ทุกคนในบ้านหลับกันไปหมดแล้ว ในตอนที่อรองค์เปิดประตูห้องพระเข้ามา เจ้าตัวนั่งพับเพียบแล้วก้มลงกราบพระพุทธรูป สวดมนต์ แต่ไม่อาจนั่งสมาธิได้ เพราะจิตใจทั้งเจ็บปวดและหวาดหวั่นกับสิ่งที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า ที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้อีกต่อไป
ชีวิตที่ไม่ได้อยู่กับอาวิณ ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจ
โดดเดี่ยว เหมือนตอนที่สูญเสียพ่อในวันนั้น
แต่ความรักและอ้อมกอดของคุณย่าพิศมัยและอาวิณก็เยียวยาความรู้สึกโดดเดี่ยวนั้นได้
แต่ตอนนี้คนที่ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว กลับเป็นอาวิณเสียเอง แล้วใครจะทำให้เธอหายจากความรู้สึกนั้นได้
ป้าอินกับอิ้งเหรอ
อรองค์ไม่แน่ใจ แม้จะรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็สนิทกับอารียา เพราะติดต่อกันตลอด แต่ก็ไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันอย่างใกล้ชิดมาก่อน เพราะปีหนึ่งทั้งสองจะมาที่ไร่แค่สองสามครั้งเท่านั้น
แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาวิณ เธอก็คงทำอะไรไม่ได้
ถ้าคุณย่าพิศมัยยังอยู่ เธอคงไม่ต้องจากที่นี่ไป คิดแล้ว
อรองค์ก็ร้องไห้ จนเผลอหลับไปกระทั่งรุ่งเช้า
ศรีนวลมาปลุก พอเข้ามาในห้องก็เห็นคำแพง สาวใช้ประจำบ้าน ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่อยู่ที่นี่ กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวให้เธอ
“น้องเอิงรีบไปอาบน้ำเถอะ พี่เก็บของให้แล้ว” คำแพงบอก สีหน้าอีกฝ่ายบ่งบอกว่าใจหาย ที่จู่ๆ เด็กหญิงที่ดูแลมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ กำลังไปอยู่ที่อื่น
“ค่ะ” อรองค์เดินเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ศรีนวลเช็ดข้าวของส่วนตัว รวมทั้งเอกสารส่วนตัวและการเรียนต่อระดับมัธยมปลายของอรองค์ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ให้คำแพงกับวสุขนไปยังรถของอินทุอรที่จอดอยู่หน้าตึก
ศรีนวลรอกระทั่งอรองค์แต่งตัวเรียบร้อย หยิบกระเป๋าสะพายที่ใส่โทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์คล้องไหล่ให้ เดินออกมาจากห้องนอน ก็หยุดอยู่หน้าโถง ตรงหน้าชั้นโชว์ เพื่อจะยกมือไหว้กรอบรูปคุณย่าพิสมัย
เมื่อลงจากเรือนมายังรอที่จอดรอ ภาพของบรรดาคนงานและบรรดาลูกสมุนของเธอ รวมทั้งคนรับใช้ในบ้าน รวมๆ กันแล้วนับสามสิบชีวิต ต่างมายืนเรียงเป็นระเบียบรอส่งเธอขึ้นรถ
อรองค์ยกมือไหว้ทุกคนที่สูงวัยกว่า ถึงแม้เธอจะถูกเลี้ยงมาในบ้านอย่างคุณหนู แต่เธอไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งก็เป็นเพียงลูกสาวของผู้ช่วยนายใหญ่เท่านั้น
โบกมือให้บรรดาลูกสมุนโดยมีวสุนำทีมยืนอยู่เบื้องหน้า และบรรดาสมุนตัวเล็กที่อายุไล่เลี่ยกับเธอนับสิบคนได้ เป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่เยาว์วัย ที่ยอมให้เธอเป็นหัวหน้าแก๊งผีเสื้อแห่งไร่ภูวิณ
“แล้วเจอกันนะหัวหน้า” วสุร้องขึ้นเสียงเครือ ทำให้บรรดาสมุนตัวเล็กร้องไห้
“หัวหน้ารีบกลับมาไวๆ นะ”
“มาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆ นะหัวหน้า”
อรองค์พยักหน้ารับ แล้วโผกอดศรีนวลกับคำแพง โบกมือให้วสุ ก่อนจะขึ้นรถ
เมื่อรถเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าบ้าน อรองค์ก็หันไปมองทุกคนที่ยังยืนมองรถ เธอได้แต่โบกมือให้ และน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง
เพราะรู้ดีว่าอีกนานกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก หรือบางทีอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย
หากว่าอาวิณไม่อนุญาต เธอก็ไม่มีสิทธิ์ได้กลับมาที่นี่อีก
ในตอนที่สุชาติเดินหงอยๆ กลับเรือนใหญ่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้านายของเขานั่นเอง
ภูวิณพามะลิไปเที่ยวปลอบใจที่ญี่ปุ่น หลังจากโดนผีปลอมหลอกจนตกบันไดข้อเท้าแพลงไปเป็นเดือน
[เรียบร้อยไหมวะชาติ]
“เรียบร้อยครับนาย รถคุณอินเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี่เอง”
[แล้วเอิงงอแงไหม]
“ไม่เลยครับ นิ่งมาก จนไม่อยากเชื่อว่าจะนิ่งได้ขนาดนั้น”
[คงรู้ตัวว่างอแงไปก็เท่านั้น]
“แต่นิ่งเกินไปครับนาย เหมือนทำใจแล้วว่าอาจไม่ได้กลับมาที่นี่อีก”
[เฮ้ย จะบ้าเหรอ ที่นี่บ้านของเอิง ยังไงก็ต้องกลับมาอยู่ดี แต่ต้องเรียนให้จบก่อนเท่านั้น]
“จบมหาลัย มันนานนะนาย และเอิงเพิ่งจะเข้ามอปลาย กว่าจะเรียนเรียนมันหกเจ็ดปีเลยนะนาย”
[ทำไม มึงคิดถึงเด็กที่มึงเรียกว่าตัวแสบหรือไง]
“แล้วนายจะไม่คิดถึงหรือไง เห็นมาตั้งแต่เกิด และเลี้ยงมาตั้งแต่เจ็ดขวบเลยนะครับ”
[เฮ้ย คิดถึงบ้าบอไร้สาระ แค่นี้นะจะพามะลิไปชอปปิ้ง]
“ไม่ต้องซื้อของฝากมาให้น้องเอิงล่ะครับนาย” สุชาติพูดจบ นายของเขาก็ตัดสายทันที
สุชาติยอมรับว่าใจหาย ที่เห็นรถของอินทุอรเคลื่อนออกไปจากบริเวณไร่ กระทั่งลับหายจากสายตา
เด็กๆ หลายคนร้องไห้ระงม บ่นว่ากลัวจะไม่ได้เจอหัวหน้าอีก คนสูงวัยก็บ่นอาลัยอาวรณ์ เพราะต่อไปนี้คงไม่เห็นอรองค์ทำตัวเป็นหัวหน้าแก๊งผีเสื้อ พาลูกน้องวิ่งซุกซนไปทั่วไร่ แต่ถึงกระนั้นเด็กๆ ก็ช่วยกันทำงานเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะอรองค์ ตัวแค่นั้น แต่สนใจงานในไร่ โดยเฉพาะการปลูกผัก ชอบเป็นพิเศษ
เวลาปลูกอะไรแล้ว ก็เฝ้ามองทุกวันว่าผักที่ตัวเองว่านเมล็ดลงไปจะงอกขึ้นหรือเปล่า พอเห็นว่างอกมาแล้วก็กระโดดโลดเต้น และเฝ้ามองการเติบโต เหมือนแม่ที่เฝ้ามองลูกๆ พอจะผักโตมาก พอจะเก็บขายหรือเก็บไปทำอาหาร ก็ทำหน้าละห้อย จนนึกขำ
‘เอิงจะปลูกผักเหมือนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไม่ได้นะ’
นั่นคือคำพูดของภูวิณที่เคยบอกเด็กหญิงอรองค์ในวันนั้น
ในวันนี้ภูวิณกำลังมีความสุขกับผู้หญิงที่เขาหลงใหล พะเน้าพะนอเอาใจ ถึงขั้นขับไสอรองค์ออกจากไร่ เพราะไปแกล้งผีหลอกสาวเจ้า
แต่สุชาติมองว่ามะลิสวยก็จริง แต่อีกฝ่ายไม่เหมาะจะเป็นนายหญิงของไร่ภูวิณ ยกเว้นแต่ภูวิณต้องการนายหญิงที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไร นอกจากแต่งตัวสวย เดินกรีดกรายโชว์ความสวย และชอปปิ้งไปวันๆ เท่านั้น
แต่สุชาติคิดว่าภูวิณก็ไม่ได้โง่ เขาแค่อยากสนุกกับชีวิตโสดให้คุ้มค่าเท่านั้น แต่การผลักไสอรองค์ไปในวัยเพียงสิบห้าปีเท่านั้น
ก็ดูจะใจร้ายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนถึงจะกลับไร่ได้ มันเป็นเวลาที่นานเกินไปหรือเปล่า
พอถึงวันนั้นจริงๆ ก็หวังว่าอรองค์จะยังอยากกลับมาอยู่ที่นี่อีก
::::::::::::::::::::