ตอนที่ 8ท่านหญิงรอง 1

4248 คำ
ยุคจ้านกว๋อ แคว้นหมิ่นเยว่ ดินแดนอันมีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเลนับแสนหมู่ จนสุดอาณาจักรโคกูรยอทางตอนเหนือ มีหมู่เกาะมากมายอยู่ภายใต้การปกครอง มีทั้งเกาะรกร้างและเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ รวมไปถึงเกาะที่เป็นดินแดนแห่งคนเถื่อน แคว้นหมิ่นเยว่ถูกราชวงศ์เฉินปกครองมาอย่างยาวนานกว่าสองร้อยปี มีเจ้าผู้ครองแคว้นขึ้นปกครองมาแล้ว 14 พระองค์ จนมาถึงรัชสมัยของเฉินหย่งกงซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นลำดับที่ 15 ของราชวงศ์เฉิน เฉินหย่งกงหรือพระนามเดิมว่าเฉินอวี้ ทรงมีพระนางอี้ซิน องค์หญิงจากแคว้นหยางมาเป็นฮองเฮาเคียงข้างพระวรกาย และยังมีฟูเหรินอีกสี่พระองค์ โดยอี้ซินฮองเฮาทรงประสูติพระราชโอรสทั้งสิ้นห้าพระองค์ โดยองค์ชายสี่เฉินจิ้นและองค์ชายห้าเฉินคังเป็นพระโอรสฝาแฝด ซึ่งมีรูปโฉมประดุจพิมพ์เดียวกันหล่อเหลาจนแยกไม่ออกเลยทีเดียว จวบจนกระทั่งเหล่าพระโอรสเจริญพระชันษา เฉินหย่งกงสถาปนาองค์ชายใหญ่เฉินเจี๋ย ดำรงตำแหน่งรัชทายาท ขึ้นครองแคว้นสืบต่อไป หากแต่องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาทได้เพียงปีครึ่งก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน สาเหตุมาจากเสวยน้ำจัณฑ์มากจนตกสระน้ำภายในตำหนักของพระองค์ จมน้ำสิ้นพระชนม์ไปอย่างน่าเคลือบแคลง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะองค์ชายใหญ่ทรงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสุราพันจอก พระองค์ไม่เคยเมามายแม้แต่ครั้งเดียว และนับจากองค์ชายใหญ่เป็นต้นมา บรรดาพระโอรสของเฉินหย่งกงทยอยสิ้นพระชนม์ห่างกันเพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น องค์ชายรองเฉินฟู่สิ้นพระชนม์หลังจากองค์ชายใหญ่เพียงแค่สองปี ทันทีที่เฉินหย่งกง ทรงให้องค์ชายรองขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาทสืบต่อไป และสาเหตุที่สิ้นพระชนม์นั่นก็คือ ทรงบรรทมไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย นำพาความสงสัยให้เหล่าหมอหลวงอย่างยิ่งยวด หลังจากองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ลงเพียงหนึ่งปี องค์ชายสามเฉินเหย่าก็สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหันก่อนหน้าจะมีพิธีแต่งตั้งเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยสาเหตุมาจากเทศกาลล่าสัตว์ประจำปี พระองค์ถูกลูกธนูขององค์ชายห้าเฉินคังยิงเข้าทะลุหัวใจด้วยคิดว่าเป็นกวางป่า ขณะที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างร่วมเทศกาลล่าสัตว์ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้องค์ชายห้าเฉินคังถูกเนรเทศให้ไปอยู่ดินแดนอู๋อี๋ซานเพื่อสำนึกตนที่กระทำความผิดและห้ามกลับคืนสู่แคว้นหมิ่นเย่ว หากไม่มีพระบัญชา เพื่อให้ล่วงรู้ว่าได้กระทำผิดมหันต์ครั้งยิ่งใหญ่จากการกระทำของพระองค์ ซึ่งได้ชื่อว่าเจตนาลอบปลงพระชนม์พระเชษฐาเพื่อหมายปองราชบัลลังก์ จึงทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่และไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เฉินหย่งกงจึงมีดำริที่จะแต่งตั้งองค์ชายเฉินจิ้น ให้ครองตำแหน่งรัชทายาทครองแคว้นสืบต่อไป ทว่าพิธีแต่งตั้งกลับยังมิถูกจัดขึ้น เมื่อเฉินหย่งกง ทรงพบเงื่อนงำบางอย่างทำให้พระองค์เกิดความสงสัยจึงมีพระบัญชาให้กรมอาญาตามสืบร่องรอยสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสทั้งสามในระยะเวลาไล่เลี่ยกันอย่างเป็นความลับ พร้อมทรงมีพระบัญชาให้นำองค์ชายเฉินคังกลับแคว้น เพื่อทำการไต่สวนคดีลอบปลงพระชนม์องค์ชายสามที่มีคำสั่งให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หากแต่ยังมิทันที่องค์ชายเฉินคังจะได้เสด็จกลับมา ก็มีข่าวส่งมาจากดินแดนอู๋อี๋ซานว่าองค์ชายห้าประชวรด้วยโรคจั้งชี่ ซึ่งก็คือไข้จับสั่น ซึ่งเป็นโรคระบาดที่น่ากลัวและรุนแรงมากในยุคสมัยจีนโบราณ โดยจะมีอาการหนาวสั่น ไข้สูง และเหงื่อออกมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระบาดโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ซึ่งก็คือไข้จับสั่นนั้นเอง ซึ่งตอนนี้ดินแดนอู๋อี๋ซาน กำลังระบาดหนักอย่างรุนแรง จั้งซี่หรือไข้จับสั่นน่ากลัวและรุนแรงมากคร่าชีวิตผู้คนล้มตายไปนับหมื่นนับแสนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนดินแดนอู๋อี๋ซานซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดโรคระบาดกลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปในชั่วพริบตา ผู้คนล้มตายไม่มีรอดชีวิตรวมไปถึงองค์ชายเฉินคังจากแคว้นหมิ่นเย่วก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้เหลือองค์ชายสี่เฉินจิ้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่รอด และองค์ชายหนุ่มจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท ภายหลังเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับธิดาเจ้าเมืองอูเจี๋ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมืองอูเจี๋ยน จวนเจ้าเมือง  เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจดังระงมไปทั่วบริเวณจวนเจ้าเมือง เมื่อธิดาคนรองนามว่าหยางเฉียนเฉียน จู่ๆ ก็สิ้นชีพลงอย่างกะทันหัน ในสภาพกำลังนอนหลับใหลภายในห้องนอนส่วนตัว โดยท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยาเป็นผู้เข้าไปพบเห็นเป็นคนแรก ซึ่งหมอประจำจวนเจ้าเมืองได้ลงความเห็นว่า ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน หลับใหลจนสิ้นชีพไปเอง ภายในห้องเคารพศพบริเวณกลางห้อง ปรากฏโต๊ะสำหรับวางป้ายวิญญาณตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนมากมายที่ทยอยเดินทางมาร่วมงานศพดังกล่าวได้คาราวะผู้ตายและร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนำไปฝังไว้ที่สุสานซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ ถัดจากโต๊ะวางป้ายวิญญาณมีห้องกั้นระหว่างกลางตั้งโลงศพขนาดใหญ่ทำจากไม้เนื้อดีเอาไว้ ภายในโลงถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดีเพื่อมองให้เป็นสถานที่ผู้ตายได้นอนหลับไปชั่วนิรันดร์ ดอกไม้นานาพรรณนำมาวางไว้ล้อมรอบโลงเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงปรารถนาซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ตามประเพณีของเมืองอูเจี๋ยน วันแรกของคนตายจะวางศพเอาไว้ในโลงโดยจะยังไม่นำฝาโลงมาปิด เปิดเผยศพให้แก่ญาติพี่น้องของผู้ตายได้เห็นหน้าเพื่อสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำฝาโลงมาปิดให้สนิทในรุ่งอรุณถัดไป และเพื่อป้องกันกลิ่นมิให้รบกวนที่อาจจะมีขึ้นในวันแรกของซากศพ จึงนิยมจัดวางดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาชนิดอัดแน่นล้อมรอบไปทั่วบริเวณเพื่อดูดซับกลิ่นดังกล่าว โดยจะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่าดอกหวนคืนซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้เป็นอย่างดี มีดอกขนาดใหญ่และมีสีขาวหอมเย็นๆ และจะส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน แต่ช่วงกลางวันจะทำหน้าที่ดูดซับกลิ่นรอบบริเวณกักเก็บเข้าไปไว้ในตัวดอกเอาไว้จนหมดนิยมนำมาใช้ประดับในงานศพของยุคนั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าดอกไม้หวนคืนปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดสิ้นแล้ว ร่างอันไร้วิญญาณของเด็กสาวในวัยที่กำลังจะเข้าพิธีปักปิ่น นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพขนาดใหญ่ที่ยังมิได้นำฝาโลงมาปิด ด้วยนางเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อช่วงเช้าตรงกับยามเฉิน จนถึงขณะนี้ยามเซินทุกสิ่งทุกอย่างภายในจวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนถูกแปรเปลี่ยนจากงานที่ผู้คนต่างทยอยมาร่วมงานในพิธีปักปิ่นของหยางเฉียนเฉียน ธิดาสาวคนรองของเจ้าเมืองอูเจี๋ยนนามว่าหยางผิง ทว่าจากงานมงคลกลับแปรเปลี่ยนต้องจัดงานศพขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อสาวน้อยเจ้าของพิธีดังกล่าวสิ้นชีพลงอย่างมิรู้สาเหตุ พร้อมข่าวลือภายในจวนแพร่สะพัดไปทันทีว่า หยางเฉียนเฉียนฝ่าฝืนคำทำนายของโหรหลวงประจำเมือง ที่เคยทำนายเอาไว้ว่า หยางเฉียนเฉียนจะต้องตายหากแต่งงานเมื่อมีอายุถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น ซึ่งท่านหญิงรองของจวนมิเชื่อคำทำนายของโหรหลวงดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อเฉินหย่งกง เจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเยว่มีพระบรมราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้แก่องค์รัชทายาทกับธิดาของเจ้าเมืองอูเจี๋ยน ซึ่งหยางผิงคือเจ้าเมืองคนปัจจุบันมีธิดาด้วยกันสองคน คือท่านหญิงใหญ่หยางเสวี่ยเหยา วัย 17 ปีเกิดจากภรรยารองและหยางเฉียนเฉียน วัย 15 ปีซึ่งเกิดจากภรรยาเอก และแน่นอนว่าเจ้าเมืองหยางผิงเลือกธิดาคนใดคนหนึ่งให้เข้าพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งเฉินหย่งกงพระราชทานให้ในครั้งนี้และจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ท่านหญิงรองหยางเฉียนเฉียน ที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องในหลักของการสืบสานทางจารีตประเพณี ที่จะต้องเลือกบุตรซึ่งเกิดจากภรรยาเอกมาก่อนเสมอไม่ว่าเรื่องอะไรในทั้งสิ้น บุตรอันเกิดจากภรรยาลำดับถัดไปจะถูกนำมาพิจารณาหลังจากมีการเลือกเฟ้นจากบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกเสร็จสิ้นแล้ว หากแต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าสมรสพระราชทานในครั้งนี้ สร้างความคับแค้นใจให้กับหยางเสวี่ยเหยา ซึ่งมีฐานะเป็นท่านหญิงใหญ่ของจวน ซึ่งเกิดจากภรรยารองอย่างยิ่งยวด เพียงเพราะคำว่าเกิดเป็นลูกเมียรอง จึงทำให้นางแลดูต่ำต้อยด้อยค่ากว่าน้องสาวและน้องชายที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งตระกูลหยางเลือกให้แต่งเข้าจวนเพราะหวังฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฉินหย่งกงเจ้าผู้ครองแคว้น ในขณะที่ท่านแม่ของเสวี่ยเหยาเป็นเพียงสตรีจากตระกูลชนชั้นคหบดีเข้าขั้นในระดับมหาเศรษฐีของเมืองอูเจี๋ยนเลยทีเดียว พื้นเพดั้งเดิมมาจากครอบครัวชาวประมงและเติบโตจนมีกิจการขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นในภายหลัง แต่ถึงแม้จะร่ำรวยเพียงใดตระกูลหยางเลือกเฟ้นสตรีที่จะแต่งเข้าจวนนั้นจะต้องมาจากชนชั้นขุนนางด้วยกันเท่านั้น แม้ว่าหยางผิง เจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะรักท่านแม่ของเสวี่ยเหยามากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็มิอาจขัดกฎของตระกูลได้ จากคนที่มาก่อนกลับกลายเป็นเพียงรองและอยู่ในฐานะที่สองมาโดยตลอดจวบจนถึงรุ่นลูก ก็ยังต้องเป็นที่สองอยู่ร่ำไป เป็นเหตุให้เสวี่ยเหยาพกพาความคับแค้นใจอย่างยิ่งยวด ต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้นางหลุดพ้นจากคำว่าลูกเมียรองและไม่ต้องการเป็นที่สองอีกต่อไป ดังนั้นหากนางได้ขยับฐานะขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหมิ่นเยว่ และครองตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า ชีวิตของนางจะมีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าผู้ใดและไม่ต้องก้มหัวฟังใครอีกต่อไปนับต่อจากนี้ คำว่าที่สองจะหลุดพ้นไปจากชีวิตของนางทันที และนั่นจึงเป็นที่มาของความตายซึ่งหยางเฉียนเฉียน จะต้องประสบชะตากรรม นอกจากความเสมอภาคระหว่างลูกเมียรองและเมียเอกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากนิสัยส่วนตัวของ หยางเฉียนเฉียนก็ด้วยเช่นกัน ภายใต้คราบน้ำตาของท่านหญิงรองซึ่งคนภายนอกมิล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรนางมิได้มีนิสัยอ่อนโยนหรือเกิดจากความอ่อนแอแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหยางเฉียนเฉียนแม้จะมีอายุเพียง 15 ปี แต่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยอุบายมากมาย อีกทั้งยังมีนิสัยขี้อิจฉาและมีความริษยาฝังลึกอย่างรุนแรง นางอิจฉาเสวี่ยเหยาที่มีหน้าตางดงามและรูปร่างอรชรต้องตาต้องใจบุรุษเพศเป็นยิ่งนัก ในขณะที่เฉียนเฉียนกลับเจ้าเนื้ออวบอ้วนค่อนข้างไปทางตุ้ยนุ้ย ความงดงามถูกบดบังเพราะความเจ้าเนื้อของนางเป็นเหตุ และมีนิสัยชอบแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของเสวี่ยเหยาไปเป็นของตนเองมากที่สุด และทันทีที่หยางเฉียนเฉียนล่วงรู้ว่าเฉินหย่งกง ทรงมีพระประสงค์มอบสมรสพระราชทาน เพื่อมีสัมพันธ์ไมตรีเป็นทองแผ่นดินเดียวกันกับเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญติดทะเล จุดประสงค์ก็เพื่อขยายดินแดนของแคว้นหมิ่นเยว่ให้ขยายกว้างออกไปจนสุดขอบชายฝั่งทางทะเลทั้งหมด อีกทั้งเพื่อทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าเมืองอูเจี๋ยนซึ่งเป็นพระสหายในวัยเยาว์ชันษาและยังมีมิตรภาพต่อกันด้วยดีเสมอมา ดังนั้นสมรสพระราชทานจึงบังเกิดขึ้น ซึ่งเดิมทีหยางผิงจะให้เสวี่ยเหยาธิดาคนโตอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทเพื่อเป็นหน้าตาของตระกูล ด้วยบุตรีผู้นี้ขึ้นชื่อได้ว่างดงามอย่างยิ่งยวดเป็นที่หมายปองของบุรุษและองค์ชายต่างแคว้นมากมาย และเพื่อมิให้คำนายของโหรหลวงประจำเมืองกลายเป็นเรื่องจริง ด้วยสมรสพระราชทานในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงปีที่บุตรีคนรองกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นด้วยเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้หยางผิงเลือกที่จะให้บุตรีคนโตของตนเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายเฉินจิ้นที่มีตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาท ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วสืบต่อไปเบื้องหน้า และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้เฉียนเฉียนไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ที่พี่สาวต่างแม่จะได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท นางจึงร้องขอบิดาอาสาทำหน้าที่กตัญญูต่อตระกูล ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของลูกที่เกิดจากเมียเอกต้องพึงได้รับเป็นอันดับแรกก่อนจะไปตกไปถึงลูกเมียรอง โดยมิรู้ตัวเลยว่า วอนหาความตายเข้าหาใส่ตัวเพราะความริษยาของนางเป็นเหตุ ทำให้เสวี่ยเหยาลงมือสังหารน้องสาวตัวเองจนตายคามือ หยางเฉียนเฉียน จึงเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่หยางเสวี่ยเหยา ลงมือปลิดชีพน้องสาวของตัวเอง แรงเกลียดและความชิงชังที่เก็บกดอยู่ภายในใจมีมากล้นพ้นทวีที่น้องสาวต่างแม่มีนิสัยต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ความคั่งแค้นถึงขนาด ปลอมลายมือเขียนบันทึกเหตุการณ์ของเมืองอูเจี๋ยน เพื่อใส่ร้ายน้องสาวต่างแม่ให้นางเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม และเพราะความอำมหิตโหดเหี้ยมของนางจึงทำให้พบจุดจบของชีวิตอย่างไม่คาดฝัน ในวันที่หยางเฉียนเฉียนตาย ข้าทาสบริวารภายในจวนเจ้าเมืองต่างยินดีกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว มีเพียงเสียงร่ำไห้ของหวังฮูหยินเท่านั้น ร่ำร้องคร่ำครวญต่อการจากไปของบุตรีอย่างยิ่งยวด ด้วยเด็กสาวต่อหน้าพ่อและแม่รวมไปถึงคนภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ล่วงรู้แต่เพียงว่าหยางเฉียนเฉียนเป็นคนเฉลียวฉลาดและรอบรู้ทุกด้าน สามารถบริหารเมืองช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่หยางผิงมากมายยิ่งนัก รวมไปถึงคอยช่วยเหลือชาวเมืองอูเจี๋ยนตลอดเวลา ซึ่งเสวี่ยเหยาก็ล้างแค้นน้องสาว โดยการนำบันทึกปลอมไปสลับวางไว้กับบันทึกเหตุการณ์เมืองของจริง โดยติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลหอจดหมายของเมืองอูเจี๋ยน ด้วยเพราะเหตุนี้บันทึกเหตุการณ์ปลอมดังกล่าว จึงทำให้ หยางเฉียนเฉียน เป็นสตรีที่ร้ายกาจจากที่ร้ายอยู่แล้วยิ่งร้ายมากขึ้นไปกว่าเดิมนับเท่าทวีคูณ และแน่นอนว่าภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังศพของหยางเฉียนเฉียน จวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยนจะมีพิธีมงคลกลบร่องรอยความโศกเศร้าเสียใจเข้ามาแทนที่ ด้วยสมรสพระราชทานระหว่างว่าที่องค์รัชทายาทองค์ชายเฉินจิ้นและหยางเสวี่ยเหยา ที่ทำทุกอย่างจนนางได้สิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองกลับคืนสมดั่งใจหวัง “อีกหนึ่งชั่วยามเคลื่อนขบวน! เชิญญาติพบคนตายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่ออำลา!!”เสียงตะโกนดังก้องออกมา ด้วยถึงวันที่จะต้องนำหยางเฉียนเฉียน เดินทางไปยังสุสานประจำตระกูลซึ่งอยู่บนเกาะเฉิงไห่ อันเป็นสถานที่ใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพของคนในตระกูลหยางนั่นเอง เจ้าเมืองหยางผิงประคองหวังฮูหยินเข้าไปภายในห้องเก็บศพของหยางเฉียนเฉียนเพื่ออำลาครั้งสุดท้าย โดยมีสายตาของเสวี่ยเหยามองตามหลังพร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของนาง “ในที่สุดวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึง นางเฉียนเฉียนมันจะถูกฝังลงไปอยู่ใต้ดินชั่วกาลนานเสียที”เสวี่ยเหยารำพึงอยู่ภายในใจพลางยืนคิดอะไรเพลินจนไม่รู้ตัวเลยว่า ญาติพี่น้องต่างทยอยเข้าไปหาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายจนเหลือนางเท่านั้น “เสวี่ยเอ๋อร์! เจ้าจะไม่เข้าไปอำลาเฉียนเฉียนเป็นครั้งสุดท้ายอย่างนั้นรึ”หวังฮูหยินถามออกมาทันที ครั้นนางอำลาบุตรีสาวคนเดียวเป็นที่เรียบร้อย และนั่นทำให้เสวี่ยเหยารู้สึกตัวจากภวังค์แห่งความคิดและหมกมุ่นเรื่องต่างๆ นานาอยู่ในขณะนั้นขึ้นมาทันใด “ลูกกำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะท่านแม่”นางตอบหวังฮูหยินกลับไป ใบหน้าอวบอิ่มพยักหน้าขึ้นลงพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาของนาง “ตอนนี้ท่านพ่อก็เหลือแต่เจ้ากับเฉินเอ๋อร์เท่านั้น เสร็จจากฝังเฉียนเฉียนแล้ว เตรียมตัวฝึกมารยาทยอ่างเข้มงวดที่จะต้องนำไปใช้ในราชสำนักหมิ่นเยว่ให้จงหนัก อย่าให้เสียชื่อท่านหญิงใหญ่จากเมืองอูเจี๋ยนเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”หวังฮูหยินกำชับลูกเลี้ยงของนาง “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ”เสวี่ยเหยาขานรับกลับไปแข็งขัน “นี่ถ้าแม่ของเจ้าไม่จากไปเสียก่อน วันนี้หน้าที่ในการอบรมดูแลเพื่อให้เจ้าเตรียมพร้อมเป็นพระชายาที่ดีคงไม่ใช่ข้าหรอกและถ้าคนแต่งเป็นเฉียนเฉียน น้องของเจ้าไม่สิ้นชีพไปเสียก่อน ข้าจะต้องดีใจมากเป็นแน่แท้”ที่สุดแล้วหวังฮูหยินก็ไม่วายยกบุตรีของนางขึ้นมาเปรียบเทียบกับเสวี่ยเหยาเช่นเดิม ใบหน้างามจากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมลายหายไปโดยพลัน ครั้นได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นออกมาจากปากของหวังฮูหยิน ดวงตาแข็งกร้าวลุกโชนขึ้นมาทันที “ที่สุดก็ไม่เคยคิดที่จะอยากให้ข้าได้ดีเกินกว่าเฉียนเฉียนลูกของนางแม้แต่น้อย แต่เอาเถิดอีกไม่นานข้าก็จะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ภายในวังหลวงและมีฐานะสูงส่งเกินกว่าพวกเจ้าจะแตะต้องข้าได้ ถึงเวลานั้นอย่าหวังเลยว่าข้าจะหวนกลับมาเหยียบจวนนี้อีก!!”เสวี่ยเหยาก่นด่าอยู่ภายในใจพร้อมเสียงของหยางผิงดังขึ้น “เสวี่ยเอ๋อร์เข้าไปหาเฉียนเฉียนสิลูก ใกล้เวลาจะต้องนำน้องไปฝังแล้ว”เสียงของคนเป็นพ่อบอกบุตรีคนโตด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าค่ะท่านพ่อ”ร่างอรชรย่อตัวลงเคารพบิดาพลางก้าวเดินเข้าไปภายในห้องเก็บศพตรงหน้า ครั้นร่างระหงก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกแปรเปลี่ยนไปทันที ดวงหน้างามเชิดขึ้นสูง ดวงตาที่มีแต่หยาดน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลากลับเหือดหายไปจนหมดสิ้นและรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นมาแทนที่เมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโลงศพที่ถูกปิดสนิทเอาไว้อยู่ในขณะนี้ “เป็นอย่างไรเล่าเฉียนเฉียนน้องพี่ เจ้านอนอยู่ในนั้นมานานหลายวันแล้วรู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง นับจากวันนี้เป็นต้นไปพี่ก็จะไม่ได้เห็นใบหน้าของเจ้าอีกต่อไปแล้ว และเพื่อให้เจ้าได้กลับไปเกิดใหม่มีใบหน้าสวยงามและรูปร่างที่ดี ข้า! สู้อุตสาห์เฟ้นหาจิตรกรฝีมือเยี่ยมมาวาดภาพของเจ้าในชาติหน้าให้ด้วยนะ เอาติดตัวไปด้วยเผื่อเกิดชาติหน้าจะได้ดูดีกว่านี้ และสวยงามกว่าข้าอย่างไรเล่าเฉียนเฉียน”เสวี่ยเหยาพูดพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ชายเสื้อถูกถลกขึ้นพร้อมม้วนภาพวาดถูกดึงออกมา ก่อนจะชูขึ้นพลางคลี่ออกมาอย่างช้าๆ เพื่อเยาะเย้ยน้องสาวผู้วายชนม์ไปแล้ว “ข้าสนองความต้องการของเจ้าที่อยากเกิดมางดงามดั่งเช่นข้า จึงสั่งให้จิตรกรวาดเจ้าให้งดงามมากมายยิ่งนัก ประดุจท่านทวดหยางเชาเย่วราวเป็นคนเดียวกัน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วตัวจริงของเจ้ามันช่างแตกต่างไปจากในภาพเสียนี่กระไร แต่เอาเถิดเพื่อสนองความใฝ่ฝันที่เจ้าพึงอยากได้ตลอดเวลา ข้าจึงสงเคราะห์ด้วยความเวทนา”พูดพร้อมม้วนภาพวาดดังกล่าวกลับเข้าตามเดิม ครืดดดด!!! สองมือดันฝาโลงออกมาเล็กน้อยเพื่อนำภาพวาดใส่ลงไป ในขณะที่กำลังจะนำภาพวาดวางลงไปภายในโลง เสียงที่นางคุ้นหูเป็นอย่างดีพลันดังขึ้นอยู่นอกประตู “ท่านหญิงใหญ่อยู่ในห้องใช่ไหม! ข้าจะได้เข้าไป”เสียงด้านนอกถามกับบ่าวไพร่ตรงหน้าประตู บานประตูทั้งสองด้านเริ่มขยับไปมาเมื่อคนด้านนอกกำลังจะเข้ามาภายในห้องดังกล่าว ฟิ้ว!!! ม้วนภาพวาดถูกโยนลงไปในโลงอย่างรวดเร็ว พร้อมรีบเลื่อนฝาโลงปิดโดยพลัน ตุบ!!!! ม้วนภาพนั้นถูกโยนลงไปกระทบกับใบหน้าของ หยางเฉียนเฉียนเข้าให้อย่างจัง ฉับพลันใบหน้าที่ปราศจากสีเลือดเจือจางและขาวซีดมาโดยตลอด กลับปรากฏเลือดฝาดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หัวคิ้วเริ่มเคลื่อนไหวไปมาราวกับร่างนั้นกำลังหวนคืนกลับมามีชีวิตฉันใดก็ฉันนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงของแขกผู้มาเยือนดังแทรกขึ้น “คาราวะพี่หญิงใหญ่”เสียงนั้นเรียกหยางเสวี่ยเหยา “เจ้าเองเหรอจิ่วเซียน นึกว่าจะไม่มาล่ำลาเฉียนเฉียนเป็น ครั้งสุดท้ายเสียแล้ว”เสวี่ยเหยาแสร้งทำทีถามกลับไป หญิงสาวร่างบอบบางนามว่าพานจิ่วเซียน บุตรีคนเล็กจากตระกูลขุนศึกของแม่ทัพพานซิ่วอิ๋ง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของ หยางเฉียนเฉียนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ปากกระจับได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ กลับมา “เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงพูดเช่นนั้น ข้ากับเฉียนเฉียนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก เมื่อเพื่อนรักจากไปก่อนวัยอันควรเช่นนี้ย่อมต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว ข้าก็แค่มาช้าไปหน่อยเพราะเพิ่งกลับจากแดนเหนือ พอล่วงรู้ข่าวก็รีบมาทันที” เสวี่ยเหยาคลี่ยิ้มเหยียดครั้นได้ยินเช่นนั้น “ก็คงจะมีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเป็นเพื่อนสนิทของเฉียนเฉียน เพราะน้องสาวของข้าผู้นี้หามีผู้ใดอยากคบหาเป็นมิตรสหายด้วยนิสัยส่วนตัวของนาง เจ้าเองก็น่าจะล่วงรู้ดีกว่าผู้ใดว่าเพื่อนของเจ้าเป็นเช่นไรมิใช่รึ”เสวี่ยเหยาพูดเหน็บกลับไป และนั่นทำให้จิ่วเซียนแสยะยิ้มออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ข้าและพี่หญิงใหญ่ต่างก็ล่วงรู้ดีว่าเฉียนเฉียนเป็นอย่างไรพอๆ กันนั่นแหละ เช่นเดียวกันข้าและเฉียนเฉียนต่างก็ล่วงรู้ดีว่าท่านเป็นอย่างไงเหมือนกัน จะว่าไปแล้วการจากไปของเฉียนเฉียน ในครั้งนี้ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดกว่าผู้ใดก็คือพี่หญิงใหญ่มิใช่รึ! ท่านจะได้แต่งงานกับรัชทายาทแทนเพื่อนของข้า เพราะถึงอย่างไรแล้วท่านเจ้าเมืองไม่ปฏิเสธงานสมรสพระราชทานในครั้งนี้ไปได้หรอก ในเมื่อยังเหลือท่านอยู่อีกคน”จิ่วเซียนตอบกลับไปดั่งรู้เท่าทันอีกฝ่าย ใบหน้าสวยเชิดหน้าขึ้นสูงพร้อมปรายสายตามองเด็กสาวร่างเล็กซึ่งอ่อนวัยกว่านางสองปี ร่างงามระหงเดินออกจากโลงศพมาอย่างช้าๆ มาหยุดยืนมองอยู่ตรงหน้า ต่างฝ่ายเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ชิดเพียงแค่ลมหายใจเป่ารดปลายจมูก “ข้าไม่ใช่ตัวแทนที่มีไว้เผื่อเลือก แต่ข้าคือตัวจริงมาตั้งแต่คราแรกอยู่แล้ว เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าที่เฉียนเฉียนได้เข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้กับองค์รัชทายาทเพราะเพื่อนของเจ้าเข้าไปอาละวาดกับท่านพ่อและท่านแม่ หลงลืมเหตุการณ์วันนั้นไปแล้วรึ เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยมิใช่รึ”หยางเสวี่ยเหยาพูดย้ำเตือนความจำให้แก่อีกฝ่ายได้หวนคำนึง และถ้อยคำดังกล่าวทำให้พานจิ่วเซียนย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนได้ขึ้นมาทันที ในวันแรกที่พระบรมราชโองการของเฉินหย่งกงมาถึงจวนเจ้าเมือง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม