ครืน!! เปรี้ยง!!
“ฝนมาตกอะไรตอนนี้เนี่ย ไปรีบไปข้างหน้าเป็นวัดร้าง ข้าจะพาเจ้าไปหลบฝนก่อนที่จะเปียก”
“อื้อ อื้อ อื้อ” หญิงสาวร่างบางขัดขืน พยายามจะใช้ร่างกายถีบชายร่างใหญ่ให้พ้นจากพันธนาการ และพยายามที่จะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เผื่อว่าจะมีชาวบ้านคนใดเข้าป่ามาล่าสัตว์บ้าง แต่ก็ไร้ผลเนื่องด้วยเธอถูกผ้ามัดไว้ที่ปาก
“ฤทธิ์มากนักนะเสี่ยวหลาน ถ้าข้าไม่ได้ข้าจ้างที่คุ้มเกินคุ้ม ข้าก็ไม่เสี่ยงอย่างนี้หรอก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเอง ใครใช้ให้เจ้าเกิดมางดงามและไปต้องตาต้องใจใครกันเล่า” ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่เอ่ยท้วงติงที่เห็นหญิงสาวร่างบางที่ตนพามา เริ่มมีแรงขัดขืนอีกครั้งเห็นตัวเล็กอย่างนี้ยามพยศก็มีแรงมากใช่ย่อย เมื่อลากถูไม่ได้เขาจึงตัดสินใจจับนางพาดขึ้นบ่าเพื่อรีบพาหญิงผู้มีโชคชะตาร้ายหลบฝนยังวัดร้างข้างหน้า “แอ๊ด...” เสียงเปิดประตูลากยาวของไม้ที่ไม่ได้รับการบำรุงซ่อมแซมดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงย่างก้าวของฝีเท้าหนักเพื่อเข้ามายังวัดร้างได้ดังขึ้นแทนความสงบ
“เจ้านั่งรออยู่ตรงนี้แหละ รอให้ฝนหยุดตก ข้าจะพาเจ้าไปส่งให้คุณชาย ถ้าเจ้าได้ดิบได้ดี ครอบครัวเจ้าสบายเมื่อใดแล้วก็อย่าลืมข้าล่ะ เสี่ยวหลาน” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นหลังจากที่วางสตรีแซ่หม่า นามว่าเสี่ยวหลาน บุตรสาวพ่อค้าตั้งแผงขายซาลาเปาในหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่างดงามผิดพ่อผิดแม่เสียยิ่งนัก นางเป็นสตรีอ่อนโยน พูดน้อยและขี้เกรงใจคนยิ่งนักกลับต้องมาถูกลักพาตัวมาเนื่องด้วยคุณชายตระกูลใหญ่ต้องการตัวเธอมาเป็นอนุ ทั้งๆ ที่คุณชายเคยส่งแม่สื่อไปทาบทามเพื่อให้เกียรติสตรีนางนั้นอยู่บ้างมาหลายครั้งหลายคราทว่ากลับไม่เป็นผล สตรีนางนี้ถือตัวว่างามจนชายในหมู่บ้านต้องใหลหลงแต่กลับไม่ดูฐานะของตนอง คุณชายใหญ่ในหมู่บ้านจำต้องสั่งลูกน้องคนสนิทจับตัวมาตามสถานที่นัดหมาย แทนที่จะถึงที่จุดนัดหมายกับคุณชาย- ย่งหลันตี๋ ฝนกลับมาตกลงมาเสียก่อน
“นี่เจ้าเป็นอะไรนักหนา ดิ้นอยู่นั่นแหละประเดี๋ยวร่างกายบอบช้ำ หากคุณชายมาเห็นข้าจะโดนเล่นงานไปด้วยนะ” ชายหนุ่มกล่าวอีกรอบด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด
“อื้อ อื้อ..” หม่าเสี่ยวหลานพยายามส่งเสียงเพื่อพูดคุยกับชายร่างใหญ่ที่รู้จักแต่ไม่เคยสนทนากันอย่างจริงจัง
“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดอย่างนั้นรึ” ชายหนุ่มกล่าวถาม
“อื้อ อื้อ” หญิงสาวส่งเสียงพลางพยักหน้าเชิงตอบคำ ชายหนุ่มลังเลสักพักใหญ่ก่อนตัดสินใจแก้ผ้ามัดปากออกเพื่อให้นางสนทนาได้สะดวกด้วยคิดว่าทั้งสองอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้คงไม่มีใครได้ผ่านยินเป็นแน่ หากจะมีคงแต่แมลงที่หลบฝนอย่างพวกเขา เพียงผ้าผูกปากหลุดออกนางเอ่ยเจือน้ำเสียงตื่นกลัวพร้อมดวงตาแดงก่ำ
“ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากทำเช่นนี้ ข้ารับปากว่าจะไม่ไปบอกทางการ จะปิดปากเงียบเรื่องนี้” นางกล่าว
“ใช่ว่าข้าอยากจะทำเสียหน่อย แต่หากข้าไม่ทำ เจ้าก็คงรู้ว่าคุณชายย่งจะจัดการอะไรกับข้าบ้าง” เสี่ยวหลานไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
“ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ ข้าคำนับให้ท่านแล้ว เพียงท่านหนีไปทิ้งข้าไว้ที่นี่แล้วข้าจะหาทางกลับจวนเอง ข้าสัญญาข้าจะไม่เอาเรื่อง ข้าจะให้ท่านพ่อและท่านแม่ย้ายครอบครัวไปที่อื่น ข้าขอร้องท่านแล้ว” เสี่ยวหลานไม่พูดเปล่านางคลานมาใกล้ชายหนุ่มและคำนับศีรษะ เพื่อขอร้องอ้อนวอน น้ำตาเธอไหลพราก เนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นก็มิอาจกลบความงามของนางได้ ดวงตานี้เมื่อใครมองก็ย่อมรักและสงสารในขณะเดียวกัน
“เจ้าจะทำให้ข้าหมดความอดทนแล้วนะ ข้าปล่อยเจ้าข้าก็ตาย” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงหงุดหงิดตวาดกลับไป แม้จะรู้สึกสงสารอยู่บ้างแต่เขาย่อมสงสารตัวเขาเอง
“ข้าขอร้องท่าน เห็นแก่ที่ข้าอายุยังน้อยทั้งยังไม่เคยทำเรื่องบาดหมางแก่ท่านเลยสักครา ขอให้ท่านเห็นพระโพธิสัตว์อยู่ตรงหน้าปล่อยข้าไปเถอะ” นางยังคงกล่าวอ้อนวอน และคำนับต่อไปหมายว่าการกระทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดคุณธรรมในใจของบ่าวเชื่อนายตรงหน้าบ้าง
“เจ้าอย่าทำอย่างนี้ได้หรือไม่เสี่ยวหลาน ข้าลำบากใจไม่น้อยไปกว่าเจ้า ข้าปล่อยเจ้าไปแล้วชีวิตข้าเล่า? เจ้าเป็นของคุณชายก็ใช่จะลำบาก เชื่อข้าสิ...ครอบครัวเจ้าจะได้สบายไม่ต้องลำบากทำงานไปวันๆ” ชายหนุ่มเกิดความสงสารแต่ก็มิอาจปล่อยนางไปได้
ระหว่างที่บ่าวชายสนทนากับเสี่ยวหลานอยู่นั้น พลันมีเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงชายหนุ่มเจ้าสำราญพูดขัดขึ้นมา
“ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องนำนางมาอยู่ที่นี่ ดีนะที่ข้าเป็นคนฉลาดเห็นว่าฝนตกเลยตามมาดูที่นี่ก่อนและเป็นไปตามที่ข้าคิดไม่ผิด” คุณชายย่งหลันตี๋เอ่ยขึ้นขัดจังหวะลูกน้องตน ส่วนอีกฝ่ายนึกขอบคุณที่ตนเองไม่นึกปล่อยหญิงสาวตรงหน้าไป ไม่เช่นนั้นคุณชายย่งหลันตี๋ที่จู่ๆ ก็โผล่มาจะจัดการกับตนเองอย่างไร เขาอาจไม่สั่งกำจัดทว่าไม่อาจการันตีได้ว่าเขาจะปลอดภัย
“คุณชาย! เอ่อ…ข้าน้อยขออภัยจริงๆ ขอรับที่ไม่สามารถพานางไปตามเวลาได้” เขามองตามร่างชายที่เป็นนาย เห็นดวงตาก็รู้ว่าคำสนทนาเมื่อครู่นี้คุณชายย่งได้ยินหมดแล้ว
“ไม่เป็นอันใด ข้าเข้าใจเจ้าดี ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าอยากอยู่กับนางเพียงลำพัง”
“เอ่อ...ขอรับ” เมื่อกล่าวรับคำทั้งที่ใจเกิดความสงสารแต่กระนั้นก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรได้ คงต้องปล่อยตามที่ควรจะเป็น เขาสาวเท้าเดินออกไปจากภายในวัดร้างทั้งที่ฝนยังตกอยู่
“ว่าไง! เสี่ยวหลาน ข้ารอเจ้านานมาก หากเจ้าฉลากสักนิดยอมตกลงกับแม่สื่อที่ข้าส่งคนไปเจ้าก็คงไม่เจอเหตุการณ์เช่นนี้หรอกว่าไหม? แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าไม่ชอบวิธีนั้นข้าก็ไม่อยากรื้อฟื้นเอ่ยขึ้นมาอีก แต่เจ้าไม่ต้องกลัวนะข้าจะถนอมเจ้าให้มากที่สุด” ย่งหลันตี๋เดินสามขุมเข้ามาเอ่ยปลอบสาวน้อยที่กลัวจนตัวสั่น เขายื่นมือลูบไล้ตามใบหน้าของหล่อนจนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือกเอ่ยเสียงสั่น
“คุณชายอย่าทำอะไรข้าเลยนะ ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้อง” เสี่ยวหลานเอ่ยปากขอร้อง วิงวอนอย่างสุดชีวิต
“หลานเอ๋อร์ ไยคิดว่าข้าจะเหนี่ยวรั้งเจ้าเล่า ข้าย่อมจะปล่อยเจ้าแน่นอน แต่หลังจากที่เจ้าเป็นของข้าเสี่ยก่อน” จบคำพูดย่งหลันตี๋ผลักนางลงไปนอนกับพื้นที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นจับหนา สองมือทึ้งแขนไม่ให้ปัดป้องพร้อมใบหน้าเกลี้ยงเกลาโน้มซุกเข้าที่ลำคอสูดดมกลิ่นกายโดยไม่สนใจสักนิดว่าเวลานี้นางจะมอมแมมหรือมีกลิ่นเหงื่อไคลมากน้อยแค่ไหน เพราะวันนี้นางให้เป็นของเขาให้ได้ส่วนเรื่องรับนางกลับเข้าจวนก็เป็นเรื่องในวันพรุ่งนี้
การกระทำหยามเหยียดสตรีต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่างบาปหนายิ่ง ความดีมิอาจทำให้โจรราคะได้ใจ ดาบอันแหลมคมได้ฟาดเข้าที่กลางหลังของย่งหลันตี๋
“อ้าก!” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่มดังกึกก้องแข่งเสียงสายฝนด้านนอกจนผู้ติดตามพร้อมกับชายร่างใญ่ที่จับเสี่ยวหลานกุลีกุจอเข้ามาภายในอาราม เพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนายของตน ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้เข้าไปช่วยหรือเอ่ยปากถามดาบคบกริบได้เข้ามาสัมผัสผิวกายเสียแล้ว ร่างพวกเขาล้มลงกองกับพื้นแน่นิ่งอย่างไร้เสียงขอความช่วยเหลือ ภาพเบื้องหน้ารวดเร็วและจบลงด้วยความตาย ทำให้เสี่ยวหลานกรี๊ดร้องด้วยความตื่นกลัว
“อยากได้ภรรยา ข้าก็ส่งเจ้าไปหาที่นรกแล้วกัน” เสียงเจ้าของดาบที่ฟาดไปกลางหลังของย่งหลันตี๋จบ ดาบได้แทงเข้าไปยังลำตัวของคุณชายเจ้าสำราญอีกครั้ง ทำให้เขาขาดใจตายในที่สุด เสี่ยวหลานกลัวจนลนลานรีบถดถอยหลังไปชิดกับกำแพงก้มศีรษะร้อง
“อย่า! อย่าทำข้า…ข้ายังไม่อยากตาย” นางร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ตัวสั่นเทาราวกับเมื่อเจอเพชฌฆาตฆ่าคนได้ในพริบตา นางไม่ได้ทำอะไรผิดเหตุใดต้องมาเจอเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ด้วย นางกลัว! กลัวยิ่งนัก
“ท่านอ๋องขอรับ จะทำอย่างไรกับแม่นางผู้นี้ขอรับ”
“พากลับไปด้วย แล้วพวกเจ้าก็จัดการศพพวกนี้ไปพร้อมกับไส้ศึกพวกนั้นเลย”
“ขอรับ ท่านอ๋อง”
สิ้นเสียงคำสั่งจวิ้นอ๋องหรือหยางซื่อหลงฉีเขาก็ตั้งท่าเดินออกไปนอกอาราม แต่จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าพร้อมหันกลับมามองเสี่ยวหลานอีกครั้งอย่างพิจารณา ความมืดทำให้เขาเดินย่างเท้าเข้าไปหาและพินิจพิจารณาใบหน้าอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะอุ้มนางแบกขึ้นบ่าพาออกนอกอารามพร้อมกัน
เมื่อพ้นอารามร้างเขาโยนนางขึ้นไปบนหลังม้าที่ซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้ราวกับนางเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งก็ไม่ปาน ไม่ทะนุถนอมหรือเกรงว่านางจะเจ็บหรือไม่ทำเพียงดีดตัวขึ้นไปหลังม้าและควบม้าเร็วพุ่งไปตามทางตรงหน้าราวกับมีบางอย่างที่ไม่อาจรอช้า
“ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้า...” เสี่ยวหลานที่ไม่เคยนั่งม้าได้แต่กอดคอตะโกนร้องขอความเห็นใจจากชายแปลกหน้าที่มาช่วยชีวิต และหวังว่าเขาจะปล่อยให้นางกลับบ้าน นางพยายามแหกปากขอร้องทั้งที่ใจหนึ่งก็กลัวตกหลังม้าใจหนึ่งก็กลัวเขาจะไม่ได้ยิน ทว่านางต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงขัดตะเบงดังขึ้น
“หุบปาก” หยางซื่อหลงฉีตวาดใส่นางด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่น้อย เขาบึ่งม้าออกไปจากบริเวณดังกล่าว มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมอย่างไม่ลดความเร็วของม้าแม้แต่น้อย ดวงตาจ้องไปยังเบื้องหน้าแห่งความมืดสลับกับมองร่างน้อยๆ ที่เสื้อผ้าขาดวิ่นเห็นผิวกายกอดแผงคอม้าของเขาอยู่