บทที่ 1 เกิดใหม่อีกครั้ง ก็ทำให้เลวร้ายกว่าเดิมไปเลยสิ (1)

1836 คำ
“ฝ่าบาททำเช่นนี้จริง ๆ หรือ? ทำไม... ทำไมล่ะ! ทำไมล่ะควอนซีเรียส! ท่านไม่รักเราแล้วหรือไงกัน?!” ชายหนุ่มโอเมก้าใบหน้าพริ้มเพราแม้กระทั่งนัยน์ตาสีฟ้าสว่างใสดั่งสีของลูกแก้วเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “เงียบได้แล้วเมอลิเซน! เลิกเอาเรื่องนี้มาพูดกันที่โต๊ะอาหารสักทีมันเสียมารยาท!” “เสียมารยาท?! แล้วที่ท่านทำเช่นนี้ไม่นับว่าเสียมารยาทรึ? พาภรรยาน้อยเข้ามาในวังไม่อายราษฎรเลยหรือไง? ไม่เห็นหัวเราก็ช่วยเห็นหัวราษฎรในจักรวรรดิของเราบ้าง!!” “เมอลิเซน!” กษัตริย์ควอนซีเรียสทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะเสียงดังลั่นด้วยความโมโหเพื่อสยบความเงียบ ขณะเดียวกันไม่ทันขาด เหล่าภรรยาน้อยที่ถูกพูดถึงก็ได้เข้ามายังห้องอาหารเพื่อร่วมโต๊ะทานมื้อค่ำ มันยิ่งสร้างความไม่พอใจและยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นราวกับถูกเหยียดหยามเมื่อหนึ่งในห้าภรรยาน้อยของควอนซีเรียสนั้น มีชายหนุ่มโอเมก้าผู้หนึ่งกำลังสวมชุดของตนที่มักเก็บเอาไว้ใส่เนื่องในวาระสำคัญเท่านั้น “นี่ท่าน! ท่านเอาชุดของเราไปให้โอเมก้านั่นใส่เช่นนั้นหรือ?! ชุดนั่นท่านเป็นคนมอบให้เรานะควอน!” “ก็เราไม่เห็นว่าราชินีจะใส่มัน ก็ยกให้พวกเขาสักชุดมันจะเป็นอะไรไป?” “ควอน!!” “ท..ท่านแม่ฮะ..” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยอย่างสะลึมสะลือท่ามกลางทั้งสองผู้มีปากเสียง ทั้งยังค่อย ๆ ก้าวเข้ามาภายในห้องทานอาหารท่าทางง่วงซึมจ้องมองไปทางองค์ราชินีเมอลิเซนผู้เคยมีสีหน้ากระวนกระวายจนต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าทำเป็นไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ “เชอร์รีส...ทำไมถึงยังไม่เข้านอนอีกล่ะลูก?” “ผม..อยากให้ท่านแม่พาเข้านอน” เมื่อได้รับคำวิงวอนของลูกชายตัวน้อย เมอลิเซนจึงค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้และผละออกจากโต๊ะอาหารเพื่อปลีกตัวจากความวุ่นวายและตรงมาหาลูกชาย แม้ถูกสายตาของภรรยาน้อยไม่ว่าชายหรือหญิงพากันจ้องมองด้วยความดูถูกอยู่เล็ก ๆ ก็ตามที “เดี๋ยวแม่จะพาเข้านอนนะ” เขาประคองและอุ้มเด็กน้อยวัยสี่ขวบขึ้นมาเหนือพื้นพรม ว่าแล้วจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินหนีให้พ้นจาก ณ ที่แห่งนั้นราวกับว่ามันไม่ใช่ที่สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว เมื่อมาถึงห้องนอน เมอลิเซนได้พาลูกชายตัวน้อยของเขาขึ้นมาส่งถึงเตียงทั้งคอยห่มผ้าและลูบผมปลอบอย่างอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในไม่ให้ลูกของตนได้รับรู้ แต่ทว่าเด็กชายนัยน์ตาสีฟ้ากลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่..ท่านพ่อไม่มาด้วยเหรอฮะ? ผมอยากให้ท่านพ่อมากล่อมด้วย เหมือนกับเมื่อก่อนที่เราทำกัน” “.....” เมื่อได้ยินคำถามอันไร้เดียงสา แววตาของเมอลิเซนก็เริ่มสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นพยายามกลั้นเอาไว้ไม่อยากให้ลูกชายต้องกังวล “ท่านพ่อติดธุระครับ.. ไว้หากท่านว่างแม่จะบอกท่านพ่อนะ” “อื้ม” “นอนได้แล้วนะ เดี๋ยวแม่จะเล่านิทานให้ฟังจนกว่าลูกจะหลับ” เขาใช้เวลากล่อมลูกอยู่ครึ่งชั่วโมง ไม่นานเด็กน้อยเชอร์รีสก็ได้หลับตาและผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายด้วยเสียงเพลงกล่อมนอนแสนหวานชวนให้หลับฝัน และหลังจากกล่อมลูกชายสำเร็จนั้น เมอลิเซนจึงค่อย ๆ ขยับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเด็กชายเอาไว้และคอยลูบหัวอย่างปลอบโยนก่อนผู้เป็นแม่จะก้าวออกมาจากห้องและปิดประตูอย่างระวังไม่ให้เกิดเสียงมากนัก และเมื่อร่างกายของเขาได้ก้าวพ้นออกมาจากห้อง ในที่สุดสีหน้าที่พยายามข่มความรู้สึกก็ได้เดินท่องไปตามโถงทางเดินอย่างช้า ๆ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาของผู้ทนกับความทุกข์มาอย่างยาวนานจนกระทั่งมาถึงฝั่งทิศใต้เพื่อไปยังหอคอยสูงตั้งตรงตระหง่านไร้ผู้คนเดินผ่าน ประตูห้องของหอคอยเปิดออกกว้างเมื่อเดินขึ้นมาถึงด้านบน ทันทีที่ประตูลั่นกลอนปิดลงเสียงร่ำไห้ของเขาก็ดังขึ้น ร่างชายหนุ่มทรุดตัวลงไปกับพื้นเย็นเฉียบปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่อดทนมาสามเดือนเต็ม ทั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้น แต่นับตั้งแต่อยู่ครองรักกันมาได้ห้าปี กษัตริย์ควอนซีเรียสก็เริ่มแปลเปลี่ยน ทั้งใช้เวลาร่วมกันน้อยลงและเริ่มพาคนแปลกหน้าเข้ามาจนกระทั่งยอมปริปากว่าเป็นภรรยาน้อย จากเพียงหนึ่งก็เพิ่มมาเป็นสอง สามและมากถึงห้าคน ณ ปัจจุบัน หัวใจที่เคยมอบให้ตอนนี้มันกลับถูกโยนทิ้งลงไปในกองเพลิงเสียแล้ว “ฮึก... ฮื่อ... ทำไม..เราทำอะไรผิดเหรอ.. ท่านไม่รักเราแล้วเหรอ..ได้โปรดพระเจ้า... ช่วยทำให้ลูกได้พ้นความทุกข์นี่ไปเสียที ลูกไม่อาจใช้ชีวิตได้โดยยังมีปัญหาแบบนี้ต่อไป ลูกเป็นห่วงเชอร์รีส.. ลูกควรทำเช่นไร?... ลูกควร..แก้ปัญหานี้ยังไง” นัยน์ตาสีฟ้าสว่างจ้องมองไปยังเตาผิงที่มีไฟสีแดงฉานราวกับมีใครบางคนจุดทิ้งเอาไว้ แม้ว่าเขาจะเอาแต่จ้องมองมันมาโดยตลอดนับหนึ่งเดือนที่ขึ้นมาบนหอคอยนี้เพื่อแบ่งปันความเศร้าของหัวใจอันเจ็บปวดมาเป็นเวลาแสนนาน แต่ในครานี้มีบางอย่างกำลังเปลี่ยน เปลวไฟสว่างไสวเริ่มเปลี่ยนสี จากสีส้มพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียว นัยน์ตานั้นยังคงจ้องมองและค่อย ๆ เข้าใกล้ไฟร้อนเรื่อย ๆ ดวงใจและดวงวิญญาณเริ่มถูกดึงดูดไปอย่างช้า ๆ “พระองค์ช่างโง่เขลา แต่กระหม่อมก็จะช่วยพระองค์ด้วยข้อแลกเปลี่ยนเพียงหนึ่งก็แล้วกัน...” “ผมให้เวลาคุณสิบสองชั่วโมงครับท่านประธานาธิบดี ถ้าภายในสิบสองชั่วโมงนี้ท่านยังดื้อดึงไม่ยอมสั่งปิดห้างขนาดใหญ่ใจกลางเมืองและไม่ยอมอพยพผู้คนออกไป ก็จงดูไว้ซะว่าพวกเขาจะตายกันกี่พันคน” [เดี๋ยว! นี่แกกำลังพูดบ้าอะไร?!] สายโทรศัพท์ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มนัยน์ตาสีแดงเลือดนกจ้องมองดวงจันทร์กลมโตด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ขณะในมือนั้นถือกระปุกสีน้ำตาลบรรจุเม็ดยาอยู่เต็มจนล้น “...ประเทศนี้ไม่มีอะไรให้รู้สึกสนุกเลยหรือไงนะ” เขานั้นคอยนั่งแล้วเฝ้ารอเวลาให้ครบสิบสองชั่วโมงอย่างที่พูดเอาไว้ จากความมืดมิดในยามค่ำคืนก็ค่อย ๆ สว่างไสวด้วยแสงแดดของพระอาทิตย์เมื่อเวลาได้พ้นผ่านมาบรรจบกัน “ห้านาที” “กึก กึก กึก ปัก!” เสียงประตูถูกกระแทกจนพังเข้ามาด้านในห้องพักเก่าแสนโทรม เมื่อนั้นตำรวจสามนายก็บุกเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงเตือนเพื่อขอให้อาชญากรหนุ่มได้มอบตัวแต่โดยดี “วางอาวุธลงซะ ไม่งั้นเราจ-” “ปัง!! ปัง!! ปัง!!” เสียงของปืนดังลั่นสนั่นในคราวเดียว ประตูห้องเปิดออกกว้างกลายเป็นรูจนพรุน ด้านข้างริมกำแพงใกล้ประตูห้องถูกติดตั้งด้วยกลไก หากเมื่อมีใครเข้ามาอาวุธปืนที่อยู่ด้านข้างของประตูจะเริ่มทำงานและเหนี่ยวไกในทันที ตำรวจสามนายล้มลงไปแน่นิ่งกับพื้นจมกองเลือดอย่างน่าสยดสยอง ขณะเจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน เขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างจดจ่ออยู่กับตึกขนาดใหญ่ที่คงหมายถึงห้างสรรพสินค้าดังกล่าวที่เขานั้นพึ่งกล่าวต่อรองกับใครสักคนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน มือหนึ่งกำกระปุกยาจนแน่น สายตาช่างเย็นเฉียบพลันจ้องไปยังนาฬิกาข้อมือของเขาที่เริ่มได้เวลานับถอยหลังอีกสิบห้าวินาที “สิบห้า.. สิบสี่ สิบสาม สิบสอง สิบเอ็ด... สิบ เก้า แปด.. เจ็ด หก ห้า สี่.. สาม สอง.... หนึ่ง” “บูม!!!!” เสียงระเบิดดังลั่นจากตึกสูงเด่นทิศทางเดียวกับหน้าต่างที่เขานั้นจ้องมองอยู่ ประกายไฟและกลุ่มควันก็กระจายคลุ้งลอยไปทั่วฟ้าจนเป็นสีดำทำให้บรรยากาศกลายเป็นที่น่าหวาดกลัว เสียงกรีดร้องของผู้คนดังมาแต่ไกล ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงถึงความพึงพอใจให้ได้เห็น จอโทรทัศน์เครื่องเก่าฉายข่าวเหตุการณ์ลอบวางระเบิดของห้างชื่อดังใจกลางนครและคาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่าพันคนภายในตัวห้างและละแวกใกล้เคียงจากแรงระเบิด “พวกโง่ก็ยังทำได้แต่เรื่องโง่ ๆ อยู่นั่นแหละ” เขาลุกออกจากเก้าอี้หันจ้องไปยังกองศพตั้งพะเนินหน้าประตู ก่อนจะลากร่างพวกนั้นเข้ามาด้านในห้องกองรวมกันเป็นวงรอบ ๆ ณ กึ่งกลางของห้องพักขนาดกลางเก่าซอมซ่อ “พวกนายก็โง่เหมือนกัน... ถ้ามาช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วโมงก็คงได้เลื่อนขั้นตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่านี้ แต่ดันรีบร้อนจนมาตายโง่ ๆ แบบนี้ก็น่าสงสารแย่” ชายหนุ่มเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าแสนเย็นชา นิ้วมือเปื้อนเลือดคว้ากระปุกยาขึ้นมาเปิดฝาและจ้องมองแคปซูลบรรจุเม็ดยาสีดำสนิทที่บ่งบอกได้ว่ามันเป็นยาอันตรายร้ายแรงขนาดไหน “ฉันเองก็ต้องตายจากโลกนี้ไปเหมือนกัน... ทุกอย่างที่เคยทำมาทั้งชีวิตก็จัดการแก้แค้นไปจนหมด ไม่มีอะไรให้เราอยู่ต่อไปเพื่อมีชีวิตอีกแล้ว” ท่าทีแข็งกระด้างเอ่ยกล่าวและจ้องมองกลุ่มควันจากเพลิงไหม้ที่อยู่ห่างออกไปด้วยแววตาไร้เยื่อใย ไม่ว่าจะมีผู้คนตายไปมากมายขนาดไหนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด ฝ่ามือเทแคปซูลออกจากกระปุกและกลืนเม็ดทั้งหมดลงไปโดยไม่ต้องคิดอะไร เขาดันเก้าอี้ตัวเดิมที่อยู่ริมหน้าต่างมาวางจัดไว้ตรงกลางกองซากศพ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งจ้องมองประตูห้องทางเข้าที่อีกไม่นานจากนี้ก็คงมีตำรวจหรือทหารชุดใหม่กรูกันเข้ามาเพื่อจับกุมเขา “...เร็น.. พี่..กำลังจะไปหา แล้วก็..หัวหน้- อึก!” เลือดไหลทะลักออกมาจากปาก ไม่นานก็ตามมาด้วยเลือดกำเดาที่ค่อย ๆ ไหลมาทางจมูกรวมถึงดวงตาอันแดงก่ำจนห้อเลือด สัมผัสได้ถึงหัวใจเต้นรัวและรู้สึกทรมานเจียนตาย เขาดิ้นทุรนทุรายทั้งกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวด “อั๊ก.. ฮึก..ฮ่าฮ่าฮ่า!” ในวินาทีที่ลมหายใจค่อย ๆ แผ่ว ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะลั่นเมื่อชีวิตกำลังจะดับวูบ ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีแดงและค่อย ๆ จางไปทีละน้อยจนเริ่มพร่ามัว “ความรู้สึก..ของการตายเป็นแบบนี้เองเหรอ?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม