เธอคิดและยิ้มให้กับตัวเองแต่เราก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กกินนมจากเต้าดังขึ้นเรื่อย ๆ มัสลินนอนรอดูว่าจะมีน้ำนมไหลออกมาหรือไม่แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าน้ำนมน่าจะไหลออกมาในเวลานั้นหนูน้อยก็ยังคงดูดดื่มราวกับว่าจะมีน้ำนมไหลเข้าปาก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าน้ำนมของเธอจะไหลออกมาแต่อย่างใด เธอมองลูกสาวแล้วก็ยิ้มเพราะหนูน้อยตัวโตและจ้ำม่ำอย่างที่นางพยาบาลบอกไว้จริง ๆ เธอจ้องมองลูกสาวตัวน้อยที่แรกเกิดก็อาจยังไม่เห็นว่าหน้าเหมือนใครแต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้ให้กำเนิดเธอกำลังนึกถึงผู้ชายคนนั้นที่ใจร้ายใจดำไม่ยอมรับลูก ไม่ยอมรับเธอไว้ในชีวิตของเขามัสลินเผลอน้ำตาไหลออกมาเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เธอต้องสร้างความกล้าหาญให้กับตัวเองเดินออกมาจากชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ผลักไสเธอกับลูกอย่างไม่ใยดี ถึงตอนนี้เธอก็ต้องทำตัวเองให้เข้มแข็งแม้ว่าความอ่อนแอกัดกร่อนจิตใจอยู่ตลอดเวลา มองหน้าลูกแล้วเธอก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร มัสลินนึกถึงหลาย ๆ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลังจากที่เธอเป็นฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตของผู้ชายคนนั้นเธอก็ต้องพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง ต้องทำงานไปด้วยทั้งที่อุ้มท้องโดยที่ใคร ๆ ก็ตั้งข้อสงสัยว่าเธอไปท้องกับใคร หากแต่มัสลินก็พยายามทำเสมือนว่าไม่ใส่ใจทั้งที่ตัวเองเจ็บช้ำและต้องพบความกดดันกับชีวิตตัวเองมากแค่ไหน แต่เธอก็จะอ่อนแอมากไม่ได้เพราะต้องมีชีวิตอยู่เพื่ออีกหนึ่งชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะลืมตาดูโลก โชคยังดีที่ทำงานของเธอยังไม่ไล่เธอออกนะว่าเธอจะท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ เจ้านายก็ยังใจดีให้ความเอื้อเฟื้อและเพื่อนร่วมงานทุกคนก็มีน้ำใจกับเธอช่วยเหลือและไม่มีใครค่อยตำหนิหรือไต่ถามว่าเธอไปท้องกับใครแล้วจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ที่รู้ในตอนนี้มัสลินทราบเพียงว่าเธอมีเวลาเลี้ยงดูลูกอีก 3 เดือนหลังจากลาคลอดแต่หลังจากนี้ก็ต้องหาวิธีที่จะฝากตัวเล็กเอาไว้กับใครคนหนึ่งบางทีเธออาจจะกลับบ้านให้พ่อและแม่ช่วยดูแลแม่หนูน้อยของเธอซึ่งในเวลานี้พ่อแม่ของเธอก็ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
ขณะที่มัสลินให้นมลูกของเธออยู่นั้นประตูห้องคนไข้พักฟื้นพิเศษก็เปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา หัสวีร์จ้องมองหญิงสาวที่กำลังนอนให้นมลูก เธอหันหลังให้เขาขณะเดินเข้ามาหยุดที่ข้างเตียงคนไข้โดยที่ยังไม่ยอมส่งเสียงใด ๆ ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่นอนให้นมลูกอยู่บนเตียงก็ยังไม่รับรู้ถึงการมาเขา เวลาผ่านไปชั่วขณะหัสวีร์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นยังไงบ้าง...ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวที่อยู่บนเตียงชะงักงัน มัสลินยังไม่ยอมหันกลับมาหากแต่เธอก็จำได้ไม่ลืมเลือนเลยว่าน้ำเสียงนี้เป็นเสียงของใคร ในเวลานั้นเธอนิ่งอึ้งและนิ่งงัน เพียงอึดใจหัสวีร์จึงเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของเตียงคนไข้ เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่นอนตะแคงข้างโดยมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทารกน้อยผิวขาวที่กำลังนอนกินนมแม่เสียงดังจุ๊บ ๆ มัสลินที่อยู่ในท่าชะงักค้างเลื่อนสายตาของเธอไปหยุดตรงใบหน้าคร้ามเข้มและหล่อเหลาซึ่งเธอก็จำได้ไม่เคยลืมว่าเขาคือใคร หัสวีร์มองเธอด้วยประกายตาหม่นแสงลงในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดฉายออกมาจากประกายตาคู่นั้น หากแต่สำหรับมัสลินแล้วเธอกลับรู้สึกราวกับว่าเขามองเธอด้วยความสมเพชมากกว่า
“มัสลิน...ยังเจ็บแผลอยู่ไหม?” เขาเอ่ยถามน้ำเสียงนั้นเยียบเย็นหากก็ไม่ได้ราบเรียบจนเกินไป มัสลินเหลือบมองเขาชั่วครู่ก่อนหรุบตามองต่ำราวกับว่าไม่อยากสบตา ไม่อยากเห็นหน้าเขาที่จ้องมองลูกสาวตัวน้อยกำลังกินนมอย่างตั้งใจ
“เจ็บค่ะ...แต่เดี๋ยวกินยาก็หาย คุณพยาบาลให้ยาพาราไว้แล้วค่ะ”
“แล้วนี่มีคนมาเฝ้าไข้หรือเปล่า พี่ยังไม่เห็นใครเลย”
“ก็มีค่ะ...เดี๋ยวเพื่อนของลินก็มา ไม่เป็นไรหรอกนะคะ ลินมีคนมาเฝ้าไข้และก็คิดว่าอีกสักวันสองวันก็คงจะกลับบ้านได้แล้ว”
“อาการทั่ว ๆ ไปเป็นปกติใช่ไหม?”
เขาตั้งคำถาม ขณะนั้นมัสลินช้อนตามองเขา “ขอโทษด้วยนะคะ ตอนที่ลินฝากครรภ์จำได้ว่าฝากท้องกับคุณหมอบวรไม่ใช่คุณหมอหัสวีร์ซะหน่อย และลินก็ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณหมอเป็นหมอประจำอยู่ที่นี่”
“พี่ก็เพิ่งย้ายมาได้สักประมาณ 2 เดือนแล้วก็ไม่นึกเหมือนกันนะว่าจะได้มาเจอกับรินที่นี่ ที่ลินบอกว่าฝากครรภ์ไว้กับคุณหมอบวรก็ถูกต้องแล้วล่ะ แต่ว่าวันนี้พอดีว่าหมอบวรเกิดอุบัติเหตุบนทางด่วนมาผ่าตัดให้คนไข้ไม่ทันและคนที่ผ่าตัดคลอดได้ลินในวันนี้ก็คือพี่เอง”
คำบอกเล่านั้นทำให้มัสลินนิ่งไปชั่วครู่หากก็เพียงชั่วลมหายใจเท่านั้นก่อนที่เธอจะทำเหมือนไม่สนใจเขาอีกครั้ง
“เหรอคะ? ลินไม่ทราบเลยค่ะว่านายแพทย์ที่อยู่ในห้องผ่าตัดก็คือพี่วีร์”
“มันก็เป็นความบังเอิญน่ะนะที่พี่ต้องมาผ่าตัดคลอดให้ลินทานหมอบวร”