รถยนต์คันเดิมยังคงแล่นบนถนนสายหลัก ตรงดิ่งไปยังจังหวัดลำปางซึ่งใช้เวลาประมาณสิบชั่วโมงกว่าจะถึงตัวจังหวัด และอีกสี่สิบห้านาทีกว่าจะถึงไร่พฤกษา คนที่ตั้งใจว่าจะคิดหาทางออกในเรื่องคับขัน เวลานี้กับผลอยหลับศีรษะพิงกับประตูรถยนต์ กวินภพเห็นแล้วเกิดความหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ เขาจับตัวเธอมาไม่ได้ให้มานอนหลับสบายๆ อย่างนี้ต้องแกล้งเสียให้เข็ด คิดได้ดังนั้นร่างหนาจึงขยับเข้าไปใกล้สาวร่างเล็ก ยื่นใบหน้าเข้าใกล้ใบหูสาว ให้ริมฝีปากหนาชิดติดกับส่วนรับฟังของเธอ
“ตื่นได้แล้ว ตื่นสิ น้องหนูตื่น”
เสียงดังราวกับฟ้าผ่าดังอยู่ตรงใบหูของเพลงมีนา เสียงที่ดังสนั่นทำให้สาวเจ้าสะดุ้งตัวตื่น มองหน้าเขาเลิกลั่ก ใจเต้นโครมคราม
“ไม่เคยหลับเคยนอนหรือไง หลับมาได้ตลอดทาง” น้ำเสียงของเขายังคงดังลั่นรถ
“ก็คนมันง่วงนี่นา” เธอพูดเสียงอ่อย “คุณจะพาฉันไปไหน?”
“ไปนรก” เขาตอบสั้นๆ แต่สำหรับคนที่ได้ยิน หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เกรงกลัว
“ฉัน...ฉันไม่ใช่น้องหนูนะ” เสียงของเธอดังออกมาแผ่วๆ แต่ดังราวกับพลุแตกสำหรับเขา
“อยากจะให้ฉันจูบก็พูดมาดีดี ไม่ต้องมาทำเป็นพูดอย่างนี้หรอกน้องหนู ฉันไม่หลงกลดาวยั่วอย่างเธอง่ายๆ อย่างคนงานของฉัน ต่อให้เธอแก้ผ้ายั่วฉัน ฉันยังไม่อยากจะแลเลย เธอไม่อยู่ในสายตาของฉันด้วยซ้ำ”
กวินภพคิดว่า การที่เธอกล่าวอ้างว่าไม่ใช่น้องหนู เพราะต้องการให้เขาจูบตามคำขู่ อย่าหวังเลยว่าเขาจะหลงกล...ไม่มีทาง
“เปล่าซะหน่อย ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ก็ไม่ใช่น้องหนูจริงๆ นี่นา”
เธอค้านเสียงเบา จะพูดได้ว่าทำปากพึมพำไม่ให้เกิดเสียงมากกว่า
“พูดอะไร พูดมาดังๆ ไม่ใช่มาทำปากขมุบขมิบ เดี๋ยวพ่อจูบซะดีมั้ยเนี่ย”
ไม่ได้เพียงแค่คำพูดเท่านั้นที่ข่มขู่ เขายังกระเถิบกายเข้าไปใกล้ร่างสาวที่ขยับหนีร่างสูงใหญ่ไปจนชิดบานประตู ชิดจนแทบจะหลอมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน
“ไม่...ไม่ได้พูดอะไร” เธอแก้ตัวเสียงสั่น ตัวก็สั่นตามเสียงไปด้วย กลัวว่าเขาจะจูบตามคำขู่จริงๆ
“สงสัยว่าถ้าไม่มีหลักฐานเธอคงไม่ยอมรับใช่มั้ยว่าเป็นน้องหนู” เขาพูดพรางล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ออกมา ก่อนจะเปิดมันออกหยิบภาพถ่ายของน้องหนู สาวดาวยั่วที่เขาไม่มีวันลืม การณ์ที่เขาเก็บรูปถ่ายของน้องหนูเอาไว้ในกระเป๋านั้น จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เขารู้ว่า เธอทำอะไรไว้กับเขาบ้าง
“เอานี่ รูปของน้องหนู แหกตาดูซะ แล้วบอกฉันทีซิว่า คนที่อยู่ในรูปคือเธอหรือเปล่า คราวนี้ล่ะเธอจะได้เลิกปากแข็งเสียที?”
พูดจบก็ยื่นรูปถ่ายส่งให้เพลงมีนา เขาหวังว่าหากเธอเห็นภาพถ่ายนี้จะจำนนต่อหลักฐาน ยอมรับว่าตนเองเป็นน้องหนู กวินภพยังอำนวยความสะดวกให้เพลงมีนา ให้เธอมองเห็นรูปถ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยการเปิดไฟในรถให้สว่างขึ้น
มือนุ่มของเพลงมีนาเอื้อมมาหยิบรูปถ่ายใบนั้นมาดูอย่างเสียมิได้ ทั้งๆ ที่ตนเองไม่อยากจะดู เพราะมั่นใจตนเองไม่วันมีใบหน้าเหมือนน้องหนู คนที่เขาเคียดแค้น
ดวงตาหวานสวยเบิกกว้าง ใจเต้นถี่แรง มือนุ่มอีกข้างนำมาขยี้ตาทั้งสองข้างหลายครั้ง เพราะคิดว่าตนเองคงคิดถึงเพียงรัมภา น้องสาวฝาแฝดมากเกินไป จนทำให้มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ในรูปเป็นน้องสาวสุดที่รัก แต่พอขยี้ตาครั้งแรกภาพนั้นก็ยังย้ำชัดว่าใช่ ครั้งที่สองก็ใช่อีก ครั้งที่สามยิ่งตอกย้ำหนักแน่นมากขึ้นเป็นหลายเท่าว่าใช่
โอ้...เป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง ในภาพนี้คือเพียงรัมภาน้องสาวฝาแฝดของเธอ มันเป็นไปได้อย่างไร เพลงมีนาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างต้องการรู้คำตอบ
มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดน้องสาวผู้แสนดี มีความเรียบร้อยประหนึ่งผ้าพับไว้ ถึงได้แต่งกายวับๆ แวมๆ เช่นนี้ ใส่ชุดเกาะอกโชว์เนินอกขาวรำไรกับกางเกงยีนส์ขาสั้นกุดอวดเรียวขาเพรียวสวย แต่งหน้าทาปากซึ่งเป็นภาพที่เพลงมีนาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วย
จะค้านว่าภาพนี้ไม่ใช่น้องสาวของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะใบหน้าเครื่องเครา รูปร่างสวยงามมันบ่งชี้เช่นนั้น อีกทั้งเพลงมีนาไม่มีวันลืมหน้าตาของน้องสาว ทุกครั้งที่เธอส่องกระจกเงา ภาพของเพียงรัมภาก็จะซ้อนทับเสมอ
คำถามหลายคำถามจึงผุดขึ้นในใจ เพียงรัมภาไปทำอะไรให้กวินภพแค้นใจ ถึงขั้นพกรูปไว้เตือนความจำตลอดเวลา แล้วทำเช่นนี้ทำไม มีเหตุผลใดที่จะต้องทำ ที่สำคัญทำไมต้องใช้ชื่อเรียกว่าน้องหนู ทำไมไม่ใช้ชื่อเรียกแทนตัวเป็นชื่อจริง ราวกับว่าไม่ต้องการให้ใครรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากนัก หลายคำถามมะรุมมะตุ้มอยู่ในสมองที่เริ่มจะไม่สั่งการ ความงวยงงเข้ามาแทนที่ หรือว่ากวินภพจะเข้าใจผิด แต่ก็ไม่น่าจะใช่ ณ วินาทีนี้เพลงมีนามีแต่คำว่าไม่เข้าใจและสับสน วนเวียนอยู่ในสมอง
“เป็นไงทีนี้ชัดมั้ย จะยอมรับได้หรือยังว่าเธอคือน้องหนู?” เสียงของกวินภพดังขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งมองรูปภาพตาไม่กระพริบ
“ว่า...ว่าไงนะ?” เธอถามอีกครั้งหลังจากที่เสียงของเขาดึงสติของเธอให้คืนกลับมา
“ฉันถามว่า คราวนี้เธอจะเถียง และไม่ยอมรับอีกหรือเปล่าว่าเธอไม่ใช่น้องหนู?”
คำถามของเขาทำให้เธอประติดประต่อเรื่องได้คร่าวๆ กวินภพเห็นเธอก็นึกว่าเป็นเพียงรัมภาที่ปลอมตัวเป็นน้องหนู เพราะดูเขามั่นใจเกินร้อยว่าเธอต้องใช่คนที่เขาตามหา เขามีสิทธิ์ที่จะเข้าใจผิด เพราะหน้าตาของเพลงมีนาและเพียงรัมภาเหมือนกันมาก แยกแยะไม่ออกหากไม่มีความสนิทสนมกัน
เพลงมีนากำลังคิดอยู่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธดี การณ์ที่เธอตอบรับนั่นหมายความว่าจะต้องรับผิดแทนเพียงรัมภา หากไม่ยอมรับเธอก็ต้องถูกเขาทารุณกรรมต่างๆ นานาตามความตั้งใจของเขา อาจจะรุนแรงมากกว่าด้วยซ้ำ หากเธอยืนกรานคำเดิมว่าไม่ใช่น้องหนู
คิดไปอีกทางหนึ่งว่า หากเธอยืนยันตัวตนจริงๆ ว่าไม่ใช่น้องหนู คนที่อยู่ในรูปถ่ายคือน้องสาวสุดที่รัก เขาก็ต้องไปตามล่าเพียงรัมภามาล้างแค้นในสิ่งที่น้องสาวของเธอทำเอาไว้ คนเป็นพี่อย่างเธอมีหรือจะยอม แต่ถ้ายอมก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเจออะไรบ้าง
“โอ๊ย โอ๊ยๆๆ จะทำยังไงดีเนี่ย จะตัดสินใจยังไงดี”
เพลงมีนาถามคำถามนี้อยู่แต่ในใจ คิดไม่ตก กลัดกลุ้มยิ่งนัก
“ว่าไง คิดนานจังเลยนะ เดี๋ยวพ่อจับโยนลงรถซะนี่ ตอบมาจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ?”
ความอดทนของกวินภพมีไม่มาก หากเธอไม่ตอบคำถาม เขาจะโยนเพลงมีนาลงจากรถจริงๆ คนที่ถูกขู่ทำหน้างอเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“อืมๆๆ” เธอตอบไม่เต็มเสียงนัก ตอบรับไปก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เธอจะต้องกันเขาให้ออกห่างจากเพียงรัมภาให้ได้ แล้วที่ตอบรับนั้นมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่ เพลงมีนาก็ต้องการรู้เหมือนกันว่า น้องสาวผู้เรียบร้อยของตนนั้น ฝากความแค้นเรื่องอะไรไว้ให้กับเขาและคนงานในไร่ ถึงได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นดาวยั่ว
“ก็แค่นั้นแหละ ทำเป็นอิดออดไม่ยอมรับไปได้ คอยดูนะไปถึงไร่จะเอาให้หนักเลยคอยดู”
ไม่วายข่มขู่อีกรอบ เธอไม่ได้พูดอะไรโต้กลับ เนื่องจากตอนนี้สมองกำลังคิดถึงเรื่องของฝาแฝดอีกคนหนึ่งอย่างหนัก มองหาเหตุผลที่เพียงรัมภาทำอย่างนี้ไม่เจอ
การสนทนายุติลงชั่วคราว เนื่องจากเพลงมีนาคิดว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอะไรออกไปก็ดูจะเสียเปรียบ และไม่เข้าหูเขาไปเสียหมด เงียบไว้เป็นดีที่สุด
รถยนต์คันเดิมเลี้ยวเข้ามาในเขตไร่พฤกษา ทำให้สาวเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ในรถ มองออกไปทางนอกกระจกรถ แม้ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟริมทางส่องสว่าง เธอยังรู้สึกถึงความเงียบสงบ ความสวยงาม ความกว้างใหญ่ของท้องทุ่งตรงหน้า ความตื่นตาตื่นใจของเพลงมีนาที่กวินภพเห็น สร้างความหมั่นไส้ให้กับเขาไม่น้อย เธอทำราวกับว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยมาย่ำเยือนไร่แห่งนี้มาก่อน
“ทำหน้าทำตาเหมือนไม่เคยมาที่นี่ไปได้ หมั่นไส้มากเดี๋ยวถีบโครมซะนี่”
เพลงมีนาหันมามองเขาหน้างอ ก่อนจะหันกลับไปยังนอกกระจกรถต่อไป พรางทำปากขมุบขมิบพูดอยู่คนเดียว
“ก็คนไม่เคยมาจริงๆ นี่นา จะให้ทำหน้าเหมือนเคยมาได้ยังไง”
“พูดอะไร พูดให้ได้ยินสิ พูดคนเดียวเดี๋ยวพ่อตัดปากทิ้งซะเลย”
ไม่พูดเปล่ายังคว้าจับลำแขนเรียวเล็กก่อนจะกระชากอย่างแรง จนกระดูกข้อต่อระหว่างแขนกับหัวไหล่แทบหลุด ก่อนจะใช้ลำแขนของตนตวัดรัดร่างสาวเอาไว้
“โอ๊ย!!...เบาๆ หน่อยสิ ทำไมชอบใช้กำลังจังเลย เป็นคนหรือเปล่าเนี่ย?”
ปากจิ้มลิ้มต่อว่าโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะความเจ็บที่ตนเองได้รับแท้ๆ ทำให้พลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด
“ฉันใช่คนกับคนอื่น แต่สำหรับเธอ...ฉันจะเป็นมัจจุราช กลืนกินวิญญาณ พร่าอิสรภาพ เผาผลาญร่างกายของเธอให้มอดไหม้เป็นจุล”
คำพูดของเขาน่ากลัวเหลือเกิน แล้วมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่า ริมฝีปากร้ายของเขานั่นเล่าคือสิ่งที่น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด เพราะตอนนี้เขานำปากหนามาทาบทับ บดเบียดเรียวปากนุ่มสวยของสาวเจ้าที่ตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง