เจ้ามูมู่กินอาหารจากชามจนหมดเกลี้ยง อัสนีนำจานไปล้างจนสะอาดแล้วใช้ให้มันคาบจานอาหารไปเก็บเอาไว้ที่เดิม ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าอัสนีพาเจ้ามูมู่มาที่บ้านของทรงสิทธิ์กับมัสลินทุกวัน จึงพาจานอาหารส่วนตัวสำรองมาไว้ให้อีกหนึ่งอัน
มิรินติดพี่ชายข้างบ้านเป็นอันมาก ไปไหนมาไหนก็ต้องเจอว่ามิรินอยู่กับอัสนีแทบจะตลอดเวลา โดยมีเจ้ามูมู่วิ่งตามอยู่ไม่ห่าง ท่าประจำของมิรินคือการขี่คออัสนีแล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“หนูมินี่เป็นเด็กอารมณ์ดีจริง ๆ ยิ่งถ้าได้ขี่คอนายนี่ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่” โยธินมองเด็กน้อยแล้วอมยิ้มให้อีกฝ่าย ในขณะที่มิรินขี่คออัสนีและกอดคอของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างมีความสุข
“โห... เฮีย นี่ม้าตัวใหม่ของเฮียเหรอ อย่างแจ่ม” พายุที่เดินมาสมทบร้องขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นเมื่อเห็นม้าพันธุ์ดีตัวใหม่ของอัสนี
“ชื่อเจ้ามังกร” อัสนีตอบยิ้ม ๆ เดินไปลูบม้าตัวโปรดที่เพิ่งได้มาใหม่อย่างรักใคร่ ครอบครัวของเขาทำฟาร์มม้าเป็นหลัก ด้วยว่าบิดานั้นหัดให้เขาได้เรียนรู้และขี่ม้าเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ
“อยากขี่จังเฮีย”
“ขี่ได้แต่ระวังมันจะไม่ให้ขี่” อัสนีพูดปนขำเพราะว่าเจ้ามังกรพยศเหลือเกิน
“โหย... ม้าของเฮียพยศหรือไง”
“มันอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน” อัสนีพูดแล้วขำสีหน้าของพายุหนักขึ้นไปอีก
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่เชื่อเฮียเหรอ” อัสนีเอ่ยถามพายุ แม้หนุ่มทั้งสามจะไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ แต่ก็รักใคร่ปรองดองกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา เป็นเรื่องธรรมดามากที่โยธินกับอัสนีจะเอ็นดูพายุเหมือนน้องชายคนเล็ก ไม่นับรวมมิรินที่เป็นน้องนุชสุดท้องต่างสายเลือดที่พี่ ๆ รักและเอ็นดูมากเช่นกัน
“เฮียหวงม้าหรือเปล่า ไม่อยากให้ผมขี่” พายุหยั่งเชิงถาม
“เอาสิ เฮียให้แกขี่ได้รอบไร่เลย ถ้าแกอยากขี่ แต่ขี่มันให้ได้ก่อนนะ ขนาดเฮียยังต้องปลุกปล้ำกับมันอยู่ตั้งนาน จนตอนนี้ยังขี่มันไม่ได้เลย” ม้าตัวเก่าของเขาตายไปเลยทำให้เศร้าใจอยู่นาน จนบิดานำเจ้ามังกรมาให้เป็นของขวัญวันเกิดแทนตัวเก่าเขาจึงหายเศร้าไปได้บ้าง
แต่ละคนในไร่จะมีม้าประจำของตัวเองเอาไว้ขี่ ทั้งตรวจดูคนงาน ตรวจดูผลผลิตในไร่ ครอบครัวของมิรินนั้น บิดามารดาคือทรงสิทธิ์กับมัสลินจะปลูกพืชผักปลอดสารพิษส่งขายตามร้านต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเน้นผักสลัดและผักชนิดต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมของท้องตลาด
ในขณะที่ครอบครัวของโยธิน บิดามารดาคือวายุและประภัสสรทำไร่ผลไม้ทั้งแปรรูปและส่งขายแบบสด ๆ รวมถึงเทศกาลผลไม้ จะจัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวที่ไร่ได้กินกันไม่อั้น และสุดท้ายครอบครัวของพายุ บิดามารดาคือพายัพกับศิริพรนั้นทำฟาร์มโคนม ส่วนครอบครัวของอัสนีนั้นนอกจากทำฟาร์มม้าแล้วยังทำฟาร์มแพะอีกด้วย นอกจากนมวัวแล้วก็ยังมีนมแพะสำหรับจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวและลูกค้าทั่วประเทศ
“งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะเฮีย” พายุถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น คนที่หัดให้พายุขี่ม้าก็คืออัสนี สามหนุ่มขี่ม้าเป็นตั้งแต่เด็ก ส่วนโยธินกับอัสนีนั้นอัคราเป็นคนสอน
“เฮียจะรอดูว่าแกจะขี่มันได้ไหม” อัสนีพูดยิ้ม ๆ ขนาดเขายังปลุกปล้ำมันอยู่ตั้งนานกว่าจะขึ้นไปนั่งบนหลังของมันได้ และปัจจุบันนี้มันก็พยศไม่ยอมให้ขี่ง่าย ๆ แม้จะขึ้นไปนั่งบนหลังของมันได้ก็ตามที แต่มันก็ยังไม่ยอมให้ขี่อยู่ดี วันดีคืนดีมันก็สะบัดเขาตกจากหลังของมันจนกระดูกแทบหัก
“เฮียดูเลย มันให้ผมสัมผัสมันด้วย” พายุลูบตรงคอของมันไปมาเพื่อสร้างความคุ้นชิน
“ม้าของนายสวยจริง ๆ เฮียเองยังชอบ” โยธินกอดอกแล้วเอ่ยชม ม้าที่ดีจะต้องไม่มีตำหนิ ขาและเท้าทั้งสี่จะต้องแข็งแรงได้รูป มีรูปร่างที่ดีลักษณะเป็นไปตามสายพันธุ์ ที่สำคัญคือต้องเลือกม้าจากตระกูลที่ดี
“พ่อได้มาจากเพื่อน มันพยศไม่มีใครขี่ได้ เลยยกให้ฟรี ๆ” อัสนีเล่าไปมองพายุที่ลูบ ๆ คลำ ๆ ม้าไปมาอย่างนิยมชมชอบ
“โอ๊ย!” พายุร้องเสียงหลงหลังจากที่โดนเจ้ามังกรเตะจนกระเด็น
“เฮ้ย!” ทั้งอัสนีและโยธินรีบวิ่งเข้าไปดู อัสนีนั้นมีมิรินขี่คออยู่ด้วยเลยประคองพายุไม่ถนัด โยธินจึงเข้าไปประคองพายุแทน
“เฮีย! ม้าเฮียเตะผม” พายุฟ้อง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ก็เฮียบอกแล้วว่ามันดื้อ เฮียยังไม่มีปัญญาขี่มันเลย” อัสนีทำหน้ายุ่งปนขำ เตือนแล้วไม่ฟัง แต่ก็สงสารที่น้องชายโดนม้าเตะจนกระเด็น ดีที่กระดูกไม่หักเป็นสองท่อน
“ผมน่าจะเชื่อเฮีย” พายุโอดครวญ
“ก็ว่าจะห้ามอยู่ แต่เดี๋ยวจะหาว่าขัดขวางความสุขของแก เฮียเห็นเจ้าเอสขี่มันอยู่ชาตินึงแล้วยังขี่ไม่ได้เลย” โยธินประคองน้องรักขึ้นจากพื้นอย่างเอ็นดู
“ผมไม่สงสัยเลยเฮียว่าทำไมเขาถึงให้มาฟรี ๆ ถ้าเป็นผมให้ฟรีแถมข้าวสารอีกสิบกระสอบผมก็ไม่เอานะ” พายุกุมสะโพกด้วยความเจ็บ ทำหน้าเหยเกใส่พี่ ๆ
“เฮียแนะนำให้แกขี่เจ้ามูมู่ก็แล้วกัน” โยธินยังพูดติดตลก หันไปมองเจ้ามูมู่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับอัสนี เหมือนมันจะรู้ว่ากำลังพูดถึงมันอยู่ มันจึงกระโดดไปมาด้วยท่าทีซุกซน