บทที่ 7
การแสดงชั้นต่ำ
ตลกสิ้นดี
ซูลี่เดินตามนายทหารเข้าไปในเรือนบุปผาสีชาด ซึ่งเป็นเรือนใหญ่โอ่โถงที่สุดในจวนสกุลหลิวเพราะเป็นเรือนพักของผู้นำตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น
อีกทั้งเรือนบุปผาสีชาดยังอยู่ติดกับสวนกว้าง รายล้อมไปด้วยหมู่มวลดอกไม้สีแดงนานาชนิด แน่นอนว่าสถานะต้อยต่ำดั่งทาสเช่นนางย่อมไม่มีโอกาสเหยียบย่างเข้ามาในเรือนหลังนี้
แต่เวลานี้นางมีประโยชน์ ไม่ว่าเรือนไหนๆ หากนางชี้นิ้วอยากได้ก็ย่อมได้ตามประสงค์
“คารวะท่านประมุขเจ้าค่ะ”
ซูลี่มองแผ่นหลังของผู้ที่นางโหยหาความรักจากเขามาตลอดชีวิต เขาเป็นดั่งความว่างเปล่าที่นางไม่อาจเอื้อมคว้ามาไว้ครอบครอง แม้เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ไม่เคยใกล้ชิด เมื่อถูกคนผู้นี้ทำดีด้วยในชาติก่อนนางจึงรีบตะเกียกตะกายไขว่คว้าโดยไม่ได้ไตร่ตรองเลยสักนิด
ว่านางไม่มีทางได้รับความรักจากคนผู้นี้ ไม่มีวัน!
“มาแล้วเหรอซูลี่ มานั่งตรงนี้ก่อนสิ”
หลิวเทียนฉินหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนแสนอบอุ่น เขาเดินเข้ามาประคองไหล่สกปรกของบุตรสาวนอกสมรส ก่อนจะพานางไปนั่งที่เก้าอี้
เหมือนในชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าชาติก่อนนั้นนางกำลังผ่าฟืนจนเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ที่ด้านหลังเรือนครัว งานที่ควรจะเป็นหน้าที่ของบ่าวชายกำยำ แต่กลับถูกโยนให้นางต้องทำเพียงผู้เดียวจนฝ่ามือแตกยับ แล้วจู่ๆ นางก็ถูกเรียกให้มาพบประมุขหลิวผู้เป็นบิดาโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้รับรอยยิ้มอบอุ่นและสัมผัสที่อ่อนโยนหัวใจของนางก็อ่อนยวบลงไปกองแทบเท้าของผู้เป็นบิดาอย่างคนโง่เขลา
ทว่าชาตินี้นางเพิ่งทำวีรกรรมทำร้ายร่างกายบุตรสาวผู้เปรียบดั่งหัวแก้วหัวแหวน จึงอยากรู้นักเชียวว่าชายหน้าไหว้หลังหลอกผู้นี้จะจัดการกับสิ่งที่นางเพิ่งกระทำลงไปเช่นไร
“ขะ...ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านประมุข”
ซูลี่แสร้งทำเป็นขลาดเขินเมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ และนั่นทำให้หลิวเทียนฉินถึงกับแอบลอบยิ้มที่มุมปาก ด้วยมองว่าสามารถจัดการกับบุตรนอกสมรสผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย
“แต่ตัวข้านั้นสกปรก ไม่บังอาจนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงหรอกเจ้าค่ะ”
หญิงสาวปฏิเสธแล้วเหลือบมองเก้าอี้ฝังมุกเป็นรูปดอกมู่ตานราวกับมันคือสิ่งล้ำค่ามากกว่าชีวิตของนางเอง
“อย่าพูดจาเช่นนั้นเลยลี่เอ๋อร์ สิ่งสกปรกเหล่านั้นติดเพียงเนื้อกายและเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่จิตใจของเจ้านั้นสูงค่าและน่ายกย่องกว่านั้นมากนัก”
น้ำเสียงหวานอ่อนโยนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซูลี่ที่กำลังก้มหน้างุดถึงกับเกือบหลุดหัวเราะพรืดออกมาให้กับสำนวนเปรียบเปรยชวนคลื่นไส้ของฮูหยินหลิว
‘ลี่เอ๋อร์’ งั้นเหรอ ช่างกล้าเรียกด้วยถ้อยคำราวกับรักใคร่เสียเหลือเกิน เป็นการแสดงชั้นต่ำที่น่าหัวเราะขบขันยิ่งนัก
มาเถอะ! ข้าจะแสดงละครที่สมจริงให้พวกเจ้าได้ดูเป็นบุญตา!
“ฮะ...ฮูหยินหลิว!”
หญิงสาวรีบแสร้งยอบกายลงคุกเข่ากับพื้น ตัวสั่นเทิ้มดั่งคนหวาดกลัวในความผิดที่ได้กระทำจนต้องหลบลี้ซ่อนกายทั้งวันทั้งคืน เพราะบังอาจไปแตะต้องบุตรสาวสุดที่รักของฮูหยินหลิวเข้า
“อย่าได้หวาดกลัวไปเลยลี่เอ๋อร์ ข้าและเม่ยเอ๋อร์ไม่คิดโกรธเคืองถือโทษเจ้า พวกเราได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นเพราะจนตรอกไร้ทางสู้ ที่ผ่านมาข้าหลงเชื่อคำยุแยงของสาวใช้ พวกมันกล่าวหาว่าเจ้าเป็นเด็กดื้อรั้นเกียจคร้านไม่ทำงานทำการ ข้าจึงนึกชิงชังเจ้าโดยไม่ไตร่ตรองมาก่อน”
เมื่อเห็นว่าหญิงต่ำศักดิ์ยืนนิ่งอย่างสงบ นางจึงเหลือบมองสามีที่กำลังมองมายังนางอย่างสื่อความนัย ก่อนจะโกหกต่อไปว่า
“แต่เวลานี้ข้าได้ตาสว่างแล้ว เพราะบิดาของเจ้าได้ชี้ให้ข้าได้เห็นถึงความจริง ว่าเนื้อแท้ของเจ้านั้นเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง ไม่เคยทำให้พวกเราต้องเดือดเนื้อร้อนใจเลยแม้แต่น้อย ลี่เอ๋อร์ที่ผ่านมาข้าและบิดาของเจ้าทำผิดกับเจ้ามากนัก”
พูดพลางแสร้งทำเสียงเครือราวกับจะร่ำไห้ ก่อนจะปราดเข้าไปโอบประคองร่างสกปรกของบุตรนอกสมรสสามี
“ยะ...อย่าเจ้าค่ะ!”
ทว่าซูลี่กลับสะบัดกายสุดแรง และนั่นทำให้หญิงสูงวัยไม่ทันตั้งตัวล้มหงายลงไปกองกับพื้นจนสะโพกกระแทกพื้น
“โอ๊ย!”
เจ็บปวดจนต้องนิ่วหน้า หมายจะลุกขึ้นตวาดตบตีนังโสโครกที่บังอาจผลักตนจนบาดเจ็บ ดวงตาของมี่เจินถลึงเหลือกอยากสิ้นสุดความอดทน ซึ่งแน่นอนว่าแม้ซูลี่จะแสร้งก้มหน้าตัวสั่นคล้ายหวาดกลัว แต่กลับลอบมองสีหน้าของศัตรูแล้วแย้มยิ้มเย้ยหยันอย่างสนุกสนาน
“อาเจินเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้เป็นสามีปราดเข้าไปประคองภรรยา มือที่จับต้นแขนนั้นบีบแรงราวกับต้องการเตือนให้ภรรยาได้สติ ก่อนจะกระซิบเบาด้วยเสียงลอดไรฟันที่ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้น
“อดทนไว้อาเจิน! อดทนไว้!”
อยากจะกรีดร้อง อยากจะดึงทึ้งผมอีกฝ่ายเข้ามาตบตีให้สมกับที่สะโพกของนางกำลังปวดแปลบทุกการขยับย่างก้าว แต่เพราะผลประโยชน์ที่แสนหอมหวานฮูหยินหลิวจึงฝืนยิ้มออกไปอย่างอ่อนหวาน
“โถ...ลี่เอ๋อร์เจ้าคงตกใจมากสินะที่จู่ๆ ข้าก็เข้าไปกอดเจ้าโดยที่เจ้าไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้”
ซูลี่ที่ยังคงก้มหน้านิ่งราวกับเจียมเนื้อเจียมตน ค่อยๆ เงยขึ้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สะใจไม่น้อยที่ได้ผลักศัตรูตัวฉกาจให้ล้มหงายลงไปไม่เป็นท่า
ล้มแรงขนาดนั้นคอยดูได้เลยว่าพรุ่งนี้คงเขียวช้ำจนนอนซมแทบลุกไม่ขึ้นเป็นแน่
“จะ...เจ้าค่ะฮูหยิน ตัวข้านั้นสกปรกนัก ข้าไม่อยากให้ท่านต้องมาแปดเปื้อนไปด้วย”
“ลี่เอ๋อร์เจ้าอย่าได้กังวลไป ความสกปรกมันเป็นเพียงสิ่งนอกกายเท่านั้น ข้ากอดที่เนื้อแท้และตัวตนที่ใสสะอาดของเจ้าต่างหากเล่า”
ซูลี่ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกพะอืดพะอม แอบคิดว่าฮูหยินหลิวผู้นี้หากไปเอาดีทางด้านแต่งตำราประโลมโลกเพ้อฝันคงจะโด่งดังไม่น้อย เพราะชอบประดิษฐ์คำพูดให้ดูสวยหรูอยู่ตลอดเวลา
“คะ...ความจริงแล้วข้าไม่เคยถูกกอดเจ้าค่ะ จึงไม่คุ้นชินกับสัมผัสเช่นนั้น”
เอ่ยออกไปแล้วก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในลำคอ เพราะมันคือเรื่องจริง ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยถูกกอดถูกรัก ไม่เคยมีใครหยิบยื่นไออุ่นหรือความปรารถนาดี
“โถลี่เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสงสารเสียจริง ไม่เป็นไรนะต่อจากนี้ข้าจะกอดเจ้าเอง”
“ข้ามิบังอาจหรอกเจ้าค่ะฮูหยินหลิว ตัวข้านั้นต่ำต้อยเกินกว่าจะรับอ้อมกอดจากท่าน”
“ดูสิ...ซูลี่ช่างเป็นเด็กที่เจียมเนื้อเจียมตัว ที่ผ่านมาข้าเป็นบิดาที่ใช้ไม่ได้เลย จึงได้ปล่อยปละละเลยเจ้าเรื่อยมาเช่นนี้ ข้าละอายใจเหลือเกิน”
ประมุขหลิวออกโรงบ้าง และนั่นทำให้ซูลี่แทบจะแสยะยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
“ข้าคิดมาตลอดว่าท่านประมุขคงเกลียดชังข้ายิ่งนัก เพราะข้าเกิดจากมารดาที่เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อย”
“อย่าคิดเช่นนั้นเลยซูลี่ เฮ้อ...อันที่จริงข้าไม่อยากยอมรับเลยเพราะมันช่างน่าอาย ข้ารักมารดาของเจ้ามากดังนั้นเมื่อเจ้าถือกำเนิดขึ้นและทำให้ชิงเถาต้องตาย จึงทำให้ข้าชิงชังในตัวเจ้า อีกทั้งยิ่งนานวันเจ้ายิ่งเติบใหญ่งดงามเฉกเช่นเดียวกับชิงเถา ข้าจึงเลือกที่จะหมางเมินเจ้าเพราะปมที่ติดค้างอยู่ในใจของข้านั่นเอง”
หลิวเทียนฉินโกหกหน้าตาย เขานะหรือจะรักใคร่ชิงเถาเป็นกรณีพิเศษ ในเมื่อเขามีอนุภรรยาในจวนอีกนับสิบคนแต่ทุกคนไม่มีบุตรธิดาให้แก่เขาเลยแม้แต่คนเดียว เพราะถูกมี่เจินผู้เป็นภรรยาเอกแอบลอบวางยาทำให้เหล่าอนุภรรยาเป็นหมันไปเสียสิ้น
จะมีก็แต่ชิงเถาที่เขาแอบย่องเข้าหาโดยที่มี่เจินไม่รู้ จึงได้ให้กำเนิดซูลี่ออกมากลายเป็นเสี้ยนหนามตำตาตำใจอยู่เช่นนี้
“ปะ...เป็นเช่นนั้นเองหรือเจ้าคะ ขะ...ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแท้จริงแล้วท่านประมุขรักท่านแม่ของข้ามากถึงเพียงนี้”
ซูลี่เอื้อนเอ่ยคล้ายดีใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ยินเช่นนั้น ประมุขหลิวจึงยิ่งย่ามใจคิดว่าแผนนี้คงได้ผล ในขณะที่ฮูหยินหลิวแอบกัดฟันกรอดเพราะเกลียดชังชิงเถาเป็นทุนเดิม ยิ่งได้ยินสามีบอกว่ารักหญิงอื่นนางก็ยิ่งเจ็บปวดใจจนอยากจะเบือนหน้าหนี แต่สิ่งที่ทำได้คือการฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยนขัดกับความในใจเหลือแสน
“เรียกข้าว่า ‘ท่านพ่อ’ สิซูลี่ เพราะเจ้าคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากหญิงที่ข้ารัก”
วางมือหนาลงบนไหล่อย่างอ่อนโยน พลางทอดน้ำเสียงอ่อนนุ่มหมายจะให้บุตรสาวใจอ่อนยวบ ด้วยความที่ตนเป็นบิดาอีกทั้งยังไม่เคยเรียกนางมาทุบตีกลั่นแกล้งเฉกเช่นที่ภรรยาและบุตรสาวทำ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ความรักจากนาง
“ทะ...ท่านพ่อ”
หญิงสาวริมฝีปากสั่นระริกยามเอื้อนเอ่ยเรียกบิดา ก่อนที่หยาดน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาราวกับทำนบกั้นน้ำที่พังทลายลง
“ลูกพ่อ”
ประมุขหลิวกลั้นใจโอบกอดบุตรสาวแสนชังเอาไว้ด้วยสองแขน จังหวะที่ซูลี่กำลังสะอึกสะอื้นไห้ซุกหน้าลงกับอกของเขา เขาก็หันไปส่งสัญญาณให้ภรรยาดำเนินตามแผนต่อไปอย่างไม่รอช้า
“ลี่เอ๋อร์เพราะความอดทนและความดีของเจ้าได้ประจักษ์แก่พวกเราทุกคนในสกุลหลิว ข้าจึงปรึกษากับท่านพ่อของเจ้าว่าจะยื่นหนังสือต่อทางการรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้เจ้าได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา และเพื่อที่จะไม่มีใครมารังแกหรือดูถูกเจ้าว่าเป็นเพียงบุตรนอกสมรสได้อีก”
ใครกันที่ดูถูกข้า!
ก็มีแต่พวกเจ้ามิใช่หรือ พวกสวะ!
แม้ภายในใจจะก่นด่าอย่างหยาบคาย แต่หยาดน้ำตากลับสั่งได้ อีกทั้งดวงตากลมโตยังเบิกกว้างราวกับตื่นตระหนกจากสิ่งที่ได้ยิน
“มะ...มันมากเกินไปเจ้าค่ะฮูหยิน ตัวข้าต่ำต้อยไม่อาจรับไว้ได้ ขอเพียงท่านทั้งสองเมตตาข้า ให้ที่หลับนอน ให้อาหารข้าสามมื้อ เพียงเท่านี้ก็เป็นพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว”
ใช่แล้ว...
นี่คือประโยคที่ชาติก่อนนางเอ่ยออกไป ครานั้นนางตกใจจริงๆ และซาบซึ้งใจจนหัวใจพองฟูไปหมด ทว่าชาตินี้นางกลับขบขันราวกับกำลังดูการแสดงชั้นเลว!