สัภยาแปลกใจอดถามไม่ได้
“มองหาอะไรป้า อย่าบอกว่าหาอาวุธนะ”
“ฉันจะหาอาวุธทำไม” เธอหันมาสบตาเขาอย่างฉงน
“ก็ป้าเถียงไม่ออก เลยคิดจะใช้เครื่องทุ่นแรงยังไงล่ะ” สัภยาบอกแล้วยิ้ม ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อหญิงสาวตรงหน้าค้อนใส่ นับวันผู้หญิงบุคลิกแข็งๆ ห้าวๆ คล้ายผู้ชายคนนี้ จะมีอะไรแปลกใหม่ให้เขาเห็นแล้วอึ้งมากขึ้น เช่นสีหน้าแววตาในยามค้อนควัก
“พี่ข่ามาแล้ว” เขารีบชี้บอกเมื่อเห็นรถของพี่ชายข้ามสะพานมา
ตีรณามองตามปลายนิ้วไปยังรถยุโรปสีดำที่กำลังแล่นอยู่บนสะพานข้ามคลอง พลางสวมแว่นกันแดดกันพี่ชายสัภยามองเห็นดวงตาหมีแพนด้าของตน ถือเป็นเรื่องแปลกหรือไม่เธอไม่รู้ เธอสนิทสนมกับสัภยามาหลายปี แต่ไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกับคนในครอบครัวเขาอย่างเป็นทางการ จะทราบข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องซุบซิบนินทาในความเจ้าชู้ คบหากับดารา นางแบสาว คนนั้นคนนี้ ทั้งสิ้น
เมื่อสุกนต์ธีลงจากรถ ก็เห็นน้องชายกับหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงเดินมาจากริมคลอง มารอเขาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่รถญี่ปุ่นสีเดียวกับรถเขาจอดอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับพี่ข่า นี่ป้า เอ๊ย! ตีรณาเพื่อนผมครับ ป้า นี่พี่ข่า” สัภยาทักทายพี่ชายและแนะนำเพื่อนทันทีแต่รู้สึกแปลกใจที่ตีรณาถอยไปซ้อนหลังเขาเล็กน้อย เหมือนกลัวชายที่เขาแนะนำให้รู้จัก ชายหนุ่มยื่นมือไปกำมือเธอ สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบและชื้นเหงื่อจนเขาตกใจ
“ป้าเป็นอะไร” สัภยาหันไปถามเสียงกระซิบ ส่งความอาทรผ่านดวงตาหวังว่าเธอจะมองเห็น
ตีรณาส่ายหน้าช้าๆ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้สัภยากำลังแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ เธอทำท่าลังเลเพียงนิดก่อนจะกระพุ่มมือไหว้เมื่อสลัดความกลัวทิ้งไป เอ่ยทักทายเสียงเบา
“สวัสดีค่ะ เรียกตี ก็ได้ค่ะ”
“สวัสดีครับ มากันนานหรือยัง” สุกนต์ธีรับไหว้แล้วทักทายสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะสงสัยในท่าทีตื่นกลัวของหญิงสาว ซึ่งไม่เข้ากับบุคลิกการแต่งตัวที่เห็นภายนอกเลย เธอจัดอยู่ในข่ายสวยแม้ไม่โดดเด่น เครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงนับว่าโดนใจเขา หรืออาจเป็นเพราะเขาชาชินกับสาวสวยที่แต่งตัวทันสมัยและค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนัง เขาไม่ปฏิเสธว่าชอบแบบนั้น แต่ตีรณากลับสะดุดตาเขามากมายทั้งที่ไม่มีโอกาสสบตาที่อยู่หลังแว่นกันแดดสีเข้มของเธอ
“เพิ่งถึงไม่นานเหมือนกันครับ พี่ข่ามีอะไรถึงนัดแต่เช้า” สัภยารีบถามถึงธุระของพี่ชาย เพราะเมื่อวานตอนพาเขามาดูที่และคุยกับช่างรับเหมาก็ตกลงทุกอย่างลงตัวแล้ว หน้าที่ควบคุมงานก็มอบให้เป็นหน้าที่เขาทั้งหมด แต่วันนี้พี่ชายกลับโทร.นัดมาแต่เช้า
สุกนต์ธียิ้มให้แล้วเปิดประตูมุดเข้าไปในรถ ก่อนกลับออกมาพร้อมซองสีน้ำตาลเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด เขาส่งให้สัภยาแล้วบอก
“พี่ได้รูปใหม่มา กับนิตยสารเก่า คิดว่าน่าสนใจ” เขาส่งให้น้องชายแต่ปรายตามองตีรณา แม้เธอจะสวมแว่นปิดบังดวงตาแต่เขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังหลบตาเขาอยู่ ก่อนหันไปมองรอบบริเวณผืนดินที่เพิ่งได้มาครอบครองด้วยความภูมิใจ
สัภยาเปิดซองหยิบรูปถ่ายและนิตยสารเก่าออกมา สภาพกระดาษเป็นสีน้ำตาลกรอบ อาจขาดได้โดยง่ายหากหยิบจับด้วยความรุนแรง เขาดูรูปถ่ายแล้วหันสบตาตีรณาที่สนใจมองอยู่เช่นกัน ก่อนถามพี่ชาย
“รูปเก่าพวกนี้ คือบ้านนี้หรือพี่ข่า มันเป็นบ้านของใครกันครับ บ้านเศรษฐีเลยนะแบบนี้”
เรือนไม้ยกสูงในรูปสวยงามมั่นคง เนื้อไม้สีแดงมองเห็นความสมบูรณ์ของต้นไม้ก่อนนำมาเลื่อยทำไม้กระดาน หลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาแผ่นเล็กสะท้อนแดดเจิดจ้า คาดว่าเป็นรูปที่ถ่ายในตอนกลางวันที่แดดจ้าพอสมควร ต้นไม้น้อยใหญ่รอบบริเวณบ้านก็ดูสมบูรณ์ดี
สัภยาหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่มีรูปบ้านยกพื้นหลังใหญ่ชัดเจนออกมา แล้วยื่นไปข้างหน้าเพื่อมองเปรียบเทียบกับบ้านที่จะพังแหล่มิพังแหล่ สัดส่วน เหลี่ยมมุม เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
“ใช่แน่เลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี
“พี่ก็ว่าใช่ เดี๋ยวบอกให้ช่างซ่อมแซมให้เหมือนในรูปนี่เลยนะ รวมถึงหลังที่จะจำลองเพิ่มด้วย” สุกนต์ธีก็เห็นพ้อง ทว่าหญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นี้กลับพูดขึ้นเหมือนรำพัน
“แล้วเรือนหอคุณเมืองเทพละ”
“ป้าว่าอะไรนะ” สัภยาถามขึ้นทันที มองเธออย่างสงสัย เช่นเดียวกับสุกนต์ธีที่มองอย่างแปลกใจด้วยเช่นกัน
ตีรณามองหน้าสองคนพี่น้องอย่างสงสัยไม่แพ้กันทำไมต้องแปลกใจในคำพูดของเธอนัก แล้วดูสีหน้าและแววตาสัภยาที่มองเธอเวลานี้ เหมือนหาคำตอบ เหมือนสงสัยกับสิ่งที่เธอถาม
“มีอะไรน่าแปลก ก็ฉันสงสัยว่าเรือนอีกหลังอยู่ไหน เรือนโน้นนะ ไม่อยู่ในรูปเลยสักใบ” เธอชี้ไปที่เรือนหลังไกลออกไป
“ไม่นะ เมื่อกี้ป้าไม่ได้พูดแบบนี้” เขายังยืนยัน และคิดว่าตนหูไม่ฝาดแน่
“พูดแบบนี้แหละ แกหูเพี้ยนเอง” เธอยืนกราน
สัภยาหันไปสบตาพี่ชายเหมือนต้องการคนตัดสิน
สุกนต์ธียักไหล่น้อยๆ แล้วบอก “นายคงจะหูเพี้ยนจริงๆ” ก่อนหันไปทางตีรณา พูดเหมือนประจบ “จริงอย่างคุณตีว่า ทำไมไม่มีเรือนหลังนั้นในรูปพวกนี้เลย หรือจะไม่ใช่ที่นี่”
“ใช่ที่นี่”
ไม่รู้อะไรดลใจให้สองคนที่ฟังอยู่รีบแย้งขึ้นมา ก่อนจะหันมามองกัน ต่างคนต่างแปลกใจในคำพูดของตนเอง และเป็นสัภยาที่เอ่ยต่อ
“ที่นี่แน่นอนครับ ดูหลายๆ อย่างในรูปมันใช่เลย”
“อืม ใช่ก็ใช่” สุกนต์ธีจำต้องเห็นพ้อง แม้จะแปลกใจกับท่าทีของทั้งสองคน ก่อนดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรูแล้วรีบบอก “สายแล้วช่างยังไม่มา พี่มีประชุมด้วยสิ ฝากนายคุยกับผู้รับเหมาด้วยนะ”
“ครับ”
“ไปนะครับ ว่างๆ แวะไปทานข้าวที่บ้านนะครับคุณตี” เขาเอ่ยชวน ค้อมศีรษะให้ แล้วรีบเดินไปขึ้นรถขับออกไปทันที
ตีรณาแย่งรูปถ่ายในมือสัภยามาทั้งหมด พลิกดูทีละใบๆ แววตาอยากรู้แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดลงช้าๆ สุดท้ายเธอก็ส่งคืนเขา แล้วเดินตรงไปที่เรือนหลังเก่า เรือนที่ไม่ปรากฏในภาพถ่ายแม้แต่ใบเดียว สัภยาเดินตามไปโดยไม่ถามไถ่เพราะรู้สึกถึงท่าทีแปลกๆ ของเธอ เช่นเดียวกับท่าทีของเขาเมื่อได้ยินตีรณาถามถึงเรือนหอ
เรือนหอคุณเมืองเทพ...เธอพูดแบบนี้ เขายังยืนยัน เพราะแวบแรกที่เขาได้ยินก็เกิดข้อสงสัย และโหยหาเช่นกัน
นักเรียนคนสุดท้ายของสุขุมกลับไปเมื่อครู่หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เพราะวันนี้ครอบครัวของเด็กออกไปทำธุระ สุขุมไม่อยากให้เด็กวัยสิบขวบกลับไปอยู่บ้านตามลำพัง จึงชักชวนให้กินอาหารค่ำเสียด้วยกัน รอเวลาให้พ่อแม่เด็กกลับมาแล้วมาตามเอง เมื่อพ่อเด็กมารับ สุขุมบอกเหตุผลที่ไม่ปล่อยให้เด็กกลับไป ซึ่งพ่อเด็กก็เข้าใจดี กล่าวขอบคุณแล้วพาเด็กกลับไป
“ลูกคนอื่นกลับบ้านแล้ว แต่ลูกสาวเราเมื่อไหร่จะกลับ” สุขุมเปรยเมื่อเดินมานั่งบนแคร่หน้าบ้านที่ญาดานั่งอยู่ก่อนแล้ว คู่ชีวิตที่มีอายุไม่ห่างกันมากเช่นเดียวกับสีผมที่ไม่ได้แผกแตกต่างกัน เหลียวมามองแล้วยิ้ม
“พ่อพูดเหมือนไม่ชิน ถ้ามีงานลูกเรากลับดึกดื่นจนถึงเช้าก็ยังมี”
“ก็มันไม่มีช่วงเวลาแบบนั้นนานแล้วนะแม่ ออกไปทำงานแต่กลับมาทันทานข้าวเย็นด้วยกันหลายเดือนแล้วนะ วันนี้ไม่มีใครกลับมากินข้าวกับพ่อเลยรู้สึกแปลกๆ ดีที่เจ้าโน้ตอยู่กินข้าวด้วย ไม่อย่างนั้นก็นั่งมองฉันมองเธอ กันอยู่สองตายาย”
“พ่อเบื่อจะมองแม่หรือยังไง” ญาดาถามกลั้วหัวเราะ ก่อนขยับเข้าไปใกล้ “สงสัยพ่อจะเมื่อยเลยคิดมาก มาเดี๋ยวแม่นวดให้”
“แม่สรุปได้เข้าทีเหมือนกัน นวดให้พ่อหน่อยก็ดี” สุขุมหัวเราะไปด้วย ก่อนจะนอนเหยียดยาวไปบนแคร่ให้ภรรยาคู่ชีวิตบีบนวดให้ เมื่อปล่อยอารมณ์ล่องลอย ปล่อยกายให้ผ่อนคลายไปกับแรงที่กดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือบเคลิ้มหลับ เสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านก็ฉุดให้ลุกขึ้นมอง
“ใคร”
“อะไรพ่อ ก็ลูกยังไง ยายตีกับพญา” ญาดาย้อนถามอย่างแปลกใจที่สามีถามเหมือนจำลูกไม่ได้
“พ่อหมายถึงคนที่นั่งในรถ” สุขุมบอก แล้วลุกขึ้นยืนพยายามเพ่งมอง เพราะเมื่อรถมาจอดหน้าบ้านทั้งคู่ก็ลงมาพร้อมกัน สัภยาเดินมาเปิดประตูเปลี่ยนให้ตีรณาขับรถเข้าบ้าน ส่วนเขาก็รอปิดประตูรั้วอีกครั้ง สุขุมไม่คิดว่าตนเองจะตาฝาดเพราะเห็นผู้หญิงนั่งคู่มากับตีรณาที่กำลังนำรถเข้ามาจอดจริง และเพื่อความกระจ่างจึงเดินไปดูใกล้ๆ ตีรณาลงจากรถพร้อมส่งยิ้มมาให้ แต่สุขุมยังมองเข้าไปในรถแล้วก็เจอแต่ความว่างเปล่า
“หาอะไรพ่อ พญาอยู่โน่น” ตีรณาชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ปิดประตูรั้วบ้าน แล้วเดินตามเข้ามา
“พ่อตาฝาดเห็นใครในรถนะสิ แม่ว่าพ่อตาลายเพราะง่วงมากกว่า เมื่อกี้ตอนแม่นวดให้นะพ่อเคลิ้มไปแล้วนะ” ญาดาบอก สุขุมหันไปสบตาเหมือนจะแย้ง แต่คนเป็นภรรยาส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดต่อ “พ่อขึ้นไปนอนเถอะ แม่รอศาเอง”
“อะไรแม่ ศายังไม่กลับหรือคะ” ตีรณาถาม ห่วงใยน้องสาวขึ้นมาทันที
“เพิ่งโทร.มาบอกว่ากำลังกลับเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เราสองคนกินข้าวกันมาหรือยัง”
“ยังค่ะ หิวมาก แม่ดูปากนะ หิวมาก” ตีรณาลากเสียงยาว
“ผมบอกให้แวะกินก่อนก็ไม่เชื่อ” สัภยาพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึง
“ของอร่อยอยู่ที่บ้าน จะแวะกินของไม่ถูกปากให้เสียอารมณ์ เสียเวลาทำไมละ พูดมากรีบไปจัดโต๊ะเลยไป” ตีรณาออกคำสั่งแล้วดันแผ่นหลัง สองคนทำเหมือนจะเถียงกันอีก ญาดาจึงหยุดทั้งคู่ด้วยคำถามแสนสยอง
“ไม่ถามแม่ก่อนหรือว่ามีอะไรให้กินมั้ย”
“อ้าว!” สองคนที่ชอบทุ่มเถียง หันมาประสานเสียงกันทันที ก่อนที่ตีรณาจะทำปากยื่นตาปริบๆ จนคนเป็นแม่แกล้งไม่ลงจึงรีบบอกออกไป
“ดูทำหน้าเข้า กับข้าวมีแต่คงเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวแม่ไปอุ่นให้”
“ตีว่าแล้ว ยังไงแม่ก็ต้องทำไว้รอ แม่ไม่ต้องไปอุ่นหรอก ให้พญาไปทำละกัน” เธอหันไปทางชายหนุ่ม รุนหลังอีกครั้ง “ไปสิ อุ่นกับข้าวไวๆ หิวจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
“ครับผม” สัภยาไม่ต่อปากต่อคำเพราะเขาเองก็รู้สึกหิว ชายหนุ่มรีบเดินไปยังเรือนครัวทันที ญาดามองตามอย่างชื่นชม ก่อนหันมาตามแรงสะกิดของบุตรสาว
“อะไรยายตี”
“แม่ดูพ่อสิ” เธอบอกแล้วบุ้ยใบ้ไปทางบิดาที่ยังคงก้มๆ เงยๆ มองเข้าไปในรถของเธออย่างสงสัย คนเป็นเมียยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าระอา แล้วบอกเสียงดัง
“พ่อขึ้นไปนอนได้แล้วละ”
“เดี๋ยวพ่อรอศาเป็นเพื่อนแม่” สุขุมบอกแล้วเดินกลับมานั่งที่แคร่หน้าบ้านอีกครั้ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขามั่นใจว่าตนเองตาไม่ฝาดหรือคิดไปเองแน่ แค่อาจเห็นสิ่งที่ไม่อาจยืนยันได้ว่าเห็นก็เท่านั้น
“แล้วศาบอกจะกลับมากินข้าวไหมแม่ ตีจะได้รอน้อง” ตีรณาถามมารดา แม้ยังมองบิดาอย่างสงสัยในท่าที
“ศากินมาแล้ว บอกว่ากำลังขับรถกลับมีเพื่อนขับตามมาส่งไม่ต้องห่วง ตีไปกินข้าวเถอะ หิวมากไม่ใช่หรือไง”
“งั้นตีไปกินข้าวนะคะ” เธอยิ้มให้ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองอีกครั้ง แล้วรีบเดินไปทางเรือนครัวที่สัภยาไปอุ่นอาหารอยู่ ตั้งใจว่าจะกินที่นั่นไม่ต้องยกมาตั้งโต๊ะในบ้านให้เสียเวลา
เมื่อลูกลับสายตาแล้ว ญาดาก็แตะแขนสามีที่นั่งนิ่งแต่หันไปทางโรงรถซึ่งรถของตีรณาจอดอยู่ เหมือนยังไม่คลายสงสัย
“เขาอาจมาดีนะพ่อ”
คำบอกของญาดาทำให้สามีหันมามอง แววตาเหมือนมีคำถามว่าเห็นเหมือนกันใช่ไหม ก่อนจะพยักหน้าเชื่องช้า
“ก็คิดว่าอย่างนั้นนะแม่ บ้านเรา คนในบ้าน ไม่เคยทำผิดคิดร้ายใคร” สุขุมกำมือภรรยา ญาดาบีบตอบแล้วบอกเสียงอ่อนโยน
“เพื่อความสบายใจ ก่อนนอนเดี๋ยวเราไปสวดมนต์กันนะพ่อ อนุโมทนาบุญให้เขา เราเองก็สบายใจไปด้วย”
“จ้ะ รอศากลับก่อนค่อยไปสวดมนต์กัน”