ริมหน้าต่างเรือนหลังเล็กท้ายตำหนักของเฉินเฟยหย่า ตำแหน่งอ๋องผู้มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ มีบุรุษรูปงามร่างบอบบางผู้หนึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่เพียงลำพัง สายตาและสีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด ร่างกายภายนอกเต็มไปด้วยรอยช้ำที่ปรากฏชัดบนผิวขาวนวล ความรู้สึกในใจมืดมนไม่แพ้สภาพอากาศภายนอกในเวลานี้
เมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้าบดบังแสงตะวันยามเย็น ทั้งลมและฝนพัดกระหน่ำจนต้นไผ่ลู่ลมไหวเอนไปตามแรง เสียงฟ้าร้องและแสงแวบจากฟ้าผ่าไกล ๆ เรียกสติของคนผู้นี้กลับมาได้ชั่วครู่
พลันน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลล้นเปื้อนพวงแก้ม เสียงอึกทึกของพายุฝนกลบเสียงร้องไห้อย่างเดียวดายของเขาจนหมดสิ้น
ไป๋อวี่ องค์ชายตัวประกันจากแคว้นเว่ยถูกส่งตัวมาที่แคว้นฉินตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดขวบพร้อมกับพี่เลี้ยงนามว่าชิวเหลียน
“องค์ชาย พระองค์กำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” ชิวเหลียนเอ่ยปากถามองค์ชายตัวน้อยที่กำลังก้มมองภาพสะท้อนของตัวเองบนผืนน้ำสระบัว
“ชิวเหลียน ข้าต้องอยู่ที่แห่งนี้ตลอดไปจริงหรือ” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยไม่ได้ต้องการคำปลอบใจจากสาวใช้
ไป๋อวี่รู้ตัวดีเพราะไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านเมืองของตนเองหรืออยู่ในสถานที่แห่งใหม่นี้ ชีวิตเขาคงไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก องค์ชายที่ถูกลืมจากทุกคน ไม่มีค่าและความหมายใดให้จดจำ
สิ่งนี้เองทำให้ไป๋อวี่คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในมุมหนึ่งของวังหลวงอย่างคนไม่สลักสำคัญ
หากแต่ชะตาที่อาภัพขององค์ชายน้อยยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น แม้จะอยู่เงียบ ๆ ในตำหนักทางทิศใต้ของวังหลวงก็ยังมิวายต้องมาข้องเกี่ยวกับคนในราชวงศ์อยู่ร่ำไป
เมื่อเฉินอีผู้เป็นฮ่องเต้ในช่วงเวลานั้นอนุญาตให้เขาเข้ามาร่ำเรียนร่วมชั้นกับโอรสของตนเอง ในสายตาของไป๋อวี่ ฮ่องเต้ผู้นี้ดูจะพอเป็นที่พึ่งยามยากให้เขาได้อยู่บ้าง และดูจะเป็นคนเดียวที่เห็นเขาอยู่ในสายตาตั้งแต่เกิดมา
ฮ่องเต้รักและเอ็นดูไป๋อวี่ราวกับเป็นบุตรของตนจนบางครั้งทำให้องค์ชายคนอื่น ๆ เกิดอิจฉาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าก็เป็นแค่ตัวประกัน หัดเจียมตัวรู้ฐานะของตนเองเสียบ้าง” เสียงขององค์ชายผู้หนึ่งกล่าวกระแทกกระทั้นแล้วผลักร่างบางของไป๋อวี่อย่างแรงจนเซ มือสองข้างพยายามคว้าสิ่งยึดเหนี่ยวแต่กลับมีขาของใครอีกคนขัดเขาไว้จนล้มลงกับพื้นในที่สุด
เสียงหัวเราะดังลั่น ทั้งสีหน้า ท่าทางและการกระทำขององค์ชายเหล่านี้คงจะไม่อาจเทียบได้กับเฉินเฟยหย่า องค์ชายคนเล็กผู้เป็นโอรสของกุ้ยเฟยโจว
เฉินเฟยหย่าอารมณ์รุนแรงและคาดเดาไม่ได้แม้เพียงนิด ไม่ว่าไป๋อวี่จะทำสิ่งใดก็มักจะถูกเขากลั่นแกล้งทุกครา
ทว่า ชะตาเลวร้ายก็ยังคงจะพอมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง เมื่อไป๋อวี่ได้พบกับเหอเสวี่ยอิง บุตรชายคนรองของแม่ทัพเหอผู้คุมกองทหารซึ่งเป็นกำลังหลักของแคว้นฉิน ทั้งสองเติบโตเคียงข้างกันมา ไม่เคยแยกจาก
“องค์ชายไป๋อวี่ กระหม่อมแวะมาเยี่ยมเยียน” เพียงแค่ได้ยินเขาเรียกชื่อของตน ใบหน้างามของไป๋อวี่ก็มีรอยยิ้มบางประดับในทันที
“เสวี่ยอิง” เสียงพึมพำเขินอาย เจ้าตัวไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายพลางมองเฉไฉไปทางอื่น
“อากาศเย็นแล้ว เหตุใดแต่งพระองค์ด้วยอาภรณ์เช่นนี้ หากพระองค์ประชวรขึ้นมาจะทำเช่นไร” เหอเสวี่ยอิงพูดแล้วก็ถอดเสื้อคลุมของตนเองมาห่มให้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อุ่นหรือไม่”
ไป๋อวี่พยักหน้าน้อย ๆ แล้วยิ้มให้เขา คนตรงหน้าคงจะเป็นอีกคนที่เป็นห่วงเป็นใยเขาด้วยใจจริง นับตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนผ่านมาสิบปี การกระทำของเขายังเสมอต้นเสมอปลายไม่มีเปลี่ยน
นึกไม่ถึงว่าจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่สุดในชีวิตของไป๋อวี่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อฮ่องเต้เฉินอีสวรรคตด้วยโรคประจำตัว บ้านเมืองผลัดแผ่นดินทำให้สถานะองค์ชายตัวประกันของไป๋อวี่ถูกลดทอนลงไป
ช่วงที่รัชทายาทผู้เป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้เฉินได้ขึ้นครองราชย์แทน แคว้นฉินที่เคยสงบสุขกลับมีสงครามย่อม ๆ เกิดขึ้นที่ชายแดนอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย บ้านเมืองระส่ำระส่ายอยู่พักหนึ่ง บ้างว่ารัชทายาทไม่มีอำนาจในการปกครอง ขุนนางทั้งฝ่ายซ้ายและขวาเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เมืองขึ้นแถบชายแดนคิดทำการก่อกบฏทุกวี่วันตลอดสามปีของการปกครอง
สุดท้ายแล้ว รัชทายาทถูกลอบสังหารในห้องบรรทมคืนเดือนมืด แคว้นฉินเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งใหญ่อีกหนจนเหล่าขุนนางอำมาตย์เริ่มดำเนินการแผนของตนเอง
โอรสองค์โตของโจวกุ้ยเฟยได้ขึ้นครองราชย์ ส่งผลให้ขุนนางฝ่ายซ้ายมีอำนาจเหนือกว่าในทุกด้าน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตอันแสนระทมทุกข์ที่แท้จริงของไป๋อวี่
ในปีที่สามของการครองบัลลังก์ฮ่องเต้นามว่าเฉินเฟยหลง เขาต้องการส่งกองทัพและคนของฝ่ายตรงข้ามให้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากที่สุด แม่ทัพเหอและบุตรชายของเขาจึงจำเป็นต้องไปประจำการในชายแดนที่ห่างไกล
“พระองค์รอข้าได้หรือไม่” เหอเสวี่ยอิงลูบใบหน้าของคนรัก สีหน้าอาวรณ์ไม่อยากจากไปที่ใด
“อืม” เขาพยักหน้าน้อย ๆ พลางจับมือหนาคู่นี้ไว้แน่น รอคอยอย่างที่ให้สัญญากันไว้
ห่างกันไกลเพียงปีเดียว คำสั่งของฮ่องเต้กลับเหมือนสายฟ้าฟาดในใจของไป๋อวี่
“ราชโองการจากฮ่องเต้รับสั่งให้ไป๋อวี่เข้าพิธีแต่งงานกับเฉินเฟยหย่าในเดือนสิบ” ขันทีอ่านราชโองการเสร็จเรียบร้อยก็ม้วนเก็บยื่นให้ไป๋อวี่
หากแต่ร่างบางกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดเขาต้องแต่งงานกับอ๋องใจร้ายผู้นั้น
“องค์ชายคิดขัดราชโองการหรือ” ขันทีเอ่ยปากถาม สีหน้าหนักใจเมื่อเห็นท่าทางของเขา
“ใจเย็น ๆ ก่อนเจ้าค่ะ ขอเวลาให้องค์ชายได้พินิจตรึกตรองดูสักครู่เถิด หลายสิ่งหลายอย่างกะทันหันเกินไปจนแม้แต่ข้าเองก็รับมือไม่ไหว” ชิวเหลียนรู้ดีว่าองค์ชายของนางรู้สึกเช่นไร และพื้นที่ในใจของเขามีไว้ให้เพียงเหอเสวี่ยอิงเท่านั้น
“มิมีผู้ใดขัดราชโองการได้ จะต้องคิดสิ่งใดอีกเล่า อย่าถ่วงเวลานักเลย พวกท่านก็รู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้” ขันทีพยายามเกลี้ยกล่อมให้รับราชโองการ ข้าง ๆ ทหารประจำวังหลวงกระชับดาบในมือไว้แน่น ราวกับว่าหากได้ยินคำปฏิเสธเมื่อใด คอขององค์ชายตัวประกันคงได้หลุดออกจากบ่า
“องค์ชายเพคะ” เสียงของชิวเหลียนเรียกสติไป๋อวี่ สายตาทั้งคู่สบมองกันอยู่ครู่หนึ่ง นางลูบมือของคนตรงหน้าเพื่อปลอบใจ สุดท้ายแล้วไป๋อวี่ก็จำต้องยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ไปโดยปริยาย
อย่างไรเสีย เฉินเฟยหย่าก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว หากเลี่ยงได้คงไม่เข้ามาวุ่นวาย
วันแรกที่เข้ามาอยู่ในเรือนเล็กบริเวณตำหนักของเฉินเฟยหย่า ทุกอย่างรอบตัวเงียบงันเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า ล่วงเลยมาสามเดือน ที่แห่งนี้ก็มีเพียงตัวเขาและชิวเหลียนสองคนเท่านั้น จนทั้งคู่เผลอนึกไปแล้วว่าชีวิตคงจะสงบเรียบง่ายกว่าที่คิดเอาไว้
จู่ ๆ คืนหนึ่งเฉินเฟยหย่ากลับโผล่หน้าเข้ามาในเรือนหลังเล็กเป็นครั้งแรก กลิ่นสุราคละคลุ้ง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินเซเข้ามาหาไป๋อวี่บีบลำคอเรียวไม่ให้หนีไปที่ใด
ชิวเหลียนเห็นดังนั้นจึงเข้ามาช่วยแต่ไม่อาจสู้แรงได้
“จับตัวออกไป” เฉินเฟยหย่าสั่งองครักษ์ทั้งสองคนลากตัวชิวเหลียนไปให้พ้นหูพ้นตา
“ชิวเหลียน!” ไป๋อวี่ร้องเรียกนางด้วยความเป็นห่วงไม่ได้สนใจชะตากรรมของตัวเอง คิดจะสู้คนตรงหน้ากลับ
“...” เฉินเฟยหย่าไม่พูดสิ่งใด แต่สายตาของเขากำลังลูบไล้เรือนร่างของคนที่เกลียดนักหนา แล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่คิดอะไรถึงได้ให้ข้ามาแต่งงานกับคนน่ารังเกียจเช่นเจ้า”
“หากพระองค์คิดเช่นนั้น ได้โปรดปล่อยกระหม่อมแล้วกลับตำหนักของตนเองเถิด อย่าได้เสียเวลาประทับอยู่ที่แห่งนี้นานนักเลย” ไป๋อวี่พยายามแกะมือที่กำลำคอของเขาออก
ความเมามายอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สามัญสำนึกและความคิดถดถอย เฉินเฟยหย่าทำหน้าเหมือนนึกสนุกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้างามยามต้องแสงจันทร์ดูโดดเด่น กลิ่นหอมของร่างบางกลับดูเย้ายวนจนทำให้อ๋องผู้นี้ลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ที่ตนเคยปรามาสมาตลอดหลายปี
เขาแสยะยิ้มกระชากตัวของไป๋อวี่เข้ามาใกล้กว่าเดิม ซุกใบหน้าของตนสูดดมกลิ่นหอมนั้นอย่างหื่นกระหาย
ไป๋อวี่สะดุ้งตกใจไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้ ผลักเฉินเฟยหย่าสุดกำลังแล้วรีบวิ่งไปที่ประตู อนิจจาไม่ทันการณ์เสียแล้ว เฉินเฟยหย่าคว้าเอวของเขาแล้วลากกลับไปที่เตียง
“ฝ่าบาท พระองค์คิดจะทำสิ่งใด” ไป๋อวี่ดิ้นรนมองหาทางหนี ความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจจนร่างกายสั่นสะท้าน
“ข้าจะทำสิ่งใดกับภรรยาของข้าได้เล่า” รอยยิ้มชั่วร้ายของเขาให้ไป๋อวี่ขนลุกซู่ พยายามปัดป้องตัวเองไม่ให้อีกฝ่ายแตะต้อง
“แต่งเพียงแค่ในนาม พระองค์มิได้ชมชอบข้า ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” ร่างบางพูดเตือนสติคนที่กำลังเมามายได้ที่ “สร่างเมาเมื่อใด พระองค์อาจจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป หยุดเสียเถิด”
“คนอย่างข้า คิดจะทำสิ่งใดย่อมไม่เสียใจในภายหลัง” เขาพูดเสร็จแล้วไม่รอช้าฉีกกระชากเสื้อผ้าของไป๋อวี่หลุดรุ่ย ผิวเนียนปรากฏแก่สายตาจนไม่อาจละมองสิ่งอื่นได้ มือข้างหนึ่งจึงเผลอลูบไล้เรือนกายอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“คิดให้ดีก่อนเถิด พระองค์เกลียดกระหม่อมถึงเพียงนั้น ทั้งยังมิใช่สตรีงามอย่างที่ทรงโปรด ปล่อยกระหม่อมไปเถิด” ไป๋อวี่ทั้งขอร้องอ้อนวอนให้เขาเห็นใจ แต่เดิมถูกกลั่นแกล้งทำร้ายร่างกายบ้างเขาก็ยังทนได้ แต่หากต้องทำเรื่องเช่นนี้คงจะหนักหนาเกินไป
“เหตุใดถึงพูดมากไม่รู้ความ” เฉินเฟยหย่าหน้านิ่ว เลิกคิ้วมองคนที่อยู่ใต้ร่างแล้วคว้าผ้าบางมามัดปากของไป๋อวี่เอาไว้ ข้อมือสองข้างของไป๋อวี่ถูกกดไว้เหนือศีรษะ
ทันทีที่ริมฝีปากของเฉินเฟยหย่ากดลงบนร่าง ดวงตาของไป๋อวี่เบิกโต ดิ้นรนทุกทางเพื่อให้หลุดพ้น ในใจนึกอยากให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ สายตาเหลือบเห็นเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตู แต่ไม่ว่าอย่างไรคนผู้นั้นกลับนิ่งเฉยไม่แม้แต่จะเข้ามาห้ามคนไร้สติเบื้องหน้า ไป๋อวี่ไร้สิ้นหนทางหนีในค่ำคืนนี้ มีเพียงคนผู้เดียวที่สุขสมกับของเล่นตรงหน้า เพลิดเพลินอารมณ์ตลอดทั้งคืน