20 ปีที่แล้ว...
“โอ๊ย ๆ พอแล้ว! เจ็บโว๊ย” เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ปลายนิ้วมือทั้งห้านิ้วของเด็กสาวตัวน้อยนุ่งโจงกระเบนแดงเสื้อขาวสีเดียวกันกับอีกหลายคน ถูกกดให้แอ่นงอเกือบจะติดหลังฝ่ามือจนทนไม่ไหวเท่านั้น
“ฮึ! มือแข็งแบบนี้เรอะจะมาหัดรำ” ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดูถูก เด็กหนุ่มปล่อยมือน้อยที่จับบิดอยู่เมื่อครู่ เจ้าตัวเล็กกระโดดไปมาสูดลมเข้าปาก ก่อนกุมมือตัวเองไว้อย่างหวงแหน
“ไอ้พี่ยักษ์! ไอ้บ้าเอ๊ย ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“แล้วเมื่อไรจะมาเอาคืนล่ะยัยเด็กกะโปก กลับไปเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ เล่นหมากเก็บกับเพื่อนเถอะ ตัวแค่นี้...” ไม่ว่าเปล่า พี่ยักษ์ขาใหญ่ประจำบ้านลุงนพฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างจากยักษ์ตัวเขียว! ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างถมึงทึงอย่างน่ากลัว โน้มตัวลงดึงชายเสื้อยืดสีขาวมอมแมมจากข้างหลัง
“ลุงให้พี่มาสอนหนู! ไม่ได้ให้มาออกความเห็น” บริภาษด้วยสายตาอาฆาตแค้น เด็กน้อยวัยหกขวบแม้ขาลอยจากพื้นยังคงมีสีหน้าดื้อรั้น ด้วยความอยากจะเอาชนะคนที่กำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
“จีบมือ... ย่อขาไปจนกว่าพี่จะบอกว่าพอ... แล้วจะสอนให้นะจ๊ะอีหนู มันเป็นพื้นฐานของการเรียนโขน”
มันคือการแกล้งเด็กมากกว่า! ความคิดของเด็กน้อยทอดผ่านแววตาลุกโชน กัดฟันแน่นจนเห็นสันกราม เป็นเพราะว่าสู้แรงคนโตกว่าไม่ได้ ครั้นจะดิ้นถีบขาให้หลุดจากเงื้อมมือยักษ์ เสื้อผ้าของเธอคงขาดเป็นชิ้นก็ต้องยกมือขึ้นดึงยื้อตรงคอเสื้อไว้
“ถ้าผ่านตามพี่บอก พรุ่งนี้เราจะมาดัดตัวน้อง ๆ กันนะครับ ถ้าไม่ผ่านก็กลับบ้านไปอยู่ตามประสาคนมีอันจะกิน ไปเรียนเปียโน เรียนอะไรแบบที่คนรวยเขาเรียนกัน”
ทั้งที่ถูกรังแกเป็นประจำ ไม่มีครั้งไหนที่ขณิกาจะโกรธเท่าครั้งนี้!
“หน้าตาเขาคุ้น ๆ จริง ๆ นะ ฉันว่าใช่แน่ ๆ” เสียงหวานพึมพำ สองมือกอดอก หลังจากที่เธอนั่งใช้ความคิดมาได้สักพัก ระหว่างเดินทางกลับเขาใหญ่ ซึ่งวันนี้มีหมวดพินกับอิงฟ้าติดรถกลับไปเที่ยวด้วย
“อะไรของแก ยัยพาย”
“คุณเมฆ... หน้าเหมือนพี่คนหนึ่งที่ฉันรู้จักตอนเด็กน่ะ” ขณิกาหันไปบอกเพื่อนที่ทำหน้าสงสัย ด้วยพูดคุยกันแต่เรื่องงานโฆษณาจนวกมาถึงเรื่องนี้
“ปั้ปปี้เลิฟแกหรือไง? มีอะไรซัมธิงรอง พี่ดากับชะเอมบอกฉันมาแล้วนะยะ ตกลงเป็นกิ๊กกันแล้วเหรอ?”
ขณิกาส่ายหน้าไปมา “ปั๊ปปี้เลิฟกับผีน่ะสิ ไอ้พี่ยักษ์บ้านั่นชอบแกล้งฉันจะตาย มันนะดัดมือฉันแทบหัก บอกให้ฉันย่อขาจีบมืออยู่ชั่วโมงจนขาฉันเนี่ย! กล้ามเนื้ออักเสบ ยายต้องพาไปหาหมอ ตัวมันหนีกลับบ้านไปเฉย ไม่มาสอนฉันรำ มันแกล้งฉันทุกวันอ่ะ”
ท่าทางเคียดแค้นเป็นจริงเป็นจังของคนพูด พาเสียงหัวเราะดังจากคนข้างหน้าทั้งร้อยตำรวจตรีพิมฐาและสารถีประจำบ้าน ลุงนิ่มทำงานมาตั้งแต่เธออายุห้าขวบ ก็คงต้องจำหน้าพี่ยักษ์นั่นได้
“ลุงยังไม่เคยเจอคุณเมฆเลยนะครับ ถ้าเห็นหน้าสักหน่อยลุงน่าจะจำได้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า?”
อิงฟ้าเคยได้ยินเรื่องนี้ผ่านหูมาตอนเรียนเมืองนอกด้วยกันจึงถาม “ที่แกบอกว่าเคยเรียนรำอะไรตอนเด็ก ๆ ใช่มั้ย?”
“นั่นแหละ บ้านยายนะ เป็นบ้านเศรษฐีใกล้ชุมชนสลัม ใกล้วัดมอญ วัดน้อย ข้าง ๆ เป็นโรงโขนติดแม่น้ำเจ้าพระยา มีสอนรำไทย มวย กระบี่กระบอง วันหยุดฉันชอบไปวิ่งเล่นที่บ้านลุงนพกัน สนุกมากเลย ฉันมีเพื่อนเยอะมาก” ในหน้าตาระรื่นความสุข อิงฟ้าคงดีใจหากเธอเป็นกิ๊กกับลูกค้าคนสำคัญ ไม่ใช่คนที่นั่งข้าง ๆ คนขับรถที่มีท่าทีเป็นห่วง
“ระวังจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า คนนี้น่ะคาสโนว่าตัวพ่อ เปลี่ยนผู้หญิงเป็นเปลี่ยนรองเท้ากระเป๋า เดือนละคนสองคน ถึงพักหลังมานี้จะไม่มีผู้หญิงเดินเข้า ๆ ออก ๆ ฟาร์ม... ก็ไม่น่าไว้ใจ”
เป็นคำสั่งของท่านรองผู้บังคับการฯ ที่หวงลูกสาวเสียเหลือเกิน ไม่ว่านายหัวฟาร์มม้าหรือฟาร์มองุ่น คุณพ่อไม่เว้นว่าต้องให้คนตามไปขุดคุ้ยประวัติ ขณิกาคงจะมีอิสรภาพแค่ตอนอยู่เมืองนอก กับตอนที่แม่หนีตามพ่อไปแล้วได้อยู่ลำพังกับคุณยาย
“ฟ้าว่าพายนึกถึงเรื่องตอนเด็ก ๆ เพราะว่าเคยมีเพื่อนเยอะแยะ คงสนุกกันน่าดูเลยนะ”
“ฉันไม่เคยบอกแกนี่ยัยฟ้า... รู้ไหมว่าฉันสนุกมากแค่ไหน ตอนสมัยประถม ถึงจะเรียนโรงเรียนธรรมดา ๆ ฉันมีเพื่อนเต็มห้อง” ในน้ำเสียงแผ่วลง ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองต่ำกับเรื่องราวในวันวานที่เปรียบเทียบกับตอนอยู่เมืองนอกไม่ได้
ด้วยความเป็นลูกตำรวจบวกกับบุคลิกน่ารักส่วนตัวที่ผู้หญิงบางคนไม่ชอบ เธอถูกว่าเป็นประจำ ‘อีแรดเงียบ’ จากนั้นก็ถูกกลุ่มเพื่อนคนไทยและชาวต่างชาติ ‘บูลลี่’ ตั้งแต่เริ่มเรียนไฮสคูล หลังจากที่แม่ส่งไปเรียนเมืองนอก อาศัยอยู่กับโฮสต์ชาวไทย เวลาถูกรังแกไม่มีใครคอยช่วยเหลือก็ได้แต่อดทน...
ขณิกานิ่งงันไปจนหลายคนรู้สึกได้ คนขับรถประจำบ้านเลยทำลายความเงียบลง
“เออ... ลุงจำได้ว่าโรงโขนลุงนพ จากบ้านยายเพียนเดินไปนิดเดียวก็ถึง ลุงไม่ต้องขับรถบ่อย ๆ แค่ตามไปดูคุณพาย ตอนนั้นลุงกินเงินเดือนทั้งคุณยาย คุณกนิษฐา ท่านรองสบาย”
สารถีวัยหกสิบกว่าหัวเราะร่า พาบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อยให้เบาบางลง หญิงสาวมองกระโปรงเดรสสีขาวชีฟองเข้ารูปประดับด้วยดอกไม้กลางตัวในชุดของเธอและกางเกงสีขาวสบาย ๆ ของเพื่อน ก็กลับมาสู่โลกแห่งความจริงว่ามันเป็นเพียงเรื่องในอดีต
ได้ยินลุงนิ่มเล่าเรื่องเธอในสมัยเด็กว่าซนและแก่นแก้วแค่ไหน คงอดไม่ได้ที่จะอารมณ์ดีตามคนขับรถและเพื่อนร่วมทาง พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยได้สักพักอิงฟ้าเหมือนจะนึกอะไรออก
“เออ... แกมีไลน์เขานี่ ลองเอารูปให้ลุงนิ่มดูดิ”
ด้วยความที่กำลังกดมือถือของตัวเองอยู่ ถึงขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง “รูป? เออ... จริงด้วย ทำไมฉันไม่เคยถ่ายรูปกับเขานะ”
และเป็นเพราะว่าตีความหมายไปอีกอย่าง ดันนึกเสียดายอีกต่างหาก
วันนี้เธอมีนัดกับเขาในช่วงหัวค่ำ ก็คงจะต้องรีบกลับไปเขาใหญ่และตีเข้ากรุงเทพฯ อีกรอบ ซึ่งเธอต้องเข้ามาอยู่แล้วจึงไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องลำบาก
พลันหัวสมองนึกถึงเรื่องเมื่อวานก่อน ความร้อนวูบหนึ่งพุ่งขึ้นหน้าจนต้องส่ายไปมาเพื่อเรียกสติ
ขณะที่ตาเพ่งมองโทรศัพท์ในมือคงจะทำให้คนอื่นคิดว่าเธอไม่ได้คิดอะไรอยู่ ยังพูดกลบเกลื่อนด้วยหน้าตาเฉยชา
“คนบ้าอะไรเอารูปหนุมานขึ้นเป็นโพรไฟล์ หน้าก็ไม่ให้...”
อิงฟ้าชะโงกหน้ามองตาม “เนี่ยเหรอ? ไลน์คุณเมฆ ทำไมเขาเอาหนุมานขึ้นเป็นโพรไฟล์ ฉันว่าหน้าแกเหมาะกับตัวร้ายมากกว่า... ถ้าเป็นทศกัณฐ์ล่ะพอว่า”
แล้วหน้าของคนที่กำลังพูดถึงก็ลอยเข้ามาในหัว แก้มขาวนวลแดงระเรื่อขึ้นตามลำดับ พร้อมความรู้สึกประหลาดพอผู้หมวดสาวฝ่ายสืบสวนคดีเอ่ย
“แต่พี่ว่า... จะมีสักกี่คนเอาตัวละครวรรณคดีไทยโบราณขึ้นเป็นโพรไฟล์ล่ะ พี่ว่าใช่ชัวร์ ตาพี่ยักษ์ที่พายว่าน่ะ”
ขณิกาสูดลมหายใจเข้าลึกหากว่าพี่สาวของเธอพูดอย่างนั้น ในใจเศร้าหมองอดนึกถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งชอบกลั่นแกล้งเธอเป็นประจำไม่ได้ เพราะเคยได้ยินมาว่าครอบครัวของเขาปฏิบัติตัวแย่กับลูกชายแค่ไหน เขาถึงได้เป็นแบบนั้น
พอดีกับที่เหลือบไปเห็นว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง ถนนทางยาวในตัวเมืองคงผ่านห้างสรรพสินค้า เธอตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นเหมือนกันกับเขา จึงชะโงกคอบอกคนขับรถ
“ลุงนิ่ม... แวะห้างกับร้านทำผมในเมืองด้วยนะคะ พายจะพาเพื่อนสาวไปช้อปปิ้ง ไปร้านเสริมสวยหน่อย”