บทที่๔
สุขุมกับญาดาสวดมนต์ในห้องพระเสร็จ กำลังเดินกลับไปที่ห้องนอนก็ได้ยินเสียงอึงอลที่ชั้นล่าง ก่อนได้ยินเสียงร้องเหมือนเจ็บปวดหรือตกใจ สองคนหันมามองหน้ากันอย่างสงสัยและต่างเร่งรีบลงไปดูทันที โดยไม่พูดอะไร
บนแคร่ไม่ไผ่ตรงชานหน้าบ้าน สามร่างนอนทับซ้อนกันอยู่ ใช่แล้ว สุขุมเห็นเป็นสามร่าง ร่างชายหนุ่มด้านล่างสุดกำลังดิ้นอึกอักทุรนทุราย ตรงกลางคือร่างแบบบางของตีรณาที่พยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่ลุกไม่ได้ คงเพราะแรงกดจากร่างบนสุดที่เท้าแขนคร่อมศีรษะทั้งสองอยู่ ร่างด้านบนที่สุขุมเห็นเป็นเพียงเงาดำไม่เห็นหน้าตาแต่รูปร่างเหมือนมนุษย์ คงเพราะแรงกดจากเงาดำนี่เอง สองคนด้านล่างจึงลุกขึ้นไม่ได้
“เล่นสนุกพอหรือยัง”
เมื่อสุขุมตวาดออกไปสุดเสียง เงาดำนั้นก็เลือนหายไปในพริบตา ตีรณากับสัภยารีบขยับตัวลุกขึ้นแล้วมองหน้าอย่างเกรงกลัว ก่อนคนเป็นลูกเอ่ยเหมือนแก้ตัว
“ตีไม่ได้ทำอะไรนะพ่อ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ครับพ่อครู เราไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย แค่ป้าไล่ตีผมแล้วล้มทับกัน” สัภยาเองก็บอกออกไป ทั้งที่อยากขยายความต่อว่า เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ทานแรงตีรณาไม่ไหว แต่ที่เขาไม่คิดจะบอกคือ เมื่อตะแคงหน้ามองแล้วเห็นมือและแขนสีดำเท้าอยู่ตรงหน้า จนร้องออกไปอย่างตกใจ เขากลัวว่าผู้สูงวัยทั้งสองจะคิดว่าเขาเอาเรื่องเหลวไหลมากลบเกลื่อนความผิด
ญาดาเดินเข้าไปหาตีรณา ปัดป่ายไปตามเสื้อผ้าและเส้นผมก่อนจะบอกว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ตีขึ้นไปนอนได้แล้ว”
“แต่แม่คะ คือ...” เธอพูดไม่ทันจบเพราะแม่ยกมือปราม
“ดึกแล้วไปนอน อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนนะลูก”
“พญาก็ไปนอนเถอะ ล้างมือล้างเท้าให้สะอาดก่อนเข้าเรือนนอนละ” สุขุมสั่ง ซึ่งเป็นคำสั่งที่เป็นความเชื่อของเขาเอง ว่าการล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน เป็นเหมือนการชำระล้างสิ่งไม่ดีที่ติดตัวมาจากนอกบ้าน รวมถึงพวกวิญญาณเร่ร่อนหลงทางให้ผ่านพ้นไป
สองหนุ่มสาวมองทั้งสองคนด้วยความฉงน ก่อนแยกย้ายกันกลับเข้าบ้าน
สุขุมหันมามองหน้าภรรยาเหมือนจะถามว่าเห็นเหมือนกันไหม ญาดาพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปกวาดตามองรอบบ้านแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ บ้านนี้มีคนอยู่มาก ไม่มีที่ว่างแล้ว”
บ่ายแก่ในวันที่ฟ้าโปร่งแคร่ใต้ร่มไม้ใหญ่คือที่หลบแดดได้เป็นอย่างดีสำหรับคนมาคุมงานก่อสร้าง สัภยานอนเอกเขนกบนแคร่ ขณะที่ตีรณายังสนใจกับการถ่ายรูปความก้าวหน้าของการปรับปรุงพื้นที่ และซ่อมแซมเรือนยกพื้นทั้งสองหลัง ตามแผนที่พี่ชายสัภยาวางไว้ หลังปรับพื้นที่และลงต้นไม้บางส่วนแล้ว จึงจะปลูกเรือนจำลองเพิ่มขึ้น ส่วนศาลาริมคลองที่จะทำเป็นตลาดน้ำนั้นอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย
“แก ฉันไปถ่ายรูปเรือนหอก่อนนะ” ตีรณาบอกคนที่นอนเหยียดยาว
“เรือนหอไหนป้า” สัภยาลุกขึ้นนั่งทันที
“เรือนหออะไร เรือนโน้น” ตีรณาถามกลับ แปลกใจเช่นกัน
“เอ้า เมื่อกี้ป้าพูดเรือนหอ”
“แกหูฝาดนะสิ” ตีรณาส่ายหน้าระอา พักนี้ทำไมใครๆ ก็หูเพี้ยน ตาฝาดกันไปหมด ตอนมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ผู้รับเหมาเดินไปต้อนรับแล้วถามว่าทั้งสามคนกินอะไรมาหรือยัง คนงานกำลังกินข้าวเที่ยงพอดี จนเธอกับสัภยาหันมามองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะมาแค่สองคนเท่านั้น
“สงสัยผมคงเมาแดด ตาฝาด หูฝาด ก็อากาศเล่นร้อนเสียขนาดนี้ แดดก็แรงจนแสบผิว ป้านะชอบถ่ายรูปกลางแจ้ง เดี๋ยวก็ดำกันพอดี”
“แหมพ่อคนสำอาง นอนไปเถอะ ฉันไม่กลัวดำยะ”
“แต่ป้าก็ถ่ายมาเยอะแล้ว ยังไม่พอหรือครับ พักบ้างเถอะ แดดร้อนๆ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้ง”
“ฉันรู้สึกว่ายังถ่ายรูปเรือนออกมาไม่สวยเลย เดี๋ยวจะลองถ่ายจากหลังเรือนไปทางท่าน้ำบ้าง อาจจะดูดีก็ได้ แกนอนเถอะ เดี๋ยวฉันมา” ตีรณาตัดบท แล้วเดินดุ่มๆ ไปทางเรือนยกพื้นหลังที่อยู่ไกลออกไป ไม่สนเปลวแดดร้อนแรงของช่วงบ่ายแก่
สัภยามองตามด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะลดตัวลงนอนอีกครั้ง ความเย็นสบายใต้ร่มไม้บวกกับอาการเพลียแดดทำให้เขาผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ศีรษะที่หนุนอยู่บนท่อนแขนตนเองถูกขยับยกให้หนุนลงบนตัก แขนและมือถูกดึงมาวางบนลำตัว มือน้อยลูบไล้มือใหญ่กว่าอย่างอ่อนโยน ลูบไปตามท่อนแขนคล้ามแดดอย่างแสนรัก ก่อนละมาปัดเส้นผมที่ถูกลมพัดให้พ้นใบหน้า ทอดสายตาแสนรักมองส่วนต่างๆ ที่ประกอบเป็นใบหน้าสามีสุดที่รักของตน
‘จะจ้องอีกนานไหมบัวคลี่’ คนถามรวบมือน้อยมากำแล้วจุมพิต
‘อุ๊ย! คุณเมืองเทพ อิฉันทำให้คุณตื่นหรือคะ’ บัวคลี่ถามกลับอย่างสำนึกผิดอยู่ในที เจ้าของชื่อลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปเผชิญหน้า จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรักเต็มดวงตา
‘เปล่าหรอกจ้ะ ฉันยังไม่หลับเลยต่างหาก’
‘ถ้าอย่างนั้นก็นอนต่อเถอะค่ะ อิฉันจะพัดให้’
เธอดึงให้เขานอนลงไปหนุนตักอีกครั้ง หยิบพัดไม้ไผ่สานโบกไปมา แต่เมืองเทพหยุดมือเธอไว้ ดึงพัดออกวางข้างตัวแล้วกำมือบัวคลี่เอาไว้ เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ยากจะเอ่ยปาก จนคนรอฟังหมดความอดทน จึงถามเสียเอง
‘มีอะไรหรือคะคุณเมืองเทพ’ เมื่อถามไปแล้วรอคำตอบ สิ่งที่ได้ยินอันดับแรกคือเสียงถอนหายใจของชายที่นอนหนุนตักเธออยู่
‘มีเรื่องอะไรหนักใจ คุณจึงถอนหายใจไม่กล้าบอกอิฉันเช่นนี้’
‘คุณพ่อจะให้ฉันแต่งงาน’