“ถ้าไม่เอาเด็กออก งั้นเราก็เลิกกัน!” น้ำเสียงแข็งกร้าวที่เปล่งออกมาจากปากคนรัก ทำให้หัวใจของวารีรัตน์แทบแตกสลาย
วริศยอมรับว่าเขารักเธอมาก ไม่อยากเลิกกับเธอเลยสักนิด เขาแค่จะใช้ไม้ตายที่เรียนรู้จากบทละคร การบอกเลิกจะทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อรั้งผู้ชายที่ตนรักเอาไว้
“ได้ค่ะวริศ ถ้าคุณอยากเลิกกับน้ำ งั้นเราก็เลิกกัน” ไม้ตายโง่ๆ นั้นใช้กับคนอื่นได้แต่ไม่ใช่กับวารีรัตน์
“น้ำ ทำไมคุณดื้อแบบนี้ คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ คุณเองก็ไม่ได้อยากมีลูก ไม่อยากเปิดตัว ผมเองก็ไม่ได้ต้องการลูก แล้วเราจะเก็บเด็กไว้ทำไมในเมื่อเราต่างก็ไม่พร้อม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห
“ใช่ค่ะตอนแรกเป็นฉันที่ไม่พร้อม แต่คุณเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าอยากมีลูก อยากสร้างครอบครัวแล้วตอนนี้จะมาโทษว่าเป็นความผิดของฉันทั้งๆ ที่คุณมักง่ายเอง” เธอตัดพ้อเขาเสียงเครือ
เขามองเธอที่เดินออกไปร้องไห้ที่นอกระเบียงแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด วารีรัตน์เคยเข้าใจเขาทุกเรื่อง แต่ทำไมเรื่องนี้เธอกลับไม่เข้าใจ
วริศเดินตามไปคุยที่ระเบียง เขาไม่อยากเลิกกับเธอถ้าไม่จำเป็น “น้ำ การปล่อยให้ตัวเองตั้งครรภ์ตอนที่ผมเพิ่งเลื่อนเป็นพระเอกเบอร์ต้นของค่าย มันเป็นการตัดอนาคตของผมเลยนะ ขอร้องล่ะไปเอาเด็กออกเถอะ ผมไม่พร้อมสร้างครอบครัวในตอนนี้”
เขาหวังให้เธอยุติการตั้งครรภ์ เธอเองก็หวังให้เขาเปลี่ยนใจมารับผิดชอบลูก
ในตอนนั้นต่างคนต่างเงียบคิดหาทางออก แต่เพราะสัญชาตญาณความเป็นแม่ วารีรัตน์เลยต้องอ่อนข้อให้เขาก่อน
“งั้นน้ำกับลูกยอมอยู่อย่างเงียบๆ ก็ได้ ไม่ต้องออกข่าว ไม่ต้องออกสื่อ ให้เราสองแม่ลูกเป็นความลับของคุณตลอดไป”
“ผมบอกแล้วไงน้ำ คุณคือความสุขของผม แต่เด็กไม่ใช่ แม้จะเป็นความลับแต่ผมก็ไม่อยากมีลูกอยู่ดี” เขายังคงดึงดันจะให้เธอเอาลูกออกให้ได้
หัวใจเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ ยอมอ่อนข้อให้แล้วแต่เขาก็ยังเห็นแก่ตัว อยากมีแค่เธอไว้เคียงข้างแต่ไม่ต้องการเลือดเนื้อที่เกิดมา
“น้ำยืนยันว่าน้ำไม่ทำแท้งค่ะ น้ำจะเก็บเด็กเอาไว้” เธอตอบอย่างจริงจังแล้วสะอื้นเป็นระยะ
วริศโมโหมาก เขาพูดดีก็แล้ว ต่อว่าเธอก็แล้วแต่หญิงสาวก็ยังดื้อดึง “งั้นจะเลิกกันใช่ไหม”
ครั้งนี้เขาไม่ได้จะขู่ แต่ว่าเขาต้องการตัดปัญหาออกจากชีวิต เพราะชุดความคิดที่ว่าคนเรามีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง และเขาให้โอกาสเธอแล้วแต่วารีรัตน์ไม่รับมันอย่างนั้นก็อย่าหาว่าเขาใจร้าย
“เอาสิ เลิกก็เลิก” เธอตอบคำถามที่แสนเจ็บปวดนั้นเป็นครั้งที่สอง ความเจ็บปวดที่จู่โจมหัวใจมันยากที่จะรับได้ไหว
“น้ำโคตรโง่เลยว่ะ ไม่พร้อมแล้วจะเก็บเด็กไว้ทำไม เรียนสูงเสียเปล่า กฎหมายก็รองรับการทำแท้งอย่างถูกต้องทำไมต้องทำให้ทุกอย่างยุ่งยากด้วย”
เขาไม่เคยพูดจาหยาบคายกับเธอมาก่อน วารีรัตน์ปาดน้ำตาเธอไม่อยากเสียน้ำตาให้คนเห็นแก่ตัวและมีตรรกะโง่ๆ อย่างเขา จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้เธอไม่พร้อม แต่นั่นก็เพราะยังสนุกกับการทำงานแต่ฐานะการเงินและวุฒิภาวะเธอพร้อมที่จะเลี้ยงดูเด็กในท้องแม้จะตัวคนเดียว
สัญชาตญาณความเป็นแม่มันทำให้เธอเลือกที่จะเก็บลูกในท้องเอาไว้และตัดใจจากคนใจร้ายตรงหน้า
“ไปเถอะค่ะวริศ อย่าทำให้ฉันเกลียดคุณมากไปกว่านี้เลย” คำพูดที่เด็ดเดี่ยวของเธอทำให้วริศสะอึกไปไม่น้อย
เขาเป็นนักแสดงชื่อดัง ขึ้นแท่นเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งของวงการบันเทิง แต่เธอกลับไม่คิดจะหาทางรั้งเขาไว้เลยสักนิด
“พูดราวกับว่าตัวเองสูงส่งนักนะน้ำ ปล่อยให้ท้องคงกะจะอยากจับผมจนตัวสั่นใช่ไหม หึ...ก่อนหน้านี้ที่ผมไม่ดังคุณไม่อยากเปิดตัว แต่พอผมดังได้เป็นพระเอกของช่องก็ปล่อยตัวให้ท้อง ที่ไม่ยอมเอาเด็กออกก็คงเพราะอยากเอาไว้ต่อรองกับผมสินะ”
หัวใจวารีรัตน์กระตุกวูบ ริมฝีปากสั่นระริกพูดอะไรไม่ออก แววตาฉายแววผิดหวังออกมา ทั้งเสียใจทั้งแค้นเคืองในคำพูดของผู้ชายที่เธอรักและเทิดทูน
นี่หรือคนที่พร่ำบอกว่ารักเธอนักหนา คนที่บอกว่าเธอคือความสุขและเป็นความสบายใจของเขา สุดท้ายคำพูดที่น่ารังเกียจก็หลุดมาจากริมฝีปากที่เคยป้อนคำหวาน
“คุณเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวที่สุด คุณมันเป็นแม่ที่ดีนะแต่เป็นแฟนที่ดีของใครไม่ได้หรอก” ใช้คำพูดที่เธอเคยตัดพ้อเขามาต่อว่าเธอกลับด้วยน้ำเสียงที่โกรธขึ้งและแววตาที่เต็มไปด้วยการอยากเอาชนะ
“เลิกกันก็ดี อนาคตผมกำลังไปด้วยดีผมไม่อยากมีตัวถ่วงความเจริญอย่างคุณกับเด็กในท้อง ถ้าไม่อยากทำแท้งก็ตามใจเลี้ยงเองก็แล้วกันเพราะผมถือว่าผมคุยกับคุณรู้เรื่องแล้ว”
วารีรัตน์ไม่รู้ว่าวันนี้เธอต้องอึ้งกับเรื่องไหนก่อน เรื่องที่คนรักหลงในชื่อเสียงแล้วเปลี่ยนไป เรื่องที่ท้องแล้วเขาไม่ยอมรับ เรื่องที่เขาไล่เธอไปทำแท้ง หรือว่าเรื่องที่เขาบอกเลิกแล้วโยนความผิดทุกอย่างให้เธอ
“เรา เลิก กัน” เขาย้ำคำพูดนั้นทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในห้องแล้ววางคีย์การ์ดกับกุญแจห้องของเธอเอาไว้ที่โต๊ะอาหารเพื่อยืนยันการเลิกราในครั้งนี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างคนที่ไม่ได้สำนึกและรู้สึกผิดใดๆ
สามปีที่รู้จักกันมาเธอคิดว่ารู้จักเขาดีพอ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาเห็นธาตุแท้ที่น่ารังเกียจของเขา
พอมีชื่อเสียงทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากผู้ชายแสนดีที่พร้อมจะสร้างครอบครัว กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและทอดทิ้งเธอกับลูกอย่างเลือดเย็น
ของขวัญในวันครบรอบ กลายเป็นของขวัญที่เขาไม่ต้องการและมอบคืนเธอในวันที่เลิกรา
วารีรัตน์ลูบที่หน้าท้องที่ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงของเธอ ลูกในท้องคือของขวัญในวันที่เธอถูกเขาทอดทิ้ง และเธอจะรักษาของขวัญชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดี
เสียงฝีเท้าของหญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับเสียงปิดประตูระเบียง ศิระที่ยืนฟังอยู่ตรงระเบียงห้องของตนก็กำมือแน่นด้วยความโกรธ
เขารักเธออย่างไม่มีข้อแม้ รักตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่คอนโดแห่งนี้ เธอมีคนรักเขาก็ยินดีกับเธอ จนถึงวันนี้ที่เขาโกรธแค้นในสิ่งที่วริศทำกับเธอ
หากเมื่อสามปีก่อนเขามีความกล้าสักนิดคงเข้าไปสารภาพรักกับเธอตามตรงไม่ปล่อยให้ผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นมีโอกาสได้เข้ามาทำให้เธอเสียใจ
จิตใจของศิระว้าวุ่น ร้อนใจอยากเข้าไปปลอบโยนเธอเสียแต่เดี๋ยวนี้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรไม่มีแม้แต่สถานะ เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่รู้จักกันเท่านั้น
วารีรัตน์มองดูกุญแจและคีย์การ์ดที่เขาคืนให้ เป็นการยืนยันสถานะของเธอและเขาที่ไม่มีอะไรค้างคาต่อกันแล้ว
“มันจบจริงๆ แล้วสินะ”
ริมฝีปากบางยิ้มเยาะสมเพชตัวเอง อยากมีลูก อยากเปิดตัว อยากสร้างครอบครัว ทั้งหมดมันเป็นคำพูดที่หลอกลวงเช่นเดียวกับคำว่ารัก
หญิงสาวเดินเข้าไปยังห้องนอน สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยที่สุดคือเตียงนอนตรงหน้าจึงทิ้งนอนลงแล้วหลับตาพยายามไม่ร้องไห้แต่ก็อดไม่ไหว
“แม่ขอร้องไห้แค่คืนนี้นะลูก แล้วพรุ่งนี้แม่จะไม่ให้หนูต้องรับรู้ความทุกข์ของแม่อีก” เธอบอกกับสิ่งที่ก่อกำเนิดในท้อง แม้เจ้าก้อนวุ้นนั้นจะยังไม่รับรู้อะไรเลยก็ตาม
************************