮือกก
เสียงแก้วกระแทกลงพื้นทำให้แพรวาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ มองเศษแก้วและน้ำสีสวยของไวน์ตรงพื้น ก่อนจะดึงสายตากลับไปมองแม่เลี้ยงอย่างกลัวๆ
ธัญชนกเดินเข้าไปหาแพรวา ก่อนจะเลื่อนมือเต่งตึงบีบแก้มลูกเลี้ยงแล้วดึงให้ขึ้นมามองหน้าตัวเอง แรงที่กดลงมาสร้างความเจ็บปวดให้หญิงมากไม่น้อย
“แม่เลี้ยงแพรเจ็บ…”
“เดี๋ยวนี้เริ่มปีกกล้าขาแข็งกับฉันแล้วเหรอ จะทำอะไร ก็นึกถึงหน้าพ่อเข้าไว้เยอะๆ เพราะชีวิตพ่อเธอขึ้นอยู่กับฉัน ถ้ายังอยากให้พ่อหายใจต่อบนโลกนี้ รู้ใช่ไหมจะต้องทำยังไง”
เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทั้งน้ำตา
แม่เลี้ยงสะบัดมือออกจากแก้มแล้วเดินกระแทกไหล่ออกไป เธอทรุดตัวนั่งร้องไห้กับพื้น อยากโบยบินไปจากกรงทองนี้ แต่ทว่ากลับไม่สามารถไปไหนได้เพราะชีวิตของพ่อ…ขึ้นอยู่กับแม่เลี้ยง
ชีวิตที่ใครต่อใครต่างอิจฉา ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้ิองหลังเธอต้องเจอกับใครอะไรบ้าง
•••
@LoveNight Bar
“คิดยังไงถึงชวนพวกฉันมาร้านนั่งชิล”
‘ฮานึล’ เพื่อนสนิทในกลุ่มถามขึ้นด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีแพรวาไม่เคยชวนเพื่อนออกมาดื่มก่อน ปกติมีแต่พวกเธอเป็นคนชวน
พอมาถึงก็เห็นแพรวานั่งทำหน้าเศร้าเหมือนคนมีเรื่องทุกข์ใจ คงหนีไม่พ้นเรื่องภายในบ้าน เพราะแพรวาชอบมาระบายให้ฟังอยู่เสมอ ซึ่งมันอดทำให้พวกเธอเป็นห่วงเพื่อนสนิทไม่ได้
“แค่รู้สึกเบื่อๆ เลยชวนพวกแกมาร้านนั่งชิลด้วยกัน”
“แต่ว่าสีหน้าของแกตอนนี้ มันดูไม่เหมือนคนกำลังรู้สึกเบื่อเลยนะ”
เธอชะงักแก้วเบียร์ที่กำลังยกขึ้นดื่มเอาไว้ทันที เมื่อได้ยิน ‘พอใจ’ พูดแบบนั้น ไม่เคยโกหกเพื่อนได้เลยสักครั้ง
ปกติไม่ใช่คนโกหกใครเก่งอยู่แล้ว…
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจอะไร เล่าให้พวกฉันสามคนฟังได้นะ พวกฉันยินดีรับฟังแกเสมอ”
เธอหันไปมอง ‘แยมส้ม’ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างใน
“ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกเบื่อจริงๆ คืนนี้ขอนอนคอนโดแกได้ไหมฮานึล”
“ได้สิ”
เธอนอนคอนโดมิเนียมของฮานึลตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้อยู่ปีสี่แล้ว นอกจากเครียดเรื่องหมั้นแล้ว ยังต้องมาเครียดหาที่ฝึกงาน แม้ทางบ้านทำธุรกิจและมีบริษัทเป็นของตัวเอง ทว่าเธอก็ไม่อยากฝึกงานที่นั่นเพราะภูริชเป็นประธานบริษัท
ทุกอย่างที่เคยมี กำลังถูกแม่เลี้ยงและภูริชแย่งไปเป็นของตัวเอง
เธอกำลังมองหาที่อื่นสำหรับฝึกงาน แต่กลับไม่มีที่ไหนถูกใจเลยสักแห่ง
“ผู้ชายโต๊ะนั้นงานดีจัง หล่อทั้งกลุ่มเลย”
“จริงของแกแยมส้ม นั่นคนหรือเทพบุตร โคตรหล่อเลย”
บทสนทนาของเพื่อนสนิทเกี่ยวกับผู้ชายหน้าตาดี ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยคน พอสบสายตาเข้ากับดวงตาคมเข้มหนึ่งในกลุ่มนั้น หัวใจที่นิ่งสงบพลันกระตุกวูบขึ้นมาทันที
ลูคัส…
เขามองมาที่เธอด้วยสายตานิ่งเรียบยากคาดเดา ในมือถือแก้วแอลกอฮอล์พลางยกขึ้นดื่มอย่างใจเย็น แน่นอนว่าการเห็นเขาอยู่ที่นี่ มันพลอยทำให้บรรยากาศตอนนี้เริ่มก่อตัวเป็นความอึดอัด