ครอบครัวสกุลป๋าย นั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะกินข้าวขนาดเล็ก ในมือข้างหนึ่งถือหมั่นโถวคนละหนึ่งลูก และอีกข้างหนึ่งถือตะเกียบ ส่วนเบื้องหน้านั้นคือผัดผักน้ำมันกับเศษเนื้อหมูเล็กน้อยหนึ่งจาน ส่วนอีกจานคือผักและเห็ดรวมมิตรที่ลอยน้ำจนเหมือนกับต้มทั้งยังไหม้ไปกว่าครึ่ง ซึ่งจากเดิมควรเป็นผัดผักเห็ดคั่วพริกเกลือ...
“จะนั่งมองกันอยู่ทำไมเล่า กินๆ”
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยเปิดก่อนเป็นคนแรกเพื่อไม่ให้บุตรทั้งหลายเอาแต่นั่งมองกัน เขากัดหมั่นโถวคำใหญ่ก่อนจะกินเห็ดซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำและมีรอยไหม้ติดอยู่ตามเข้าไป “อืม ก็ไม่เลวนัก หากฮุ่ยชิวพยายามใหม่ครั้งต่อไปต้องอร่อยมากเป็นแน่”
ป๋ายฮุ่ยชิวยิ้มแห้งรับคำชม นางรู้ว่าป๋ายเลี่ยงรุ่ยเพียงแค่พูดให้กำลังใจบุตรสาวเท่านั้น นางลองชิมบ้าง แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิด ทั้งเหม็นไหม้ ทั้งขม แถมยังจืดสนิท กินหมั่นโถวเปล่ายังอร่อยเสียกว่า
“เมื่อก่อนพี่หญิงทำอร่อยกว่านี้อีก”
คำแย้งของป๋ายเฉาหลัวทำให้ฮุ่ยชิวถึงกับสะดุ้ง ราวกับว่าน้องชายของนางจับพิรุธของนางได้ว่านางไม่ใช่ฮุ่ยชิว แต่ประโยคถัดไปของป๋ายลู่เสียนทำให้นางรู้ว่านางคิดมากไปเอง
“จะกี่รอบก็ออกมาประมาณนี้ไม่ใช่หรือ”
“พี่ใหญ่! ท่านเข้าข้างอาหลัวหรือ” นางแกล้งทำเป็นเง้างอด แต่ก็แอบอมยิ้มเล็กน้อย ท่าทางของนางเรียกเสียงหัวเราะของทุกคนบนโต๊ะ นางหัวเราะตาม พลันคิดว่าครอบครัวที่ยากจนแต่มีความสุขคงเป็นเช่นนี้สินะ เพียงแค่มีอาหารไม่กี่อย่าง แต่ได้กินด้วยกันพร้อมหน้า ได้พูดคุยหัวเราะกันหลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เพียงแค่นี้ก็สุขใจมากนัก
อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังไม่ใจร้ายกับนางเกินไป ฮุ่ยชิวยิ้มอบอุ่น เพราะครอบครัวนี้ทำให้นางที่สิ้นหวังรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อในร่างของฮุ่ยชิว นางอยากจะปกป้องพวกเขาไม่ให้เกิดเรื่องโหดร้ายเหมือนกับในนิยาย
“ท่านพ่อเจ้าคะ หากสองสาววันมานี้มาคนไม่รู้จักมาขอพบข้า ช่วยโกหกออกไปทีนะเจ้าคะว่าข้าไม่อยู่” นางสบตาบิดาแล้วเอ่ยบอกอย่างจริงจัง จนบิดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมหรือ” ไม่ใช่เพียงป๋ายเลี่ยงรุ่ยสงสัย ป๋ายลู่เสียนก็สงสัยเช่นกันเขาจึงเอ่ยถามเหตุผล
ฮุ่ยชิวมีสีหน้าลำบากใจ ตามโครงเรื่องของนิยาย ซึ่งแท้จริงแล้วฮุ่ยชิวจะไม่บอกคนในครอบครัวเพราะกลัวพวกเขาเป็นห่วง จึงทำให้บิดาของนางพาพระเอกมาพบนาง แต่เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามเรื่อง นางก็ต้องเปลี่ยนจุดเปลี่ยนนี้เสีย นางแต่งเรื่องในหัวสักพักก่อนจะเอ่ยตอบ “ตอนที่ข้าตกหน้าผา เหตุเป็นเพราะข้าเจอกลุ่มคนร้ายกำลังจะลงมือสังหารคนผู้หนึ่งเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าพวกนั้นจะจำหน้าของข้าได้”
ป๋ายลู่เสียนมองน้องสาวอย่างสงสาร ยามนั้นเขาก็เหมือนเห็นกลุ่มคนชุดดำเช่นกัน ตอนที่เขาพบนาง เขาแทบหัวใจสลายเมื่อเห็นนางนอนแน่นิ่ง “ท่านพ่อ ข้าว่าช่วงนี้อย่าให้ใครมาพบฮุ่ยชิวเลยดีกว่านะขอรับ ให้นางเก็บตัวอยู่เรือนไปสักพักจะดีกว่า”
ป๋ายเลี่ยงรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรคนโต
ฮุ่ยชิวยิ้มน้อยๆ ตอบพวกเขาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ หากนางเลี่ยงการเจอกับพระเอกในครั้งนี้ได้ นางเชื่อว่าจุดจบของเรื่องจะต้องเปลี่ยน ตอนนี้ก็หวังเพียงแค่ภาวนาอย่าให้เขามาเจอนางและครอบครัวของนางก็เป็นพอ ครอบครัวสกุลป๋ายจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข
“ท่านชายอวิ๋นหยาง ไม่ทราบว่าท่าน...เอ่อคือว่า...” จางเชี่ยนหยุน บ่าวรับใช้ข้างกายของท่านชายขั้นหนึ่งกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายจะกล่าวก็มิกล้ากล่าว หลายวันมานี้ท่านชายของเขานั้นมีท่าทีแปลกไป แม้ว่าแต่เดิมจะแปลกจนตามอารมณ์ไม่ทันอยู่แล้วก็ตาม...
จากท่านชายที่ขี้คร้านไม่เอาไหน เดี๋ยวก็มีอารมณ์แปรปรวนเอาแต่ใจ มายามนี้กลายเป็นท่านชายที่นั่งสง่าผ่าเผย มือเรียวยาวขาวเนียนจนอิสตรีต้องอิจฉากำลังพลิกกระดาษตำราอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ดูแล้วคล้ายเหล่าปัญญาชนคงแก่เรียนที่เขาเคยกล่าวว่ารังเกียจนักรังเกียจนา เพราะพวกบัณฑิตนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ซ้ำยังเอาแต่พูดดีเข้าตัว แต่ไม่รู้เหตุไฉนยามนี้เจ้านายของตนถึงได้ทำตัวเหมือนพวกที่ตนเองเคยบอกว่ารังเกียจเช่นนี้
ดูแล้วก็แปลกตามากนัก ชวนให้ขนลุกแบบแปลกๆ
“จางเชี่ยนหยุน” เสียงทุ้มนิ่งลึกเอ่ยเรียก
ผู้ถูกเรียกกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ในใจนึกหวั่นๆ เจ้านายตนยามนี้ดูแล้วน่าเกรงขามกว่าเก่ามากนัก ทำให้เขาต้องรีบตอบรับทันที “ขอรับ!”
‘หลี่เสี่ยวหลง’ หรือยามนี้มาอยู่ในร่างของ ‘ท่านชายอวิ๋นหยาง’ มองบ่าวรับใช้ข้างกายคนสนิทที่กำลังรอคอยคำสั่ง หลังจากมาอยู่ในร่างนี้ได้หลายวันเขาก็พอที่จะเดาเหตุการณ์ได้ อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาถูกรถชนจนเสียชีวิต วิญญาณจึงย้อนยุคเข้ามาอยู่ในร่างของผู้อื่น
แม้จะเหลือเชื่อแต่เมื่อประสบพบเจอด้วยตนเองก็ไม่อาจจะแย้งคำใดได้ เมื่อก่อนเขาเคยบอกเฟยเฟยว่านิยายเรื่องพวกนี้นั้นเกินจริง แต่ยามนี้คงไม่อาจจะกล่าวคำเช่นนั้นได้...
เมื่อนึกถึง ‘อดีตแฟน’ แววตาของเขาก็หม่นลง เขาไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะได้รับบาดเจ็บมากหรือไม่ ทั้งเสียดายที่เธอให้โอกาสมาเจอเขาแล้วแต่เขายังไม่ได้คุยกับเธอให้รู้เรื่อง...
จางเชี่ยนหยุนมองรอยยิ้มแรกที่แฝงไปด้วยความเศร้าและขมขื่นของท่านชายแล้วก็ทำสีหน้าหวาดหวั่น คราวนี้ไม่รู้ว่าเจ้านายตนเองเป็นอะไรอีก เรียกเขาแล้วแต่ไม่พูดสั่งอะไรสักคำ แล้วจะให้เขาทำเช่นไร? จางเชี่ยนหยุนเริ่มที่จะทำตัวไม่ถูก หลังจากที่ท่านชายกลับมาที่จวนเมื่อสามวันก่อน เขาก็เปลี่ยนไปราวผีเข้า เรื่องที่ไม่ควรจะถามอย่างเรื่องของตนเองแท้ๆ ยังมาถามเขา? นี่ยังไม่นับคำแปลกๆ ที่เจ้านายของเขาพูดออกมาอีก แต่ดีที่พอมาวันนี้ยังไม่มีคำแปลกๆ โผล่มาให้เขางวยงง
“ท่านชาย ตกลงว่าท่านจะให้ข้าน้อยรับใช้อะไรหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไร...” อวิ๋นหยางทำทีเป็นระคายคอเมื่อเกือบหลุดคำพูดแนวปัจจุบันออกไป ตอนนี้เขาพอจะรู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน การทำตัวกลมกลืนและสวมรอยเป็นอวิ๋นหยางนั้นดีที่สุดเพื่อไม่ให้ใครสงสัย หรือกล่าวหาว่าเขาสติไม่ดี “ไม่มีอันใดแล้ว ออกไปก่อนเถิด” สิ้นคำกล่าว บ่าวรับใช้ของเขาก็โค้งคำนับทีหนึ่งก่อนจะล่าถอยออกไปตามคำสั่ง
จากตำรามากมายที่อยู่รอบตัวของเขายามนี้ ทำให้พอจะสรุปได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยใดทั้งนั้น เพราะประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้ของที่นี่ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับประวัติศาสตร์ของยุคปัจจุบัน ที่นี่เหมือนกับเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับยุคอดีตเมื่อสองพันปีก่อน แต่น่าแปลกใจยิ่งนักที่ทั้งภาษาและตัวอักษรดันเหมือนกับยุคปัจจุบันที่เขาจากมา เพียงแค่คำถูกปรับเป็นโบราณเท่านั้น
ยิ่งคิดเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองมาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไร...
ทั้งใบหน้าของร่างนี้ยังมีความคล้ายคลึงเขาถึงเจ็ดส่วน
เรื่องพวกนี้จะเป็นเพียงเหตุบังเอิญแน่หรือ?