เจ้านี่มันอะไรกันนำทหารมาให้ข้าทำไมทั้งยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีก ฮ่องเต้คิดอย่างไรถึงมอบรางวัลให้ข้าเป็นทหาร หากแต่เมื่อข้านึกบางอย่างขึ้นได้ต้องสะท้านในอกนี่ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าซูเม่ยคือองค์ชายร่านสวาทที่หลับนอนกับทหารและองค์รักษ์มากมาย หมายความว่าฮ่องเต้ประทานสามคนนี้มาให้ข้าเพื่อที่จะ….
“เจ้าเอาพวกมันกลับไป”
“ให้กระหม่อมพาองครักษ์….”
“ไม่ต้อง…ไม่ต้องพาใครเข้ามาทั้งนั้น เอาพวกมันกลับไป” ข้าว่าแล้วนั่งลงที่เดิม ขันทีชราดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ถอยเท้าแล้วพาทหารทั้งสามออกไป
ข้าหงุดหงิดใจยิ่งนักถึงแม้ข้าจะมาเป็นซูเม่ยแบบกลางคันแต่ตัวข้าก็คือซูเม่ย หมายความว่าร่างกายข้าผ่านผู้ชายมามากมายแล้ว แค่คิดก็เริ่มขยะแขยงตัวเอง
เพล้ง
“ขะ…ขออภัยเพคะองค์ชาย” จิวเมี่ยวรีบก้มหยิบถ้วยน้ำชาของข้าที่หล่นแตกกระจาย นางผู้นี้หน้าตาแม้จะน่ารักแต่ออกจะขี้กลัวเกินไป
นางรีบก้มลงเก็บอย่างลุกลี้ลุกลนจนนิ้วถูกบาดเลือดอาบแต่นางไม่สนใจเหมือนกับว่าสิ่งที่ต้องเจอหลังจากนี้จะหนักหนากว่าหลายเท่า หลังจากนางเก็บจนเสร็จก็รีบก้มหัวจรดพื้นขออภัยแก่ข้า แอบเห็นว่านางร้องไห้นำไปแล้ว
ข้าถอนหายใจลุกยืนมองนาง
“จิวเมี่ยว”
“พะ…เพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ”
“เพคะ”
นางรีบลุกยืนแต่ยังก้มหน้าตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว
ข้ากอดอก
“รินน้ำชาใส่ถ้วยใหม่ให้ข้า”
จิวเมี่ยวคงตกใจไม่น้อยกับคำพูดของข้า เพราะนางคงคิดว่าข้าจะเกรี้ยวกราดใส่ แม้จะตกใจแต่นางก็รีบทำตาม ท่าทางนางคงถูกซูเม่ยตัวจริงทำร้ายจิตใจและร่างกายไม่น้อยเพราะซูเม่ยนั้นเป็นคนอารมณ์ร้าย ตอนที่ข้าอ่านรู้สึกจะมีฉากที่ยกเท้าถีบจิวเมี่ยวด้วย เฮ้อ..นางน่าสงสารจริงๆ
หลังจากจิวเมี่ยวรินน้ำชาใส่ถ้วยใหม่ให้ข้าดื่ม ข้าจึงเอ่ยถามนาง
“จิวเมี่ยวเจ้าว่าข้าเป็นคนยังไง”
นางยืนก้มหน้านิ่งกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ข้าถาม”
“เอ่อ..ใจดีมีเมตตาเพคะ”
“แน่ใจหรือ”
“เพคะ!”
“จิวเมี่ยว เจ้าฟังข้านะต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่ จะเป็นซูเม่ยคนใหม่ ไม่เป็นตัวร้ายแล้ว”
นางกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ
“อย่างเมื่อก่อนข้าอาจจะเอ่อ…ด่าเจ้าบ้างแต่ต่อไปนี้ข้าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่…จะทำดีกับเจ้า…ให้เจ้าคิดว่าข้ากับเจ้าเป็นเพื่อนกัน”
หากเป็นชีวิตจริงข้าคงกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดผู้หญิง ซ้ำยังถูกปรนนิบัติอย่างดีแบบถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ข้าอาจหลงเสน่ห์นางได้ เพราะในโลกความจริงอย่าว่าแต่ผู้หญิงเลยคนปกติยังไม่ค่อยกล้ายุ่งกับข้า เดินตลาดผ่านหน้าร้านทีก็ถูกไล่แล้ว
แต่ว่านางผู้นี้เป็นแค่ตัวละครในนิยายซึ่งข้าไม่ได้คิดว่านางเป็นคน หากให้เปรียบคงเหมือนกระดาษมีชีวิต ถ้าข้าสนใจนางสิน่าแปลก
พอข้าพูดประโยคเมื่อครู่นางก็ทำหน้างง แน่นอนว่านางไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้าเออออ ข้าถอนหายใจแล้วลุกยืนประจันหน้ากับนาง
“เจ้าตบข้า”
นางเบิกตากว้างเหมือนเห็นผี เมื่อข้าออกคำสั่ง
“ตบข้า…ข้าจะไม่ตบเจ้าตอบ เพื่อให้เจ้าเห็นว่าข้าเปลี่ยนไปและอยากเป็นเพื่อนกับเจ้ามากกว่า”
“มะ..หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ องค์ชาย…”
“ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะ….ข้าจะวิ่งชนเสา ลองคิดดูสิว่าถ้าข้าบาดเจ็บจะเกิดอะไรขึ้น”
ดูเหมือนว่าข้าจะข่มขู่นางเสียแล้ว นางทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายมากกว่าเดิม มือเรียวค่อยๆ ยกขึ้น แล้วหลับตา
“ฟาดให้แรงๆ นะ ถ้าเจ้าฟาดเบาข้าก็จะให้เจ้าตบใหม่”
“มะ…หม่อมฉันขออภัยด้วยนะเพคะ”
เพี๊ยะ!
แรงจริงๆ ข้านี่เกือบเห็นดาวเลยทีเดียว พอนางตบข้าแล้ว ก็รีบคุกเข่าโขกหัวลงพื้นพลางขอโทษอยู่นั่นล่ะ ข้าต้องรีบพยุงให้นางลุกยืน
“จิวเมี่ยวเจ้าอย่าได้ขอโทษเลย…ต่อไปนี้เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกัน ข้าจะไม่ทำกับเจ้าเหมือนเมื่อก่อนอีก” ข้ายิ้มให้อย่างจริงใจ จิวเมี่ยวคงตกใจไม่น้อยคิดว่านางคงอยากตามหมอมาตรวจอาการข้าแล้ว
แต่เอาเถอะคงต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป นางต้องติดตามข้าเพื่อเดินทางไปด้วยหากนางยังกลัว แล้วข้าจะไปมีพวกพ้องสักคนได้ยังไง
……………………….
สองวันหลังจากนั้นข้าก็ออกเดินทางไปยังแคว้นหลิง มีข้ารับใช้ติดตามมาหนึ่งรถม้า มีทหารร่วมเดินทางมาด้วยไม่กี่นายเพราะตอนนี้แคว้นซื่อขาดกำลังพล
ข้าที่อยู่ในรถม้าได้แต่เท้าคางมองไปข้างนอก มองพื้นดินที่แห้งแล้ง ต้นไม้แทบจะไม่มี หญ้าก็เหี่ยวเฉา ทุกอย่างบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแคว้นนี้ได้อย่างดี พื้นดินยากแก่การเกษตรกรรม ฝนทิ้งช่วงหลายเดือน ดูเหมือนจะลดเงินเดือนข้าราชการด้วยเรียกว่าเป็นแคว้นยากจนของจริง
อีกอย่างข้าในฐานะทูตไม่สิตัวประกันยังต้องนำเครื่องบรรณาการไปให้แคว้นหลิงอีก คิดแล้วได้แต่ส่ายหน้าจะรีดเลือดกับปูหรือไง
“องค์ชายดื่มชาเพคะ” จิวเมี่ยวยื่นถ้วยชาให้ ข้าก็รับไปดื่ม
หลับตาพริ้ม พอได้ดื่มชาแล้วรู้สึกสดชื่นจริงๆ ข้ามองภายในรถม้าแล้วมองจิวเมี่ยวที่นั่งอยู่อีกฝั่งอย่างสงบเสงี่ยม พลางมองไปยังด้านนอกอีกครั้ง
นี่ข้าเข้ามาอยู่ในนิยายจริงๆ หรือ ทำไมแต่ละอย่างล้วนเหมือนจริงขนาดนี้ ข้ามองน้ำชา มองร่างกายตัวเองที่สัมผัสได้มีตัวตนจริงๆ
แล้วข้าจะออกไปจากนิยายได้อย่างไรกัน
การเดินทางใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะถึงแคว้นหลิง และนั่นก็ทำให้ข้าและจิวเมี่ยวสนิทกันมากขึ้น นางไม่ค่อยกลัวข้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ขณะที่ขบวนกำลังจะเดินทางเข้าใกล้เมืองหลวงในอีกไม่ช้า จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง
ข้าเปิดหน้าต่างพลางชะโงกหน้ามอง ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากรถม้านำขบวนคันหน้าสุด
เกิดเรื่องอะไรขึ้น!
“องค์ชายเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเจอโจรป่า!” คนขับรถม้าเปิดประตูบอกอย่างตื่นตระหนก
“ขับหนีพวกมันไปให้ได้! ฝ่าผ่านพวกมันไปยังเมืองหลวงแคว้นหลิงเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ข้าไม่รู้ว่าโจรป่ามันมีจำนวนมากแค่ไหน แต่สถานการณ์ฝ่ายข้าย่อมเพลี่ยงพล้ำแน่นอน ทหารที่ร่วมเดินทางมามีไม่กี่นาย ถ้าไม่หนีคงไม่น่าจะรอด
ข้าชะโงกหน้ามองด้านนอกอีกครั้งเห็นรถม้าของข้ารับใช้พลิกคว่ำ ไม่ทราบชะตากรรมของพวกนางด้านในแต่ว่าดูจากสภาพแล้วก็ได้แต่ภาวนา ขณะที่รถม้าของข้ากำลังจะขับฝ่าไป ธนูก็พุ่งยิงคนขับจนร่วงหล่น ทำให้ตอนนี้รถม้านั้นไร้การควบคุมเสียแล้ว!
“ทำยังไงดีเพคะองค์ชาย!” จิวเมี่ยวกรีดร้องเมื่อรถม้าเสียการควบคุม ข้าเปิดประตูเพื่อคิดจะจับบังเ**ยนม้าเพื่อควบคุมมันแทน แต่กลับมีโจรป่าคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาจับสายบังเ**ยนเสียก่อนแล้วบังคับม้าให้หยุดลง
ไม่ใช่เรื่องราวน่ายินดีสักนิดที่ม้าหยุดวิ่งเพราะต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า ข้าดึงจิวเมี่ยวให้อยู่ด้านหลังเพราะยังไงนางก็เป็นผู้หญิงสมควรถูกปกป้อง แม้นางจะเป็นแค่ตัวละครในนิยายหากแต่นางยังสำคัญต่อข้า ดังนั้นนางจะเป็นอันตรายไม่ได้
โจรป่าหน้าตาอัปลักษณ์จ้องมองเราสองคนแล้วเบิกตากว้างคล้ายมันได้เจอของล้ำค่า ข้ากันจิวเมี่ยวมากขึ้นเมื่อมองแววตาที่หื่นกระหายของมัน มือโสโครกยื่นมาจับแขนของข้าแล้วกระชากให้ออกไปจากรถม้าทันที
“องค์ชาย!”
จิวเมี่ยวร้องเสียงหลงแล้วรีบวิ่งตามลงมา
ทันทีที่พวกมันเห็นข้าต่างมองกันตาค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นหื่นกระหาย ทุกสายตามองข้าเพียงจุดเดียวไม่สนใจจิวเมี่ยวสักนิด ข้านั้นสะท้านในใจเมื่อนึกได้ว่าซูเม่ยนั้นงดงามเพียงใดไม่แปลกที่พวกมันจะมองด้วยสายตาเช่นนี้
ข้าสะบัดแขนที่ถูกจับแต่มันกลับไม่ยอมปล่อย