ถานเทียนสวี่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อเตรียมของขวัญที่จะมอบให้บิดาของหวงสือหลิวเรียบร้อยก็มาปลุกสองแม่ลูกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว
“ท่านพ่อ เฉ่าเหมยไม่อยากไป”
“อวยพรวันเกิดท่านตาเป็นสิ่งที่ควรทำนะ”
หวงสือหลิวเหล่มองถานเทียนสวี่ แม้ยามนี้เขาจะแต่งกายสะอาดสะอ้านกว่าปกติ แต่ชุดนั้นค่อนข้างสีซีดค่อนไปทางเก่าแล้ว
หญิงสาวก้มมองชุดของตัวเอง ทั้งนางและเฉ่าเหมยสวมชุดสีชมพูปักลายดอกเหมยฮวาเหมือนกัน แม้เนื้อผ้าไม่ใช้ผ้าไหมราคาแพงแต่ก็ดูมีราคาและหรูหราระดับหนึ่ง
“ที่เจ้าทำงานหนักมาหลายวัน คงไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกใช่หรือไม่”
ถานเทียนสวี่กลอกตามองซ้ายทีขวาที
‘ใช่แน่สินะ’ หวงสือหลิวยกมือขึ้นกอดอก
“เงินทองหายาก แทนที่เจ้าจะเก็บไว้เป็นเงินทุนร่ำเรียน ทำไมถึงเอามาใช้กับเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้เสียได้เล่า”
ถานเทียนสวี่อุ้มตัวเฉ่าเหมยวางบนเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาหวงสือหลิวที่นั่งอยู่อีกฝั่ง โน้มหน้าลงมาเอ่ยตอบเสียงจริงจัง “ดูแลลูกเมียให้สุขสบายไร้ประโยชน์ตรงไหน เจ้าต่างหากควรอยู่เฉยๆ เสียบ้าง ไปนู่นมานี่จนทำตัวเองบาดเจ็บแบบนี้ใช่ได้หรือไง”
โชคดีที่ตอนนี้ข้อเท้าของหวงสือหลิวหายบวมแล้ว มิเช่นนั้นมิแคล้วถานเทียนสวี่คงจะแบกนางไปที่โรงหมอแทนการไปบ้านพ่อตาเป็นแน่
“อีกอย่าง เจ้าก็เคยบอกเองว่าอยากอยู่อย่างสุขสบาย ไม่อยากให้ครอบครัวที่รังแกเจ้าต้องดูแคลนมิใช่หรือ”
หวงสือหลิวจ้องบุรุษด้วยแววตาตื่นตะลึง ก่อนมือเล็กทั้งสองจะตบลงที่ใบหน้าของเขาเบาๆ “เจ้านี่มัน...เป็นสามีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ นะ”
ถานเทียนสวี่หน้าแดง รีบยืนตัวขึ้นแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “ถะ..ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”
หวงสือหลิวลอบขำกับท่าทีเขินอายของชายหนุ่ม เพิ่งเคยเห็นเขาเสียอาการแบบนี้เป็นครั้งแรก สงสัยว่าเขาคงจะชอบให้นางพูดชมชอบอะไรประมาณนี้กระมัง
‘เช่นนั้นคงต้องชมเขาให้บ่อยขึ้นเสียแล้วสิ’
ถานเทียนสวี่ขอเช่าล่อของชาวบ้านพร้อมเกวียนลากเพื่อที่ทั้งสามจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินไกล เมื่อสองแม่ลูกขึ้นนั่งเรียบร้อย ถานเทียนสวี่ก็ปีนขึ้นไปนั่งที่ประจำคนขับแล้วเกวียนก็ค่อยๆ เคลื่อนออก
อากาศยามเช้าเย็นสบาย เฉ่าเหมยน้อยสะบัดหญ้าแห้งในมือ ปากจิ้มลิ้มฮัมเพลงไปพร้อมกับหวงสือหลิวอย่างอารมณ์ดี
จังหวะหนึ่งที่หวงสือหลิวหันไปมองทางถานเทียนสวี่ก็เห็นบุรุษอมยิ้มน้อยๆ เช่นกัน
“ถานเทียนสวี่”
“หืม”
“รู้หรือไม่ ยามเจ้ายิ้มแล้วดูมีเสน่ห์นัก”
ถานเทียนสวี่สะอึก ชำเลืองมองด้วยหางตาก็เห็นหวงสือหลิวส่งยิ้มหวาน มองเขาตาเป็นประกาย
“ข้าชอบเวลาเจ้ายิ้ม เจ้าต้องหัดยิ้มบ่อยๆ รู้หรือไม่”
“ไหนเจ้าเคยบอกว่า...รอยยิ้มข้าทำเจ้าขนลุก”
ชีวิตของบุรุษยากจนอย่างถานเทียนสวี่หาได้มีเรื่องให้น่ายินดีบ่อย ครั้งสุดท้ายที่เขายิ้มได้ก็คือวันที่รู้ตัวว่าตนกำลังจะได้กลายเป็นพ่อ และหลั่งน้ำตาอีกครั้งเมื่อได้อุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองครั้งแรก
“ถานเทียนสวี่” หวงสือหลิวมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงสง่าทว่าคล้ายแฝงความเหนื่อยล้าไว้หลายส่วนอย่างนึกสงสารเห็นใจ “ที่ผ่านมาข้าทำให้เจ้าทุกข์ใจมามาก ข้าขอโทษนะ... ต่อไปข้าให้สัญญาจะไม่ทำเจ้าเสียใจอีก”
ถานเทียนสวี่ไม่ได้หันกลับมามอง แต่ก็เงี่ยหูฟังทุกคำอย่างตั้งใจ
“ข้าไม่ขอให้เจ้ายกโทษให้ แค่เจ้าไม่เกลียดข้าและให้โอกาสข้าแก้ตัวอีกครั้ง...ได้หรือไม่”
ไม่มีคำตอบออกมาจากปาก หลงสือหลิวจึงก้มหน้าเงียบและเลือกจะมองวิวทิวทัศน์แทน
เมื่อไม่มีใครพูดอะไร เฉ่าเหมยจึงปีนขึ้นมานั่งบนตักของหวงสือหลิวก่อนจะเอ่ยถามเสียงใสว่า “ท่านแม่ มีเสน่ห์คืออะไร”
“มีเสน่ห์หมายถึงน่ามอง ดูดีจนละสายตาไม่ได้ บางทีอาจทำใจเต้นแรงและหวิวๆ ในท้อง...” อธิบายพลางเหลือบมองถานเทียนสวี่ที่ตีหน้านิ่งไม่สนใจ แต่ใบหูทั้งสองนั่นแดงก่ำไปทั้งใบแล้ว
‘แหม ทำเป็นวางมาด น่าเอ็นดูเสียจริงนะ’
เวลาผ่านไปไม่นานเกวียนลากก็เริ่มชะลอและหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วที่ก่อจากก้อนอิฐ ความสูงของรั้วไม่มากจึงพอมองเห็นเรือนหลายหลังขนาดเล็กใหญ่ตั้งห่างจากกัน เนื้อที่ไม่ถือว่าใหญ่จนถึงขึ้นเรียกว่าจวนได้ แต่ก็ดูมั่งมีเงินทองอยู่ระดับหนึ่ง
หวงซ่าง หรือเจ้าของเรือนแห่งนี้ เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูล เขาเป็นชายที่ไม่เอาการงาน โชคดีที่บรรพบุรุษทิ้งไร่นาไว้ให้จำนวนหนึ่ง หวงซ่างที่ขี้เกียจทำงานจึงนำที่ทั้งหมดไปขายและนำเงินมาปล่อยกู้กับชาวบ้านเพื่อเก็บดอกเบี้ยแพงๆ แทน
หลายคนจึงขนานนามเขาว่า ตาเฒ่าหน้าเลือด
หวงสือหลิวสูดหายใจเข้าลึก ถึงจะทำใจมาทั้งคืน แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังขลาดกลัวจะต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนั้น
“มาเถิด” ถานเทียนสวี่เดินมายืนข้างเกวียน อุ้มเฉ่าเหมยลงมาก่อน แล้วยื่นมือออกมาให้หวงสือหลิว “อย่าห่วง ของขวัญที่ข้าเตรียมมาจะต้องถูกใจบิดาเจ้าแน่”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นความกังวลใจจากหญิงสาว ด้วยนิสัยชอบเอาชนะของนาง ไม่แปลกที่ในใจจะรู้สึกผิดหวังและเสียหน้าที่ต้องมาแต่งงานกับบุรุษจนๆ ไร้อำนาจอย่างถานเทียนสวี่
ทุกครั้งที่กลับมาบ้านเกิดซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่รอพูดจาทับถมนินทา หวงสือหลิวก็มักจะมีทีท่าประหม่าเช่นนี้อยู่บ่อยๆ
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น” หวงสือหลิวจับมือถานเทียนสวี่ลงมาก่อนปัดชายกระโปรงของตน แล้วย่อตัวอุ้มเฉ่าเหมยขึ้นมา “แต่ข้ากำลังคิดหาวิธีรับมืออยู่ต่างหาก ถ้ามีใครพูดจาไม่เข้าหู ว่าร้ายเจ้ากับเหมยเหม่ยละก็ ข้าจะไล่อัดเรียงตัวเลยเชียว!”