ท้องนภาในยามนี้มืดครึ้มปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีเทาเข้ม แว่วเสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลพร้อมกับสายอสนีบาตที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรงเป็นระยะๆ เสียงสายลมหวีดหวิว กระทบผ่านสรรพสิ่งทั้งมวล อีกทั้งสายลมยังหอบหิ้วผืนดินทรายขึ้นมาโยนเล่นกลางอากาศ ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกวังเวงในหัวใจ
ทว่ามีร่างหนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางบรรยากาศที่แปรปรวน เสียงฟ้าคำรนดังกึกก้องกระทบโสตประสาทให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน แต่ถึงกระนั้นเขามิได้สะทกสะท้านต่อสิ่งใดทั้งสิ้น มือหนึ่งถือดาบที่มีคราบเลือดไหลนองไว้กำมือแน่น พร้อมที่จะปะทะกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่จู่ๆ ร่างนั้นค่อยหันมาอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาแดงก่ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลนดินผสมกับหยาดเลือดที่กระเซ็น ดวงตานั้นช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน ดวงตาของพญามัจจุราชที่สามารถฆ่าชีวิตของใครก็ได้เมื่อต้องการ เขาผู้นั้นเดินเข้ามา เขาก้าวสามขุมเงื้อดาบขึ้นเหนือหัวและฟาดลงมาตรงหน้าอย่างสายฟ้าแลบ
“กรี๊ด...” สองตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เหงื่อซึมไหลซึมบริเวณขมับและกรอบหน้าและรวมไปถึงแผ่นหลัง เสียงเคาะประตู ก๊อก ก๊อก! ดังขึ้นจนทำให้เสี่ยวหลานที่นอนอยู่บนเตียงต้องลุกขึ้น
“เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลาน...เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เสียงของผู้เป็นมารดาเคาะประตู เสี่ยวหลานได้ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้วจึงลุกออกจากเตียงตรงไปยังประตูและเปิดออก
“ท่านแม่ ข้าเพียงฝันร้ายเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าคะ” เสี่ยวหลานเอ่ยกับหม่าเจวี้ยนกวงหญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดา
“เอาล่ะ..เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แม่เจ้าได้ยินเสียงเจ้าร้อง ก็ตกใจรีบวิ่งมาดูเจ้า” เสี่ยวเค่อตอบกลับไป หม่าเจวี้ยนกวงได้ยินเข้าก็เหลียวหลังเอ่ยเสียงแข็งใส่ทันที
“ท่านพี่ทำเป็นว่าข้า ท่านวิ่งนำมาก่อนข้าอีกนะ ไปๆ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเปิดร้านอีก” หม่าเจวี้ยนกวงกล่าวพร้อมดันหลังสามีให้เดินออกไป หลังจากนั้นก็ปิดประตูให้บุตรสาวของตน
เสี่ยวหลานเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาและมารดาออกไปแล้ว นางจึงเดินไปนั่งที่เตียงเหมือนเดิม อากาศคืนนี้ร้อนอบอ้าวกอปรกับที่ตนฝันร้ายจนเหงื่อออกท่วมตัว ทำให้นางนอนไม่หลับอีกจึงได้นั่งนึกถึงความฝันของตน ช่างเป็นภาพที่น่าตระหนกยิ่งตกใจยิ่งเพราะชายที่เขาเห็นในฝัน ไม่ใช่ใคร...เขาช่วยเธอให้พ้นจากการถูกลักพาตัว แต่เขาก็พรากพรหมจรรย์ของนางไปด้วยเช่นกัน สุดท้ายเหมือนเขาจะเป็นชายโฉดแต่กลับช่วยนางอีกทั้งซื้อร้านให้แก่บิดานาง นางสับสนเหลือเกินว่าแท้จริงเขาเป็นเทพเซียนหรือมัจจุราชกันแน่
ยามอิ๋นเสี่ยวหลานออกจากห้องของตนเพื่อเข้าครัว เพื่อเตรียมนวดแป้งและเตรียมเครื่องปรุงทำซาลาเปาและเสี่ยวหลงเปาอีกทั้งทำน้ำซุป นางยังคงง่วนอยู่กับการทำอาหารเพื่อที่จะเปิดขายในช่วงเช้า ส่วนบิดาและมารดาก็เตรียมตัวไปเปิดร้าน แต่เหตุใดไม่ทราบจิตใจของเสี่ยวหลานนั้นหาสงบไม่
ยามเหม่าอากาศช่วงนี้ช่างดูอบอุ่นยังไม่ถึงกับร้อนมากนัก นกน้อยนานาชนิดเริ่มออกจากรังเพื่อทำหน้าที่ขับขานประสานเสียง ประกายแสงยามเช้าพัดผ่านทุกพื้นที่เพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าเข้าสู่เช้าวันใหม่
กิจการร้านของเสี่ยวเค่อยังคงมีลูกค้าหนาแน่น มองไปทางใดก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่เข้ามาจับจองพื้นที่สั่งเสี่ยวหลงเปาบ้าง ซาลาเปาบ้าง ผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้มต้อนรับลูกค้าจนแก้มแทบปริ จวบจนลูกค้าเริ่มซาลงก็เข้ายามซื่อ เสี่ยวหลานจึงได้ออกมาช่วยเช็ดโต๊ะและเก็บข้าวของเพื่อจะนำไปล้างทำความสะอาด จู่ๆ ได้มีคนของทางการแต่งกายเต็มยศนำโดยผู้ว่าการเหวินเข้ามาด้านใน เสี่ยวหลานเห็นดังนั้นในใจเกิดความประหม่าและหดเกร็งขึ้นมาโดยทันทีเกรงว่าภัยจะมาถึงตนด้วยเรื่องของคุณชายย่ง ซึ่งนางเป็นสาเหตุให้คุณชายถึงกับความตาย
"ที่นี่แหละขอรับ ร้านตระกูลหม่า" ผู้ว่าการเหวินเอ่ยขึ้น
"ขอบใจท่านมาผู้ว่าการ" คนของทางการท่านหนึ่งหันหน้าไปเอ่ยขอบอกขอบใจกับผู้ว่าการเหวินเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงหันมาทางร้านพร้อมเอ่ยขึ้น
"ไม่ทราบว่าใครคือหม่าเสี่ยวหลาน" น้ำเสียงอันดังกังวานก้อง เสียงนั้นสอดแทรกเข้าไปยังโสตประสาทของเสี่ยวหลาน ทำให้นางเสียวสันหลังวาบ มือเท้าปากเริ่มสั่นเทา ใบหน้าเริ่มซีดขาวเพราะรู้สึกหวาดผวากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ขาทั้งสองหนักอึ้งแทบจะไม่มีแรงจะยืนหยัดด้วยสองขาของตนทว่าเสียงนั้นยังไม่หยุดจนกว่านางจะปรากฎตัว
"ข้าถามว่าใครคือแม่นางหม่าเสี่ยวหลาน” ชายผู้นั้นยังคงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
"เอ่อ...คือนายท่านที่เคารพ ข้าน้อยหม่าเสี่ยวเค่อเป็นบิดาของนาง ไม่ทราบว่าบุตรสาวข้าไปก่อเรื่องวุ่นวายอันใดหรือขอรับ "
หม่าเสี่ยวเค่อเห็นท่าไม่ดีจึงได้สาวเท้าเข้าไปพร้อมเอ่ยปากถาม เพราะเห็นว่าเสี่ยวหลานยืนนิ่งและมีสีหน้าตระหนกกับเสียงเรียกนี้เป็นอย่างมาก ส่วนตัวของเขาก็ยังไม่ทราบเรื่องอันใดครั้นจะเข้าไปถามบุตรสาวของตนก็ยังไม่เหมาะสมในเวลานี้