แค่คนเคยๆ

2224 คำ
แค่คนเคยๆ “บันนี่ ฝากโจฟินกลับไปคอนโดฯ ด้วยนะ ไหนๆ ก็พักอยู่ที่เดียวกันแล้ว” มะปรางพูดหลังจากบัณทิสาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เตรียมตัวจะกลับที่พักแล้ว “อะไรนะ พักอยู่ที่เดียวกัน!” เธอร้องถามอย่างตกใจ “เออ พี่ให้โจพักอยู่ที่ห้องเก่าพี่นั่นแหละ พอดีคนเช่าคนก่อนย้ายออกไปแล้ว” ฟังแบบนั้นแล้วยิ่งตกใจมากกว่าเดิม เพราะห้องของมะปรางคืออยู่ติดกับห้องพักของเธอเลย เพราะตอนซื้อก็ควงแขนกันไปซื้อด้วยกัน เพราะจะได้อยู่ใกล้กัน ดูแลกันได้สะดวก แต่พอมีแฟนมะปรางกลับย้ายออกไปอยู่บ้าน “ค่ะ” บัณทิสาอยากปฏิเสธ เพราะไม่อยากเจอหน้าโจฟินจังๆ แต่มันก็ผิดวิสัยเธอเกินไป ถ้าจะไร้น้ำใจต่อน้องร่วมผู้จัดการเดียวกัน และอาจทำให้มะปรางสงสัยได้ มะปรางเดินมาส่งเธอกับโจฟินที่ยืนรออยู่ด้านหน้าตึก ถึงรถ แล้วฝากฝังเธอให้ดูแลน้องใหม่ “ฝากดูแลด้วยนะบันนี่ จริงๆ โจก็มีรถแหละ แต่เขายังขับรถในกรุงเทพฯ ไม่คล่อง” “ค่ะ พี่ปรางไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงก็ถึงที่พักอย่างปลอดภัย” บัณทิสารับคำ แล้วก้าวเข้าไปในรถ โจฟินจึงก้าวเข้าไปในรถ แล้วเลือกนั่งแถวหลังที่มีข้าวของส่วนตัวของเธอวางอยู่ รถตู้เคลื่อนออกไปแล้ว แต่ทั้งสองก็ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ถึงแม้มีอะไรหลายอย่างอยากจะถาม แต่ไม่อยากให้สมพงษ์ได้ยินเรื่องที่จะพูดคุย จึงเลือกที่จะเงียบ กระทั่งรถมาถึงคอนโดฯ ที่พัก เดินเข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่ดี เพราะมีคนอื่นอยู่ในลิฟต์ด้วย กระทั่งถึงชั้นบนสุด ออกจากลิฟต์แล้วต่างก็เดินกลับห้องตัวเอง โดยไม่ได้พูดจาอะไรกัน แต่บัณทิสายอมรับใจมันเต้นแรงที่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ เธอนี่เอง ที่เธอไม่ได้ติดต่อเขาหลังจากกลับมาทำงาน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากสานสัมพันธ์กับใครในเวลานี้ มันเป็นความสัมพันธ์ระยะสั้นๆ ก็ไม่คิดว่าจะต้องอาวรณ์อะไรมากมาย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว แถมยังไม่มีเวลามากพอสำหรับการสำรวจใจตัวเอง แต่โจฟินกลับมาอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง จะทำอย่างไรดี บอกตามตรงรู้สึกผิดที่ไปสัญญามั่วๆ กับเขาว่าจะติดต่อเขาหลังจากกลับมา นอกจากจะไม่ติดต่อเขาแล้ว เธอดันบล็อกเบอร์เขาเสียอีก ใครจะคิดฝันว่าผู้จัดการตัวดีของเธอจะพบโจฟินในช่วงไปพักผ่อนที่หัวหินกับมิกซ์เพื่อนซี้ ด้วยหน้าตารูปร่างของโจฟิน มะปรางไม่ปล่อยให้หลุดมืออยู่แล้ว โอ๊ย จะทำยังไงดี หวังว่าโจฟินคงไม่บอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาให้มะปราง รวมทั้งคนทั้งโลกด้วย เพราะชื่อเสียงที่สั่งสมมาคงพังพินาศ หากแฟนคลับหรือประชาชนทั่วไปรู้ คงไม่พ้นคำวิจารณ์ประมาณ ‘บันนี่ นางเอกซุป’ ตาร์ที่มีภาพลักษณ์ดีงามประดุจนางฟ้า มีข่าวว่ามีความสัมพันธ์ชั่วคราวกับหนุ่มลูกครึ่งตาสีฟ้าเข้ม สงสัยเธอคงจะเฮิร์ทกับไฮโซฯ ปณต เลยปล่อยกายปล่อยใจระเริงรักกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเจอเพียงไม่กี่ชั่วโมง’ โอ๊ย ฉันตายแน่ๆ ฉันควรไปคุยกับเขาตรงๆ ดีไหม ว่าห้ามบอกใครเรื่องความสัมพันธ์ชั่วคราวที่ผ่านมา โจจะแบล็กเมล์ฉันหรือเปล่า ฉันควรจะขอร้องอ้อนวอนเขายังไง เพื่อให้เขาไม่เปิดเผยเรื่องนี้ บัณทิสากังวลจนแทบนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้จริงๆ เกือบฟ้าสาง ดีที่ว่าวันนี้ไม่มีงาน “เอานี่ไปให้พี่บันนี่ด้วย” มะปรางยื่นถุงขนมที่เพิ่งซื้อจากเบเกอรี่เมื่อครู่ให้โจฟิน เขารับไว้พร้อมกับถามผู้จัดการส่วนตัว “พี่เขาอยู่ห้องเหรอครับ” “วันนี้ไม่ได้ออกไปไหน แต่ไม่แน่ถ้าไม่อยู่ห้องก็คงไปฟิตเนส หรือเดินเล่นแถวๆ นั้น โจก็เมมฯ เบอร์พี่เขาไว้ เผื่อไปเคาะประตูห้องแล้วไม่ตอบรับ จะได้โทร. หา” จากนั้นมะปรางก็บอกเบอร์โทรศัพท์ให้โจฟินเมมฯ ไว้ในเครื่อง แล้วก็แยกย้ายกันกลับที่พัก วันนี้มะปรางพาเขาไปแคสต์งานโฆษณา จากนั้นก็ไปเจอ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรด์เสื้อผ้าชื่อดัง เพราะเห็นภาพของเขาที่มะปรางส่งให้ดู ก็สนใจอยากเห็นตัวจริง เพราะกำลังหานายแบบนางแบบหน้าใหม่สำหรับเดินแฟชั่นโชว์ที่กำลังจะจัดขึ้น รวมทั้งถ่ายแบบเสื้อผ้าสำหรับการขายในเว็บไซค์ของแบรนด์ และสื่อตีพิมพ์และสื่อออนไลน์ ส่วนงานผู้ช่วยช่างภาพก็ยังทำอยู่ ซึ่งเรย์เป็นช่างภาพ ฟรีแลนซ์รับงานจากนิตยสาร และงานถ่ายภาพนิ่งพรีเซ็นสินค้าแบรด์ดังทั้งนั้น รวมทั้งภาพส่วนตัวของคนดังที่ต้องการภาพสวยๆ จากช่างภาพมืออาชีพ และเรย์ยังมีธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ สำหรับถ่ายภาพคนทั่วไป ที่สตูดิโอก็มีช่างภาพหลายคน ตอนนี้เขาก็เป็นหนึ่งในช่างภาพของ Ray Studio เมื่อมาถึงคอนโดฯ โจฟินเดินไปหยุดหน้าห้อง แล้วกดกริ่ง หน้าประตูมีกล้องที่สามารถมองเห็นหน้าคนที่อยู่หน้าประตูได้ แต่ข้างในเงียบกริบ เขาก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวอยู่ในห้อง แต่ไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา หรือไม่อยู่กันแน่ เขาจึงส่งข้อความบอก ‘พี่ปรางฝากขนมมาให้ แขวนอยู่หน้าประตู’ โจฟินแขวนขนมไว้ แล้วเดินไปห้องพักของตัวเองทันที บอกไม่ถูกว่าเขาโกรธหญิงสาว หรือมันความรู้สึกอะไรกันแน่ แต่ตอนที่รู้ว่ามะปรางเป็นผู้จัดการของเธอ เขาก็ไม่ลังเลจะเข้ากรุงเทพฯ และรับงานในวงการที่เขาสามารถทำได้ แบบไม่ฝืนมาก เช่นงานถ่ายแบบหรือเดินแฟชั่นโชว์ ส่วนงานผู้ช่วยช่างภาพนั้นคือเป้าหมายหลักของเขาอยู่แล้ว ตกลงเขามีใจกับเธอสินะ ใจมันถึงได้ปวดหนึบทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเรียบนิ่ง เหมือนไม่รู้สึกรู้สากับเขาได้แบบนี้ ก็แค่ความสัมพันธ์เจ็ดวัน มันจะมีค่าอะไรล่ะ เขาคาดหวังอะไรจากเธอ ตกหลุมรักก็แค่ข้างเดียว เจ็บชะมัด คิดถูกหรือเปล่าที่ตัดสินใจมาทำงานและพักอยู่ที่นี่ เพียงคิดว่าจะได้ใกล้ชิดเธอ เขาโยนกระเป๋าลงบนโซฟา แล้วทิ้งตัวลงนอนแบบหมดสภาพ หลับตาลงเพื่อผ่อนคลาย แต่เสียงข้อความก็ดังขึ้น บันนี่ : ขอคุยด้วย ได้ไหม โจฟิน : ได้ครับ บันนี่ : งั้นไปเจอกันที่สวนหย่อมข้างล่าง โจฟิน : ไม่กลัวว่าจะเจอคนเห็นเหรอครับ ระวังเป็นข่าวกับผมนะ บันนี่ : งั้นมาที่ห้อง โจฟิน : ครับ เขาเผลอดีดตัวจากโซฟาด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่เพียงครู่ก็ได้สติ จึงเดินเอื่อยๆ เข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวด้วยชุดลำลองสบายๆ กางเกงขายาวผ้าฝ้ายสีเทา กับเสื้อยืดพอดีตัวสีขาว ซึ่งเป็นชุดอยู่บ้าน หรือบางวันก็เป็นชุดนอนของเขานั่นเอง โจฟินเดินออกจากห้องพัก ไปกดกริ่งห้องข้างๆ ไม่กี่นาทีประตูก็เปิดออก บัณทิสารีบกวักมือให้เขาเข้ามาในห้อง เหมือนกลัวคนอื่นจะเห็น เขาจึงก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง เดินตามหลังหญิงสาวที่อยู่ในชุดลำลอง เสื้อยืดสี กางเกงผ้าลินินสั้นแค่เข่า ทั้งสองเดินนั่งบนโซฟามุมรับแขก ห้องนี้ตกแต่งไว้อย่างหรูกว่าห้องของมะปราง เน้นสีขาวสะอาดตา แต่เฟอร์นิเจอร์ล้วนแบรนด์นอกทั้งนั้น หรูหราสมราคาห้องซุป’ ตาร์ “ดื่มอะไร” เจ้าของห้องถามสีหน้าเรียบนิ่ง ทั้งที่ใจโคตรหวั่นไหว ไม่เข้าใจทำไมอีกฝ่ายต้องสวมเสื้อขาวแนบตัวจนมองเห็นกล้ามอกชัดเจนขนาดนี้ มันทำให้เธอนึกถึงตอนมีเซ็กซ์ที่เคยลูบไล้และพรมจูบไปทั่วแผ่นอกเปลือยของเขาอย่างหลงใหล ก็แค่หลงใหลเรือนกายที่แสนเพอร์เฟกต์ของเขาแค่นั้นเอง มันธรรมดามนุษย์ย่อมชื่นชอบชื่นชมความสวยงาม บัณทิสาพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง “น้ำเปล่า” คำตอบก็เรียบๆ แต่กลั้นขำในใจ เมื่อเห็นสายตาของเธอที่เผลอกวาดตามองแผ่นอกเขา แถมลอบกลืนน้ำลายอีก เออ ว่าจะเฉยๆ กับเจ้าหล่อนแล้วนะ แต่ท่าทางของเธอก็ทำเขาใจเต้นแรงอีกแล้ว “รอแป๊บนะ” บัณทิสาลุกเดินไปยังแพนทรี หยิบแก้วน้ำ แล้วกดน้ำเย็นจากตู้เย็นมาเสิร์ฟแขก “คุณมีอะไรก็พูดได้เลย” เมื่อนั่งเงียบๆ อยู่ชั่วอึดใจ โจฟินก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “เอ่อ ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อกลับ ทั้งที่สัญ...” “อ่อ ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าคุณไม่ได้คิดจะติดต่อกัน หรืออยากเจอกับผมอีก” “ฉันเพิ่งอกหักมา เลยไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครอย่างจริงจัง” “ก็ไม่ต้องจริงจังก็ได้” “พูดแบบนี้หมายความว่าไง” “ก็อะไรก็ได้ไงที่คุณอยากให้เป็น ทำไมต้องจริงจังเหรอถึงจะคุยกับผมได้” ได้ยินแบบนั้นบัณทิสาก็ถึงกับถอนหายใจยาว เพราะดูเหมือนเขาคงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ “ฉันเป็นนักแสดง การที่ฉันจะเที่ยวไปมีความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวกับใคร มันเรื่องใหญ่ คนไทยไม่เข้าใจหรอก เรื่องวันไนท์หรือเซ็กซ์กับคนที่ไม่ได้คบหา เขาจะเรียกฉันร่าน แรด มั่วไม่เลือกหน้า” “เป็นดาราแล้วต้องมีเซ็กซ์กับแฟนหรือคนรักเท่านั้นเหรอครับ” “พูดไป คุณก็ไม่เข้าใจว่าชื่อเสียง ภาพลักษณ์สำคัญกับการเป็นนักแสดงมากแค่ไหน” “สรุปที่เรียกมาคุย อยากจะบอกอะไรผมเหรอครับ” “คุณได้บอกเรื่องของเรากับคนอื่นหรือยัง” “ไม่ได้บอกใครทั้งนั้นครับ เพราะคุณก็รู้ผมเพิ่งมาอยู่เมืองไทย เพื่อนที่นี่ก็ไม่มี กับพี่ปรางพี่มิกซ์คนอื่นๆ ก็เพิ่งรู้จัก และผมรู้น่าว่าเรื่องนี้บอกใครไม่ได้ เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่คุณเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ” พอได้ฟังแบบนั้นบัณทิสาก็ถึงกับมีท่าทีโล่งอก “ทำไมกลัวผมแบล็กเมล์คุณเหรอ คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้ถ่ายภาพคุณเลย สักภาพก็ไม่มี” “เปล่าหรอก ฉันไม่ได้คิดขนาดนั้น” ก็พูดไม่เต็มปากนักหรอก มันก็ต้องกลัวไว้ก่อน ถึงแม้จะมั่นใจว่าตอนอยู่กับเขาสัปดาห์หนึ่งนั้น รับรู้ว่าเขาเป็นคนดี น่ารักมากคนหนึ่ง แต่เธอแค่ไม่พร้อมจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครในเวลานี้ ยอมรับว่าการไปมีอะไรกับเขาง่ายๆ มันเป็นเรื่องที่ทำให้เธอกังวลใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่ทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้ “สบายใจแล้วนะครับ งั้นผมขอตัว” เขาพูดตัดบท และทำท่าจะลุกจากที่นั่ง “เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เรียกฉันว่าพี่ เข้าใจไหม” เพราะเธอไม่อยากให้มะปรางหรือคนอื่นๆ สงสัย เพราะปกติรุ่นน้องก็เรียกเธอว่าพี่ทั้งนั้น “แล้วลับหลังล่ะ” เจอย้อนถามแบบนี้ บัณทิสาก็ตอบไม่ถูกเช่นกัน “ถามไปงั้นเองครับ เพราะต่อไปนี้ เราคงไม่ได้เจอกันลับหลังใครแล้วมั้งครับ” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปทันที บัณทิสาเองก็สับสน ใจอยากคุยกับเขาต่อ อีกใจก็กลัวจะเลยเถิด เพราะยอมรับว่าแค่นั่งใกล้ๆ ภาพเก่าๆ ที่เคยทำร่วมกันตลอดสัปดาห์ก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิด ล้วนแต่เป็นภาพติดเรททั้งนั้น ทั้งในห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ ระเบียงห้อง โอ๊ย ฉันจะรอดไหมเนี่ย กลัวเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปปล้ำเขาเสียก่อนน่ะสิ คนอะไรแค่นั่งใกล้ๆ ใจก็เตลิด เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่ามีเซ็กซ์แอพพีลสูงเกินไปแล้ว แล้วแบบนี้คนที่อยู่ใกล้ๆ เขาล่ะ แค่พี่น้องร่วมผู้จัดการเดียวกันก็หลายคนอยู่ แล้วไหนจะเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อีก เขาจะชอบผู้หญิงคนอื่นมากกว่าเธอไหม โอ๊ย ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย จู่ๆ ไปคิดหวงเขาทำไม ไม่ได้อยากมีใครตอนนี้ไม่ใช่เหรอ แต่คำพูดโจฟินประโยคนั้น มันทำให้เธอต้องกลับมาครุ่นคิด ‘ก็อะไรก็ได้ไงที่คุณอยากให้เป็น ทำไมต้องจริงจังเหรอถึงจะคุยกับผมได้’ งั้นแสดงว่าถ้าไม่จริงจัง หรือไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองก็คุยกับเขาได้งั้นเหรอ แต่คุยในฐานะอะไรล่ะ พี่น้องร่วมผู้จัดการเดียวกัน เพื่อนคุยเฉยๆ เพื่อนยามเหงา หรือเวลาไม่อยากอยู่คนเดียว แค่คนแลกเซ็กซ์กัน เฮ้ย หยุดๆ เลยยัยบันนี่ อย่าคิดเชียวนะ อันตรายต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และหัวใจตัวเองมากๆ """"""""""""""""""
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม