“ตื่นแล้วรึแม่น้ำหนึ่ง”
เสียงคุณหญิงนิลวรรณกล่าวทักทายหญิงสาวผู้เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน แม้ว่ามันจะมีระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าเป็นสมาชิกเหมือนกัน
“ค่ะ คุณหญิง”
ร่างบอบบางในชุดเดรสสีชมพูพาเทลเข้ารูปพอดีตัวของน้ำหนึ่งกล่าวตอบคุณหญิงนิลวรรณผู้เป็นประมุขของบ้านอย่างนอบน้อม
“มาสิ มาทานข้าวเช้าด้วยกันซะเลย”
คุณหญิงเอ่ยชวนน้ำหนึ่งให้มาร่วมวงทานอาหารเช้าด้วยกันอย่างมีน้ำใจ น้ำหนึ่งได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าที่จะขยับขาก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะอาหาร นั่นเพราะหญิงสาวได้สบเข้ากับสายตาของติณที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ก่อนแล้วเข้าพอดี
ดวงตาคมมองน้ำหนึ่งที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ตรงหน้าด้วยความตะลึง เขาไม่เคยเห็นน้ำหนึ่งแต่งตัวเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ไปที่ไร่ชายหนุ่มมักจะเห็นหญิงสาวใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่งอยู่ตลอดเวลา แต่พอมาแต่งตัวแบบนี้แล้วมันช่างดึงดูดสายตาของเขายิ่งนัก
และมันทำให้ร่างกายของเขาตอบสนองกับสิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าขึ้นมาอย่างทันทีทันใด จนเขาต้องเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นการนั่งไขว่ห้างแทน เพื่อที่จะข่มเจ้าลูกชายไม่ให้มันตื่นตัวรุนแรงไปมากกว่านี้
ชุดเดรสสีชมพูเข้ารูปที่หญิงสาวสวมใส่มานั้นช่วยเน้นสัดส่วนของรูปร่างที่น่าพิสมัยให้น่าชวนมองอย่างน่าทึ่งยิ่งนัก อกเป็นอก เอวเป็นเอว รูปร่างของน้ำหนึ่งช่างงดงามสมส่วนจนคาดไม่ถึง
ทั้งสองต่างสบตากันนิ่ง และเป็นฝ่ายติณเองที่ต้องละสายตาก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มเข้าปากต่อ ในใจก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่า ‘มองยัยนั่นอะไรนักหนาห๊ะเจ้าติณ ก็แค่ผู้หญิงมากเล่ห์คนหนึ่งเท่านั้นเอง’ คิดไปก็กัดฟันเคี้ยวข้าวในปากของตัวเองไปอย่างหงุดหงิดใจ อยากจะเดินเข้าไปกระชากยัยน้ำหนึ่งกลับไปจัดการที่ห้องซะให้มันจบๆ เรื่องไปจะได้หายฟุ้งซ่านเสียที!
น้ำหนึ่งเองได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับกายเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ยิ่งสบตากับชายหนุ่มเข้าแล้วด้วยหญิงสาวยิ่งไม่กล้าใหญ่ ร่างบางถึงกับสั่นสะท้านขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองจ้องเหมือนกับจะให้ทะลุไปถึงเนื้อในของร่างกาย จนน้ำหนึ่งเองต้องยกมือขึ้นลูบแขนเรียวเบาๆ หมายจะเป็นการปกป้องร่างกายของตนจากสายตาของอีกฝ่าย
“คือ...” น้ำหนึ่งได้แต่อ้ำอึ้งไม่กล้าบอก
“มาเถอะ มาทานอาหารเช้าด้วยกัน” คุณหญิงพูดชวนอีกครั้งน้ำเสียงปรานี
“มาสิ อย่ามาลีลาอยู่แถวนี้นะ คุณหญิงป้าเรียกเธอกินข้าวสองครั้งแล้วนะ” ติณพูดน้ำเสียงกระด้างขึ้นอย่างหงุดหงิดที่เห็นอาการอิดออดของอีกฝ่าย
“เอะ! ตาติณนี่ อยู่ใกล้แค่นี้เองทำไมต้องพูดเสียงดังซะขนาดนี้ด้วยนะ” คุณหญิงพูดปรามหลานรักทันที รู้ดีว่าชายหนุ่มไม่พอใจหญิงสาวตรงหน้าเพียงไร
“ขอโทษครับคุณหญิงป้า”ติณพูดขอโทษพร้อมกับยกมือไหว้ผู้เป็นป้า แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อเขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับผู้เป็นป้า
น้ำหนึ่งเดินตัวลีบเข้าไปที่โต๊ะอาหารและเลือกนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มแทนเพราะเห็นว่าอยู่ใกล้กับคุณหญิงนิลวรรณ โดยลืมนึกไปว่าการเลือกที่นั่งแบบนี้ทำให้หญิงสาวต้องเผชิญหน้ากันกับติณอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
“ลองกินอาหารของที่นี่ดูสิว่าจะสู้อาหารที่ไร่ของเธอได้รึเปล่า วันนี้แม่ครัวของที่นี่เขาทำข้าวต้มทรงเครื่องแบบชาววังเสิร์ฟด้วยนะ เอ้าลองเลย”
คุณหญิงนิลวรรณเป็นฝ่ายชวนน้ำหนึ่งคุย นางเองก็รู้สึกสงสารหญิงสาวเช่นกันที่ต้องมารับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นแบบนี้ ยิ่งเห็นพ่อหลานชายตัวดีเที่ยวออกอาการฟาดงวงฟาดงาเข้าใส่อีกฝ่ายแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งสงสาร
น้ำเสียงปรานีของคุณหญิงนิลวรรณที่พูดออกมายิ่งทำให้น้ำหนึ่งนั้นคิดถึงแม่มากขึ้นไปอีก น้ำหนึ่งอยากกลับไปหาแม่ที่ไร่ตั้งแต่เมื่อวานที่พิธีเสร็จแต่เธอก็ทำไม่ได้
และคุณหญิงท่านก็รับปากแล้วว่าจะโทรฯ กลับไปบอกกับแม่ของเธอด้วยตัวท่านเองน้ำหนึ่งถึงได้เบาใจลงมาก แต่ยังไงเธอก็ยังอยากที่จะกลับไปหาแม่ที่ไร่อยู่ดีป่านนี้แม่คงเป็นห่วงเธอมากแล้ว
“เรื่องเธอน่ะฉันโทรไปคุยกับแม่เธอแล้วนะ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ได้แต่ขอโทษกลับมาซะยกใหญ่เสียด้วยซ้ำไป” คุณหญิงพูดบอกเสียงนุ่ม
น้ำหนึ่งได้แต่นั่งฟังเงียบๆ หญิงสาวฝืนใจตักข้าวต้มเข้าปาก อาหารนั้นแสนอร่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงพูดเอ่ยชมออกมาอย่างไม่ขาดปากแล้วอย่างแน่นอน แต่กับตอนนี้หญิงสาวบอกได้คำเดียวว่าต่อมรับรู้รสอาหารของเธอนั้นมันไม่สามารถรับรู้รสใดๆ ได้เลย
“อย่าทำหน้าเศร้านักเลยแม่น้ำหนึ่ง เธออยู่บ้านนี้แค่สองสามวันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
คุณหญิงนิลวรรณพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยของหญิงสาว
น้ำหนึ่งเงยหน้าขึ้นช้าๆ “เอ่อ...คุณหญิงคะ ถ้าหนึ่งจะขอกลับไปที่ไร่เลยวันนี้จะได้ไหมคะคุณหญิง...”
“ไม่ได้! เธอห้ามไปไหนทั้งนั้น”
ติณพูดทะลุกลางปล้องขัดขึ้นมาทันที ทั้งคุณหญิงนิลวรรณและน้ำหนึ่งหันไปมองหน้าติณที่พูดโพล่งออกมาเป็นตาเดียวกัน
“แล้วมันมีเหตุผลอะไรล่ะตาติณที่น้ำหนึ่งจะกลับไปที่ไร่ไม่ได้น่ะ” คุณหญิงนิลวรรณเอ่ยถามกลับหลานชายด้วยความข้องใจ
“คะ...คือ...ผม...เอ่อ...คือ...”
“ว่ายังไงล่ะตาติณ ป้าถามว่าทำไม งานแต่งก็แต่งหลอกๆ น้ำหนึ่งเขาไม่ได้เป็นเมียแกจริงๆ สักหน่อย รึว่าแกทำอะไรแม่น้ำหนึ่งเขาไปแล้วห๊ะตาติณ แกถึงไม่ยอมให้เขากลับไปที่ไร่น่ะ แกทำอะไรเขารึเปล่า!” คุณหญิงยิงคำถามใส่หลานชายเป็นชุด
“เปล่าครับ!” ติณปฏิเสธเสียงดังก้องพลางจ้องใบหน้าน้ำหนึ่งตาเขม็ง
“เปล่าก็ดี แต่ทำไมแกถึงไม่ให้เขากลับไร่ล่ะ นี่ถ้างานแต่งเป็นเรื่องจริงไม่ใช่แต่งกันหลอกๆ ฉันก็ว่าแกคงหวงแม่น้ำหนึ่งเขานะ ถึงไม่ยอมให้เขากลับไปหาแม่เขาที่ไร่น่ะ” คุณหญิงเริ่มรุกหนัก
“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับคุณหญิงป้าไอ้เรื่องที่จะมาหวงแม่นี่น่ะลืมไปได้เลยมีแต่จะเกลียดเพิ่มมากขึ้นเสียละมากกว่า ที่ผมบอกว่ายังไม่ให้กลับน่ะก็เพราะว่าเพิ่งแต่งงานได้แค่วันเดียวเจ้าสาวหมาดๆ ก็วิ่งโร่กลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองเลย ถ้าใครรู้เข้าเขาจะได้เอาไปนินทาน่ะสิครับคุณหญิงป้า”
ติณพูดบอกเหตุผลที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายกลับไร่ออกมา แถมเน้นน้ำเสียงกับคำว่าเกลียดดังมากกว่าทุกประโยคที่พูดออกมา
“กลัวคนเอาไปนินทาอย่างนั้นเหรอ แน่ใจนะว่ามีแค่นั้นตาติณ”
คุณหญิงถามน้ำเสียงประชดนิดๆ ก่อนจะปรายตามองไปที่น้ำหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่ที่ชามข้าวต้มของตัวเอง
ติณเองยิ่งเห็นว่าน้ำหนึ่งไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำพูดของเขาเลยสักนิดก็ให้รู้สึกเดือดดาลขึ้นมา ชายหนุ่มวางช้อนลงกระทบกับชามข้าวต้มเสียงดังแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างคนไม่สบอามรณ์
“อ้าว...แล้วนั่นอิ่มแล้วเหรอตาติณ” คุณหญิงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าข้าวต้มในชามยังเหลืออีกมาก
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบ “ผมจะไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกหน่อยครับ ในนี้มันมีแต่กลิ่นเหม็นเน่า!”
“เอะ! ตาติณ! ทำไมแกถึงพูดจาแบบนี้ ไปเลย...แกอยากจะไปไหนก็ไปเลย”
คุณหญิงออกปากไล่หลานชายพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา
ติณกัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง ปรายตามองน้ำหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องถูกคุณหญิงป้าตำหนิ ก่อนจะก้าวยาวๆ ออกจากห้องอาหารไป
“ตาติณนี่แย่จริงๆ เชียว เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย พูดจาฟังแล้วไม่รื้นหูเอาซะเลย”
คำพูดของคุณหญิงนิลวรรณกระแทกใจน้ำหนึ่งเข้าอย่างจัง ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเกลียดเธอยังไงล่ะ ชายหนุ่มถึงได้แสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา
น้ำหนึ่งพยายามเก็บกลืนน้ำตาเอาไว้ไม่ยอมให้มันไหลออกมา แต่ความพยายามก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล จนในที่สุดเธอต้องเอ่ยขอตัวกับคุณหญิงขึ้นในทันที หาไม่แล้วความอ่อนแอที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้คงได้เผยออกมาโชว์ให้คุณหญิงได้เห็นเป็นแน่
“หนึ่งขอตัวก่อนนะคะ”
“อ้าว...แล้วนั่นอิ่มแล้วรึแม่น้ำหนึ่ง”
“ค่ะ หนึ่งอิ่มแล้วค่ะ”
หญิงสาวก้มหน้าตอบเสียงแผ่วพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบเดินจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งออกจากห้องอาหาร
“เฮ้อ...มันอะไรกันนักกันหนานะบ้านนี้หรือเธอว่าไงแม่วาด” คุณหญิงนิลวรรณเปรยขึ้นหญิงคนสนิท
“คิดว่าเดี๋ยวสักพักก็คงดีขึ้นเองกระมังคะคุณหญิง” คุณวาดหญิงคนสนิทพูดให้กำลังใจผู้เป็นนาย
“ฉันก็เห็นใจตาติณเขานะที่เจ้าสาวมาหนีหายไปเสียอย่างนี้ หนำซ้ำยังต้องมาแต่งงานกับคนที่ช่วยให้เจ้าสาวหนีไปอีก เป็นฉันก็คงจะต้องฟาดงวงฟาดงามากกว่านี้เป็นแน่ แต่ก็หวังว่าตาติณจะทำใจได้ในเร็ววันน่ะนะ”
คุณหญิงนิลวรรณพูดขึ้นอย่างมีความหวังทั้งทีจริงแล้วรู้สึกกังวลกลับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่มิใช่น้อย
“จริงๆ แล้วเด็กน้ำหนึ่งนั่นพอแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าก็สวยไม่น้อยเลยนะคะคุณหญิง”
คุณวาดพูดในสิ่งที่นางคิด คุณหญิงเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย พลางยิ้มละไมขึ้นที่ใบหน้า
“ฉันเองไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างเธอก็รู้ดีนี่วาด หลานรักใครฉันก็รักด้วย เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตาติณแล้วละว่าจะเอายังไง แม่น้ำหนึ่งเขาก็หน้าตาดีพอตัว นี่ถ้าเขากลับไร่ไปแล้วตาติณยังตามไประรานเขาอีกไม่ยอมรามือฉันก็คงไม่ต้องไปหาหลานสะใภ้ที่ไหนแล้วละแม่วาด”
คุณหญิงพูดทำนายออกมาล่วงหน้าอย่างมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคาดเดา
“คุณหญิงแน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือคะ” คุณวาดถามย้ำว่าที่ได้ยินไม่ได้หูฟาด
“คอยดูสิว่ามันจะผิดคำของฉันมั้ย”
คุณหญิงพูดบอกพลางทานอาหารเช้าต่อ ปล่อยให้คุณวาดหญิงคนสนิทยืนตาโตกับการคาดเดาของผู้เป็นนายอย่างตกตะลึง