ตอนที่2

1484 คำ
เจ้านี่มันอะไรกันนำทหารมาให้ข้าทำไมทั้งยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีก ฮ่องเต้คิดอย่างไรถึงมอบรางวัลให้ข้าเป็นทหาร หากแต่เมื่อข้านึกบางอย่างขึ้นได้ต้องสะท้านในอกนี่ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าซูเม่ยคือองค์ชายร่านสวาทที่หลับนอนกับทหารและองค์รักษ์มากมาย หมายความว่าฮ่องเต้ประทานสามคนนี้มาให้ข้าเพื่อที่จะ…. “เจ้าเอาพวกมันกลับไป” “ให้กระหม่อมพาองครักษ์….” “ไม่ต้อง…ไม่ต้องพาใครเข้ามาทั้งนั้น เอาพวกมันกลับไป” ข้าว่าแล้วนั่งลงที่เดิม ขันทีชราดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ถอยเท้าแล้วพาทหารทั้งสามออกไป ข้าหงุดหงิดใจยิ่งนักถึงแม้ข้าจะมาเป็นซูเม่ยแบบกลางคันแต่ตัวข้าก็คือซูเม่ย หมายความว่าร่างกายข้าผ่านผู้ชายมามากมายแล้ว แค่คิดก็เริ่มขยะแขยงตัวเอง เพล้ง “ขะ…ขออภัยเพคะองค์ชาย” จิวเมี่ยวรีบก้มหยิบถ้วยน้ำชาของข้าที่หล่นแตกกระจาย นางผู้นี้หน้าตาแม้จะน่ารักแต่ออกจะขี้กลัวเกินไป นางรีบก้มลงเก็บอย่างลุกลี้ลุกลนจนนิ้วถูกบาดเลือดอาบแต่นางไม่สนใจเหมือนกับว่าสิ่งที่ต้องเจอหลังจากนี้จะหนักหนากว่าหลายเท่า หลังจากนางเก็บจนเสร็จก็รีบก้มหัวจรดพื้นขออภัยแก่ข้า แอบเห็นว่านางร้องไห้นำไปแล้ว ข้าถอนหายใจลุกยืนมองนาง “จิวเมี่ยว” “พะ…เพคะ” “ลุกขึ้นเถอะ” “เพคะ” นางรีบลุกยืนแต่ยังก้มหน้าตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว ข้ากอดอก “รินน้ำชาใส่ถ้วยใหม่ให้ข้า” จิวเมี่ยวคงตกใจไม่น้อยกับคำพูดของข้า เพราะนางคงคิดว่าข้าจะเกรี้ยวกราดใส่ แม้จะตกใจแต่นางก็รีบทำตาม ท่าทางนางคงถูกซูเม่ยตัวจริงทำร้ายจิตใจและร่างกายไม่น้อยเพราะซูเม่ยนั้นเป็นคนอารมณ์ร้าย ตอนที่ข้าอ่านรู้สึกจะมีฉากที่ยกเท้าถีบจิวเมี่ยวด้วย เฮ้อ..นางน่าสงสารจริงๆ หลังจากจิวเมี่ยวรินน้ำชาใส่ถ้วยใหม่ให้ข้าดื่ม ข้าจึงเอ่ยถามนาง “จิวเมี่ยวเจ้าว่าข้าเป็นคนยังไง” นางยืนก้มหน้านิ่งกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ “ข้าถาม” “เอ่อ..ใจดีมีเมตตาเพคะ” “แน่ใจหรือ” “เพคะ!” “จิวเมี่ยว เจ้าฟังข้านะต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่ จะเป็นซูเม่ยคนใหม่ ไม่เป็นตัวร้ายแล้ว” นางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ “อย่างเมื่อก่อนข้าอาจจะเอ่อ…ด่าเจ้าบ้างแต่ต่อไปนี้ข้าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่…จะทำดีกับเจ้า…ให้เจ้าคิดว่าข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน” หากเป็นชีวิตจริงข้าคงกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดผู้หญิง ซ้ำยังถูกปรนนิบัติอย่างดีแบบถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ข้าอาจหลงเสน่ห์นางได้ เพราะในโลกความจริงอย่าว่าแต่ผู้หญิงเลยคนปกติยังไม่ค่อยกล้ายุ่งกับข้า เดินตลาดผ่านหน้าร้านทีก็ถูกไล่แล้ว แต่ว่านางผู้นี้เป็นแค่ตัวละครในนิยายซึ่งข้าไม่ได้คิดว่านางเป็นคน หากให้เปรียบคงเหมือนกระดาษมีชีวิต ถ้าข้าสนใจนางสิน่าแปลก พอข้าพูดประโยคเมื่อครู่นางก็ทำหน้างง แน่นอนว่านางไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้าเออออ ข้าถอนหายใจแล้วลุกยืนประจันหน้ากับนาง “เจ้าตบข้า” นางเบิกตากว้างเหมือนเห็นผี เมื่อข้าออกคำสั่ง “ตบข้า…ข้าจะไม่ตบเจ้าตอบ เพื่อให้เจ้าเห็นว่าข้าเปลี่ยนไปและอยากเป็นเพื่อนกับเจ้ามากกว่า” “มะ..หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ องค์ชาย…” “ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะ….ข้าจะวิ่งชนเสา ลองคิดดูสิว่าถ้าข้าบาดเจ็บจะเกิดอะไรขึ้น” ดูเหมือนว่าข้าจะข่มขู่นางเสียแล้ว นางทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายมากกว่าเดิม มือเรียวค่อยๆ ยกขึ้น แล้วหลับตา “ฟาดให้แรงๆ นะ ถ้าเจ้าฟาดเบาข้าก็จะให้เจ้าตบใหม่” “มะ…หม่อมฉันขออภัยด้วยนะเพคะ” เพี๊ยะ! แรงจริงๆ ข้านี่เกือบเห็นดาวเลยทีเดียว พอนางตบข้าแล้ว ก็รีบคุกเข่าโขกหัวลงพื้นพลางขอโทษอยู่นั่นล่ะ ข้าต้องรีบพยุงให้นางลุกยืน “จิวเมี่ยวเจ้าอย่าได้ขอโทษเลย…ต่อไปนี้เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกัน ข้าจะไม่ทำกับเจ้าเหมือนเมื่อก่อนอีก” ข้ายิ้มให้อย่างจริงใจ จิวเมี่ยวคงตกใจไม่น้อยคิดว่านางคงอยากตามหมอมาตรวจอาการข้าแล้ว แต่เอาเถอะคงต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป นางต้องติดตามข้าเพื่อเดินทางไปด้วยหากนางยังกลัว แล้วข้าจะไปมีพวกพ้องสักคนได้ยังไง ………………………. สองวันหลังจากนั้นข้าก็ออกเดินทางไปยังแคว้นหลิง มีข้ารับใช้ติดตามมาหนึ่งรถม้า มีทหารร่วมเดินทางมาด้วยไม่กี่นายเพราะตอนนี้แคว้นซื่อขาดกำลังพล ข้าที่อยู่ในรถม้าได้แต่เท้าคางมองไปข้างนอก มองพื้นดินที่แห้งแล้ง ต้นไม้แทบจะไม่มี หญ้าก็เหี่ยวเฉา ทุกอย่างบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแคว้นนี้ได้อย่างดี พื้นดินยากแก่การเกษตรกรรม ฝนทิ้งช่วงหลายเดือน ดูเหมือนจะลดเงินเดือนข้าราชการด้วยเรียกว่าเป็นแคว้นยากจนของจริง อีกอย่างข้าในฐานะทูตไม่สิตัวประกันยังต้องนำเครื่องบรรณาการไปให้แคว้นหลิงอีก คิดแล้วได้แต่ส่ายหน้าจะรีดเลือดกับปูหรือไง “องค์ชายดื่มชาเพคะ” จิวเมี่ยวยื่นถ้วยชาให้ ข้าก็รับไปดื่ม หลับตาพริ้ม พอได้ดื่มชาแล้วรู้สึกสดชื่นจริงๆ ข้ามองภายในรถม้าแล้วมองจิวเมี่ยวที่นั่งอยู่อีกฝั่งอย่างสงบเสงี่ยม พลางมองไปยังด้านนอกอีกครั้ง นี่ข้าเข้ามาอยู่ในนิยายจริงๆ หรือ ทำไมแต่ละอย่างล้วนเหมือนจริงขนาดนี้ ข้ามองน้ำชา มองร่างกายตัวเองที่สัมผัสได้มีตัวตนจริงๆ แล้วข้าจะออกไปจากนิยายได้อย่างไรกัน การเดินทางใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะถึงแคว้นหลิง และนั่นก็ทำให้ข้าและจิวเมี่ยวสนิทกันมากขึ้น นางไม่ค่อยกลัวข้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ขณะที่ขบวนกำลังจะเดินทางเข้าใกล้เมืองหลวงในอีกไม่ช้า จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง ข้าเปิดหน้าต่างพลางชะโงกหน้ามอง ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากรถม้านำขบวนคันหน้าสุด เกิดเรื่องอะไรขึ้น! “องค์ชายเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเจอโจรป่า!” คนขับรถม้าเปิดประตูบอกอย่างตื่นตระหนก “ขับหนีพวกมันไปให้ได้! ฝ่าผ่านพวกมันไปยังเมืองหลวงแคว้นหลิงเดี๋ยวนี้!” “พ่ะย่ะค่ะ!” ข้าไม่รู้ว่าโจรป่ามันมีจำนวนมากแค่ไหน แต่สถานการณ์ฝ่ายข้าย่อมเพลี่ยงพล้ำแน่นอน ทหารที่ร่วมเดินทางมามีไม่กี่นาย ถ้าไม่หนีคงไม่น่าจะรอด ข้าชะโงกหน้ามองด้านนอกอีกครั้งเห็นรถม้าของข้ารับใช้พลิกคว่ำ ไม่ทราบชะตากรรมของพวกนางด้านในแต่ว่าดูจากสภาพแล้วก็ได้แต่ภาวนา ขณะที่รถม้าของข้ากำลังจะขับฝ่าไป ธนูก็พุ่งยิงคนขับจนร่วงหล่น ทำให้ตอนนี้รถม้านั้นไร้การควบคุมเสียแล้ว! “ทำยังไงดีเพคะองค์ชาย!” จิวเมี่ยวกรีดร้องเมื่อรถม้าเสียการควบคุม ข้าเปิดประตูเพื่อคิดจะจับบังเ**ยนม้าเพื่อควบคุมมันแทน แต่กลับมีโจรป่าคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาจับสายบังเ**ยนเสียก่อนแล้วบังคับม้าให้หยุดลง ไม่ใช่เรื่องราวน่ายินดีสักนิดที่ม้าหยุดวิ่งเพราะต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า ข้าดึงจิวเมี่ยวให้อยู่ด้านหลังเพราะยังไงนางก็เป็นผู้หญิงสมควรถูกปกป้อง แม้นางจะเป็นแค่ตัวละครในนิยายหากแต่นางยังสำคัญต่อข้า ดังนั้นนางจะเป็นอันตรายไม่ได้ โจรป่าหน้าตาอัปลักษณ์จ้องมองเราสองคนแล้วเบิกตากว้างคล้ายมันได้เจอของล้ำค่า ข้ากันจิวเมี่ยวมากขึ้นเมื่อมองแววตาที่หื่นกระหายของมัน มือโสโครกยื่นมาจับแขนของข้าแล้วกระชากให้ออกไปจากรถม้าทันที “องค์ชาย!” จิวเมี่ยวร้องเสียงหลงแล้วรีบวิ่งตามลงมา ทันทีที่พวกมันเห็นข้าต่างมองกันตาค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นหื่นกระหาย ทุกสายตามองข้าเพียงจุดเดียวไม่สนใจจิวเมี่ยวสักนิด ข้านั้นสะท้านในใจเมื่อนึกได้ว่าซูเม่ยนั้นงดงามเพียงใดไม่แปลกที่พวกมันจะมองด้วยสายตาเช่นนี้ ข้าสะบัดแขนที่ถูกจับแต่มันกลับไม่ยอมปล่อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม