เสียงของเขากร้าวแข็งและดูเหมือนมันเกิดจากอารมณ์โกรธเคืองที่ปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด เดือนลดาอยากจะร้องไห้ เธอไม่อาจตัดสินใจอะไรได้อีกแล้วหรือนี่
“คุณไม่มีสิทธิ์บังคับฉันนะคะ เอเดรียน”
“ผมมีสิทธิ์เต็มที่เลยล่ะมิสเมย์ และคุณฟังผมให้ดี” เขาว่าแล้วโน้มตัวลงไปที่เก้าอี้ซึ่งหญิงสาวนั่งห่อไหล่ด้วยความเกรงกลัว ชายหนุ่มค้ำมือทั้งสองบนที่เท้าแขน ใบหน้าของเขาเครียดเข้มจนเดือนลดาแทบไม่อยากจะมอง
“คุณต้องเป็นผู้หญิงของผม แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะว่าคุณต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต ก็แค่เอาตัวชดใช้หนี้ให้แม่ของคุณเดือนเดียวเท่านั้น ผมไม่ให้คุณอยู่ที่นี่นานหรอก เพราะผมแน่ใจว่าคนอย่างคุณก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฮอลลี่ พวกที่ชอบทำตัวเป็นโสเภณีในบ่อนก็เป็นอย่างนี้ทุกคน!”
ยิ่งเขาพูดก็เหมือนเหล็กแหลมทิ่มแทงลงบนความรู้สึกของหญิงสาว เดือนลดากัดปากตัวเองแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นลอดออกไปให้คนใจร้ายอย่างเอเดรียนได้ยิน เธอต้องเข้มแข็ง ถ้าความทุกข์ทรมานคือการได้ตอบแทนผู้มีพระคุณเธอก็คงต้องเลือกมันอยู่ดี
“ได้...ฉันจะอยู่ที่นี่” เธอกัดฟันพูด “แต่คุณต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับฉันว่าแค่เดือนเดียวเท่านั้นที่ฉันต้องเป็นผู้หญิงของคุณ”
เอเดรียนเหยียดยิ้มกับชัยชนะของเขา “คุณฉลาดนี่ มิสเมย์ สายเลือดแม่ของคุณนี่มันแรงจริง ๆ แต่คุณก็ต้องจำไว้ด้วยเหมือนกันว่าคุณอยู่กับผมในฐานะผู้หญิงของผมเท่านั้น”
นางบำเรอต่างหาก...แค่เอเดรียนไม่เรียกเธอว่าอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง หญิงสาวที่ตอนนี้อยู่อย่างคนไร้ทางสู้เม้มปากเข้าหากันแน่น เธอกำลังจะเก็บกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาไม่ไหว ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นยืนหลังตรงและมองเธอด้วยสายตาหยามเหยียด
“ถ้าคุณทำให้ผมพอใจ บางที...ผมอาจจะยกหนี้ทั้งหมดให้แม่ของคุณก็ได้”
“ฉันคงต้องขอบคุณในความกรุณาของคุณใช่มั้ยคะ คุณสมิธ”
เขายักไหล่ราวกับไม่ยี่หระ “ผมไม่ต้องการคำขอบคุณ เพราะผมไม่ต้องการให้คุณมองว่าผมตั้งใจจจะช่วยเหลือ แม่ของคุณต่างหากที่ก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเองและคุณก็เป็นคนที่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับไปคุยกับแม่ของฉันที่แอตแลนต้า”
“ไม่จำเป็น!” เขาเริ่มเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “ผมว่าฮอลลี่ไม่ได้สนใจหรอกว่าลูกสาวของตัวเองจะต้องมาอยู่ที่ลาสเวกัสกี่วัน”
“แต่ฉันอยากจะพูดอะไรกับแม่ของฉันบ้าง”
“ตอนนี้คนที่คุณต้องฟังคือผมคนเดียว มิสเมย์!”
เอเดรียนยื่นคำขาดและมันทำให้เดือนลดาแทบจะหมดกำลังใจเลยทีเดียว หญิงสาวนึกอย่างเจ็บแค้น เธอไม่น่าพาตัวเองมาเจอกับคนใจหินและหยาบกระด้างยิ่งกว่าหินผาอย่างเอเดรียน สมิธเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเดือนลดาก็ต้องตัดสินใจ หากเธอไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอซึ่งสำหรับเธอมันก็คือการบังคับเธอก็ต้องจำยอมรับสภาพที่ตัวเองต้องตกเป็น ผู้หญิงของเขา อย่างไม่อาจเลี่ยง ร่างบางขยับนั่งตัวตรงและกล่าวออกมาโดยไม่ยอมมองหน้าเขา
“จริง ๆ แล้วตอนนี้ฉันต้องการแค่...เสื้อผ้าสักสองสามชุด เพราะฉัน...ไม่ได้เอาเสื้อผ้าติดตัวมาเลย”
“ไม่จำเป็นต้องออกไปหาเสื้อผ้าที่ไหนหรอก ผมมีคนจัดหามันให้คุณ ตอนที่คุณไปถึงฮาเร็มของผมแล้ว”
เดือนลดานิ่วหน้า “ฮาเร็ม...นะ...นี่หมายความว่าฉันต้องไปอยู่กับผู้หญิงหลาย ๆ คนอย่างพวกสุลต่านอย่างนั้นหรือ”
เอเดรียนทำสีหน้าถมึงทึง เขาล้วงมือไว้ในกระเป๋าทั้งสองขณะมองเธออย่างพินิจพิจารณา
“คุณไม่จำเป็นต้องถามอะไรผมมากหรอกมิสเมย์ ผมจะให้คนของผมพาคุณไปที่นั่น ที่อยู่ที่ผมสามารถตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกได้โดยสิ้นเชิง”
“บ้านของคุณอย่างนั้นหรือคะ?”
หญิงสาวพยายามถามแต่เธอก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมานอกจากท่าทีราวกับเจ้านายของเขา เดือนลดากระวนกระวายใจ เขาเรียกที่อยู่นั่นว่า ฮาเร็ม อาจเป็นคอนโดส่วนตัวในลาสเวกัสนี่และมีผู้หญิงในคอลเล็คชั่นของเขาหลายคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ผลัดเปลี่ยนกันให้ความสุขแก่ เจ้านาย
ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอเดรียนเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่หล่อเหลาบาดจิตจนทำให้เธอเผลอลอบมองเขาหลายหนแต่เขายังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในลาสเวกัสอีกด้วย
บทที่ 5
คนที่พาเดือนลดาไปยังที่ซึ่งเอเดรียนบอกไว้คือ โบ บอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่คนสนิทของ เจ้านาย ซึ่งนับแต่นี้เธอต้องเป็นหนึ่งในผู้หญิงของเขาและอยู่ในสถานที่ที่เขาจัดไว้ให้
แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวคาดเดาผิดคือสถานที่นั้นกลับไม่ได้อยู่ภายในอาณาบริเวณของนครลาสเวกัส ไม่ใช่คอนโดมิเนียม ห้องชุดหรือคฤหาสน์หลังใหญ่อย่างที่เธอคิดไว้
การเดินทางไปยัง ที่นั่น ต้องนั่งเครื่องบินเล็กซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนตัวของ สมิธ ไฮเอนด์ โดยมีโบคอยให้การดูแลและอำนวยความสะดวกให้เธอตลอดระยะเวลาของการเดินทางอันน่าตื่นใจในยามค่ำคืน
ถึงจะรู้สึกหดหู่แต่เดือนลดาก็พบว่าการเดินทางออกไปยังพื้นที่อันกว้างใหญ่นอกกรุงลาสเวกัสซึ่งเป็นทะเลทรายยามราตรีนั้นเป็นประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น