ตอนที่1

1429 คำ
อาจจะเร็วไปที่จะบอกแต่ว่าตอนนี้ข้าเข้ามาอยู่ในนิยายเสียแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ เดิมทีข้านามโป๊ยเซียนกำลังหัวเสียกับนิยายของนักเขียนคนหนึ่งที่กำลังโด่งดังจนข้าหมันไส้ หลังอ่านจนจบก็ยังไม่เข้าใจว่ามันสนุกตรงไหนก็แค่นิยายห่วยๆ ขณะอยู่บนรถแท็กซี่เพื่อจะไปดูหนังหน้าเจ้านักเขียนที่งานแจกลายเซ็น รถแท็กซี่เจ้ากรรมก็ดันเกิดอุบัติเหตุและเมื่อข้าตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองหลุดเข้ามาในนิยายเล่มนั้นเสียแล้ว ทำไมข้าถึงคิดว่าตัวเองอยู่ในนิยายน่ะหรือ หึ ข้าไม่ได้มโนหรือบ้าไปเพราะตอนแรกที่ฟื้นขึ้นมายังคิดว่าอยู่ในโรงพยาบาลเลิศหรู พยาบาลแต่งตัวเวอร์วัง แต่เมื่อนางรับใช้เรียกข้าว่าองค์ชายซู่เม่ยข้าก็เริ่มตงิด พอเท้าแตะพื้นเดินไปยังกระจกก็ต้องเบิกตากว้างกับใบหน้าและร่างกายตัวเอง เพราะใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าของข้าแต่เป็นใบหน้าของซูเม่ยตัวละครในนิยายต่างหาก! ข้าจำได้ดีเพราะตอนอยู่บนรถข้ามองภาพตัวละครนี้เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป แต่ไม่คาดคิดว่าตัวละครซูเม่ยจะมีรูปโฉมงดงามกว่าที่เห็นในภาพวาดเสียอีก เรียกว่าไม่ต้องถามกระจกวิเศษก็รู้ได้ทันทีว่าใครงามเลิศที่สุดในปฐพี ดวงตาเรียวและไฝใต้ตาทำให้ตัวละครนี้ดูเซ็กซี่เกินห้ามใจ ริมฝีปากบางแต่น่าหลงใหล ผิวทั่วเรือนร่างนั้นขาวเนียน ร่างกายโค้งมนเย้ายวน เฮ้อ…นี่มันผู้ชายแน่หรือ เจ้าคนเขียนนั่นประสาทดีหรือเปล่าถึงได้ให้ตัวละครผู้ชายนี้มีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าผู้หญิง ยังไม่พอแค่ให้ร่างกายผิดแปลกยังไม่สาแก่ใจเพราะเจ้านั่นมันดันให้ตัวละครนี้เป็นองค์ชายวิปริตที่ชอบมีอะไรกับชายหนุ่ม จนมีฉายาว่าองค์ชายร่านสวาท และยังไม่จบ! เพราะซูเม่ยดันเป็นตัวร้ายในนิยายอีกต่างหาก! เจ้าคนเขียนมันเกลียดอะไรซูเม่ยนักหนากัน! แต่ปัญหาที่มากกว่านั้นคือทำไมข้าถึงกลายเป็นซูเม่ยไปได้! “องค์ชาย ฝ่าบาทให้เข้าเฝ้าเพคะ” ระหว่างที่ข้ากำลังนอนตะแคงเหยียดกายคิดหนัก ข้ารับใช้นามจิวเมี่ยวก็เข้ามาในห้อง ข้าเหลือบตามองนางที่ยืนนิ่งสงบแต่ตัวสั่นเทาคล้ายกำลังหวาดกลัวว่าข้าจะจับนางไปฆ่า ข้าลุกยืนแล้วย่างก้าวออกไปจากตำหนักเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นซื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แคว้นที่อยู่ใต้อาณัติของแคว้นหลิง แคว้นหลิงนั้นเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด ถ้าให้ข้าเดาไม่ผิดฉากนี้จะเป็นฉากที่ซูเม่ยกำลังถูกพระบิดาเรียกให้เข้าเฝ้าเพื่อบอกว่า “ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นทูตเพื่อไปยังแคว้นหลิง” ทำไมข้าไม่หลุดไปในนิยายที่เรียกว่านิยายชีวิตตัวเองนะจะได้คาดเดาชีวิตถูก แต่กลับหลุดมาในนิยายที่ข้าไม่อยากอยู่ ข้าถอนหายใจหากข้าไป นิยายก็จะดำเนินต่อไปและข้าผู้เป็นตัวร้ายก็มีจุดจบไม่สวยเสียด้วยคงจะให้เป็นไปตามเนื้อเรื่องไม่ได้ “เสด็จพ่อข้าไม่สบาย หนักตัวเหลือเกินคงไม่สามารถเดินทางไปยังแคว้นหลิงได้” ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ มองข้าแล้วถอนหายใจ หากข้าจำไม่ผิดฮ่องเต้แคว้นซื่ออ่อนแอที่สุดในบรรดาสี่แคว้น นิสัยเหมือนพ่อที่กลัวว่าเมียและลูกจะหนีออกจากบ้านต้องคอยประคบประหงมเอาใจ “ซูเม่ย จากที่ข้าเห็น เจ้าก็ไม่ได้ป่วยไข้ไม่ใช่หรือ” ข้าใช้หลังมืออังหน้าผากตัวเองแสร้งคล้ายจะเป็นลม “ข้าป่วยจริงๆ” “เฮ้อ….” ฮ่องเต้เดินมาหาข้าแล้วถอนหายใจอีกหลายครั้งก่อนจะยิ้มเหมือนนึกบางอย่างได้ “เจ้าเคยบอกข้าว่า ชอบองค์ชายเฟิงอวิ๋นของแคว้นหลิงไม่ใช่หรือ นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้เข้าใกล้ อีกอย่างเจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์หญิงเจียวจิงของแคว้นเอ้อก็เป็นทูตด้วย เจ้าจะปล่อยไว้แบบนี้หรือ เจ้าควรถือโอกาสนี้ขัดขวางความรักของทั้งสองคน” ชื่อที่หลุดออกจากปากของฮ่องเต้ทำให้ข้าขมวดคิ้ว นี่มันชื่อพระเอกนางเอกของเรื่องไม่ใช่รึ จะให้ข้าไปขัดขวางงั้นหรือ เหอะ ยกภูเขาด้วยมือเปล่ายังง่ายกว่าอีก “เสด็จพ่อทูตนั้นคงหมายถึงตัวประกันมากกว่ากระมัง” ทันทีที่ข้ากล่าวจบสีหน้าฮ่องเต้พลันซีดเผือดก่อนจะกล่าวตะกุกตะกักว่า “จะ…เจ้ารู้ได้อย่างไร ในสาสน์ของแคว้นที่ส่งมามีแค่ข้าที่ได้อ่าน” “ข้า…เอ่อ…ก็คาดเดาไปเรื่อยและดูเหมือนจะจริง” ข้ามองฮ่องเต้ร่างอ้วนที่หน้าซีดเผือดกว่าเดิมเหมือนผู้ร้ายที่กำลังถูกข้าสอบสวน ข้าเดินวนรอบกายกล่าวเหมือนบัณฑิตแต่ที่แท้จริงคือข้าอ่านนิยายเรื่องนี้แล้วต่างหาก “ฮ่องเต้ของแคว้นหลิงคงเริ่มหวาดระแวงแคว้นทั้งสี่ที่อยู่ใต้อาณัติปกครองจึงต้องให้แต่ละแคว้นส่งตัวประกันไป….ที่ข้ากล่าวถูกหรือไม่เสด็จพ่อ….” จากใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วบัดนี้ไร้สียิ่งกว่าเดิม เสียงถอนหายใจหนักดังขึ้นอีกหลายครั้งก่อนที่ศีรษะจะผงกรับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว…ข้าขอโทษแต่ว่ามีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไปเป็นทูตได้….เจ้าก็รู้ว่าน้องๆ ของเจ้ายังเยาว์วัยนักเหล่าองค์หญิงยิ่งไปไม่ได้….ส่วนองค์ชายก็มีแค่ซูหมิง….เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการให้เขาเป็นเอ่อ…รัชทายาท” “เหอะ สุดท้ายก็เหลือแค่ข้าสินะ” “ถือว่าข้าขอร้อง หากไม่ส่งทูตไป แคว้นเราลำบากแน่” นี่ข้าต้องไปแคว้นหลิงจริงๆ หรือ แบบนี้นิยายก็ต้องดำเนินไปในทิศทางของมันน่ะสิ ข้าอยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเป็นองค์ชายนั่งกินนอนกินไปวันๆ ไม่อยากเป็นตัวร้ายสักหน่อย แต่ว่าหากข้าปฏิเสธไม่ไป แคว้นหลิงคงส่งทหารมาจับตัวอยู่ดี คิดแล้วเศร้า อยากใช้ชีวิตกินดีอยู่ดีในนิยายสักนิดก็ไม่ได้ต้องระหกระเหินเดินทางไปพบกับความลำบาก เป็นตัวร้ายที่ต้องกลั่นแกล้งผู้อื่นและถูกผู้คนอื่นรังเกียจ ไม่สิถ้าข้าไม่เป็นตัวร้ายแล้วเปลี่ยนเป็นคนดี ชีวิตข้าอาจไม่ต้องเลวร้ายก็ได้ ฮ่องเต้คงเห็นข้ายืนนิ่งคิดอยู่นานจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ได้…ข้าจะไป” สร้างความดีใจแก่ฮ่องเต้อย่างยิ่งทั้งยังบอกว่าจะประทานรางวัลให้ข้าอย่างงาม ……………… ข้ายกชากลิ่นหอมดื่ม พลางนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่ข้าได้อ่าน เนื้อเรื่องส่วนมากเล่าถึงแต่ตัวละครสำคัญโดยเฉพาะพระเอกและนางเอก ส่วนตัวประกอบเช่นข้าไม่ได้ถูกกล่าวถึงนัก ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยรู้อนาคตของตัวเองเท่าไร หนำซ้ำข้าก็อ่านนิยายข้ามเสียมากกว่า แต่หากพูดถึงจุดจบน่ะหรือไม่ได้สวยงาม ไม่รู้เจ้าคนเขียนมันเกลียดอะไรซูเม่ยนักหนา หากข้ากลับโลกตัวเองได้ อย่างแรกที่ทำคือไปตบเจ้านั่นซะ ถ้าข้ากล้าพอนะ “เจ้าทำอะไร” ข้าเอ่ยถามจิวเมี่ยวที่กำลังจัดที่นอนให้ พอมองออกไปข้างนอกท้องฟ้ายังคงสว่าง นางจะให้ข้านอนแล้วรึ เมื่อข้าถาม นางกลับทำหน้าสงสัย ไม่ทันที่นางจะเอ่ยตอบขันทีคนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง ถ้าจำไม่ผิดเป็นขันทีที่มักอยู่กับฮ่องเต้ “องค์ชายกระหม่อมนำทหารมาให้พระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ข้าขมวดคิ้วไม่เข้าใจเมื่อทหารสามนายก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งหมดล้วนถอดเสื้อเผยให้เห็นรูปร่างที่กำยำบึกบึนดั่งชายชาตรี ข้าลุกยืน “นี่มันอะไร เจ้าพาทหารพวกนี้มาทำไม” ขันทีอาวุโสยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทประทานให้องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” “ให้ข้ารึ แล้วเหตุใดถึงเป็นทหารทั้งสาม” ขันทีเห็นข้าเอ่ยถาม คราแรกมันไม่เข้าใจก่อนจะรีบขออภัยแล้วกล่าวต่อว่า “กระหม่อมจะนำมาเพิ่มอีกสิบคนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ข้าขมวดคิ้วมากขึ้น “อีกสิบคนรึ” “เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นอีกยี่สิบคน….”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม