ตอนที่ 16 เฉินคัง 2

1886 คำ
3 เดือนต่อมา จวนเจ้าเมืองอูเจี๋ยน  “มีพระบรมราชโองการ!!!”เสียงของทหารที่ยืนเฝ้าหน้าประตูจวนเจ้าเมืองดังกึกก้องขึ้น พร้อมร่างของผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการของเฉินหย่งเจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในจวน ทันทีที่เสียงของทหารหน้าประตูจวนดังขึ้นมาเช่นนั้น ดวงตาคู่สวยของเสวี่ยเหยาวาวโรจน์ขึ้นมาทันที “ในที่สุดวันที่ข้าเฝ้ารอคอยก็มาถึงแล้ว”นางรำพึงด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด พร้อมบานเปิดประตูตรงเรือนนอนเปิดกว้างออกมาทันใด “ท่านหญิงใหญ่ ท่านเจ้าเมืองให้ออกไปที่ห้องว่าราชการเจ้าค่ะ”บ่าวรับใช้ส่วนตัวรีบรายงานทันทีที่ทหารยามภายในจวนนำคำสั่งของหยางผิงมาแจ้งบุตรีคนโต ดวงหน้างามพยักขึ้นลงเล็กน้อยก่อนจะเชิดขึ้นสูงพร้อมรอยแย้มเยือนปรากฏขึ้นด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด ร่างงามค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในขณะนั้นรีบก้าวออกจากเรือนส่วนตัวตรงดิ่งไปที่ห้องว่าราชการของเจ้าเมืองบิดาของนางด้วยหัวใจที่พองโต เพียงไม่นานร่างงามก็ก้าวเข้ามาถึงห้องว่าราชการ ในขณะที่หยางผิงและหวังฮูหยินต่างยืนคอยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ท่ามกลางสายตาของบิดาผู้ให้กำเนิดและหวังฮูหยินภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง “เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมเสวี่ยเอ๋อร์”หวังฮูหยินถามลูกเลี้ยงกลับไป เสวี่ยเหยาย่อกายลงคำนับบิดาและมารดาเลี้ยงด้วยความนอบน้อม “ลูกเตรียมพร้อมอยู่นานแล้วท่านพ่อท่านแม่”เสวี่ยเหยาพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ครั้นหยางผิงและหวังฮูหยินได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองต่างพยักหน้าขึ้นลงอย่างพึงพอใจก่อนจะพากันหันกลับไปมองยังประตูห้องว่าราชการของเจ้าเมือง เมื่อผู้อัญเชิญเดินทางมาถึง พร้อมเสียงกึกก้องดังขึ้นทันทีที่มาถึง “เจ้าเมืองอูเจี๋ยนรับพระบรมราชโองการ”เสียงของผู้อัญเชิญประกาศให้ได้ยินจนดังก้องไปทั่วจวน ทุกชีวิตที่ยืนอยู่ภายในห้องว่าการดังกล่าว ต่างนั่งลงคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน ม้วนหนังสือซึ่งเป็นพระบรมราชโองการค่อยๆ ถูกคลี่ออกมาพร้อมเสียงข้อความที่อยู่ภายในนั้นถูกถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว “ด้วยเจ้าเมืองอูเจี๋ยนได้มีสัมพันธ์ไมตรีและสร้างคุณความดีเอื้อประโยชน์ต่อราชวงศ์เฉิน แห่งแคว้นหมิ่นเยว่มาหลายชั่วอายุคน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นเฟ้นมากยิ่งขึ้น จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้ามอบสมรสพระราชทานให้หยางเสวี่ยเหยา บุตรีของเจ้าเมืองหยางผิงแห่งเมืองอูเจี๋ยน ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารองขององค์ชายเฉินจิ้น รัชทายาทแห่งเรา กำหนดพิธีอภิเษกสมรสในอีกสิบวันข้างหน้า อัญเชิญเกี้ยวสำหรับพระชายาเสด็จเข้าสู่วังหลวง จบพระบรมราชโองการ” สิ้นเสียงของผู้อัญเชิญใบหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความยินดีกันอย่างถ้วนหน้า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย เมื่อสิ่งที่คาดหวังเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมกลับไม่เป็นดั่งที่คิด “เกิดอะไรขึ้น! ทำไม! ทำไมข้าจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเพียงแค่พระชายารอง! ในความเป็นจริงแล้วข้าต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกมิใช่เหรอ นี่ข้าแต่งงานออกไปยังต้องเป็นรองผู้อื่นอีกหรือนี่!!!!”หยางเสวี่ยเหยาได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ที่พื้น ใบหน้างามส่ายหน้าไปมาด้วยมิอยากเชื่อในสิ่งที่นางได้ยิน ทันใดนั้นเสียงของผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการดังขึ้นอยู่ตรงหน้านาง “พระชายโปรดรับพระบรมราชโองการด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ผู้อัญเชิญพูดพร้อมยื่นพระบรมราชโองการที่ถืออยู่ในมือของตนส่งให้หยางเสวี่ยเหยาที่กำลังก้มหน้านิ่งมองพื้นอยู่ในขณะนั้น “เสวี่ยเอ๋อร์!!!”เสียงของหยางผิงดังขึ้นเรียกบุตรีคนโต เฮือก!!! เสวี่ยเหยาสะดุ้งจนสุดตัวครั้นได้ยินเสียงเรียก “หยางเสวี่ยเหยาน้อมรับพระบรมราชโองการเพคะ”เสียงขานรับดังออกมาพลางยื่นมือรับพระบรมราชโองการมาถือไว้แต่โดยดีพร้อมเสียงของผู้อัญเชิญดังขึ้น “เกี้ยวอัญเชิญสำหรับพระชายาเตรียมเสด็จเข้าสู่วังหลวง อยู่ด้านนอกจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้างามพยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น ร่างงามค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พลางหันกลับไปมองบิดาและมารดาเลี้ยงก่อนจะเอี้ยวตัวกลับซึ่งนางยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นเช่นนั้น ยังมิได้ลุกขึ้นยืนแต่อย่างใดเพื่อก้มคำนับ “ลูกอกตัญญูยิ่งนักมิได้อยู่คอยดูแลท่านพ่อและท่านแม่ได้อีกต่อไปแล้ว ต้องเข้าวังเพื่อเตรียมตัวอภิเษกตามพระบรมราชโองการ ลูกเสวี่ยเหยาคำนับท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”นางพูดพร้อมก้มศีรษะคำนับบิดาและมารดาเลี้ยงลงกับพื้นติดต่อกันสามครั้ง หวังฮูหยินถึงกับน้ำตารื้นเมื่อลูกเลี้ยงที่นางคอยดูแลและเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เยาว์วัยกำลังจะออกเรือนไปใช้ชีวิตอยู่ในระดับชนชั้นเชื้อพระวงศ์ ซึ่งนางยินดีที่เห็นความสุขของลูกเลี้ยงเช่นนั้น ร่างอวบอิ่มตรงเข้าไปดึงร่างงามให้ลุกขึ้นยืนพร้อมสวมกอดเอาไว้แนบอก “เข้าไปอยู่ในวังต้องดูแลตัวเองให้ดีนะเสวี่ยเอ๋อร์ ชีวิตในวังหลวงต่างจากจวนเจ้าเมืองของท่านพ่อยิ่งนัก จากนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของแคว้นนี้แล้ว คอยดูแลองค์ไท่จื่อให้ดีด้วยละ”หวังฮูหยินยังคงพร่ำสอนมิรู้วาย ร่างงามย่อตัวคำนับมารดาเลี้ยงอย่างนอบน้อม “ลูกจะจดจำคำสั่งสอนของท่านแม่เจ้าค่ะ”นางพูดพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไป หากแต่รอยยิ้มนั้นกลับเป็นรอยแสยะยิ้มเหยียดที่แฝงเร้นความสะใจเอาไว้ “เสวี่ยเอ๋อร์!”เสียงของหยางผิงเรียกบุตรีคนโต “เจ้าค่ะท่านพ่อ”นางรีบขานรับบิดา หยางผิงก้าวเดินเข้าไปหาบุตรีคนโตพลางเอื้อมมือประคองดวงหน้างาม ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยลูกอย่างเห็นได้ชัด “เข้าไปอยู่ในราชสำนัก เจ้าจงระแวดระวังให้จงหนักนะเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนอ่อนโยนและมีจิตใจดีงามจะตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นโดยง่าย หากแม้นเจ้ามีจิตใจที่แข็งกร้าวได้สักครึ่งของเฉียนเฉียนพ่อก็ไม่ต้องห่วงแม้แต่น้อย”หยางผิงพูดด้วยความห่วงใยและกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคนเป็นลูกกลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที ครั้นได้ยินบิดาเอ่ยถึงน้องสาวต่างแม่ซึ่งตายไปนานกว่า 3 เดือนแล้ว เป็นชื่อที่เสวี่ยเหยาเกลียดและชิงชังมากที่สุดในชีวิต “ขนาดนางเฉียนเฉียนตายไปแล้วท่านพ่อยังอาลัยโหยหาอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เมื่อครั้งนางยังมีชีวิตอยู่มีแต่สร้างความทุกข์ร้อนให้แก่ผู้คนไปทั่วเมือง ท่านพ่อก็ยังเห็นมันดีกว่าข้าอยู่ร่ำไป!”เสวี่ยเหยาก่นด่าน้องสาวที่ตัวเองสังหารกับมือด้วยความแค้นและชิงชังมิรู้วาย ก่อนจะส่งยิ้มเย็นยะเยือกออกมา “ท่านพ่ออย่าได้กังวล ข้าแม้จะอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอมิยอมให้ผู้ใดกลั่นแกล้งเอาได้หรอกเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับพระชายาเอกขององค์รัชทายาทก็ตาม ซึ่งข้าเองล่วงรู้ดีว่าจะต้องทำเช่นไรในฐานะพระชายารอง”เสวี่ยเหยาพูดออกมาอย่างมั่นใจและถือดีในตัวเอง และคำพูดดังกล่าวทำให้ผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการหันกลับไปมองหน้าท่านเจ้าเมืองและหวังฮูหยินด้วยความแปลกใจครั้นได้ยินเช่นนั้น พร้อมเสียงของเสวี่ยเหยาถามผู้อัญเชิญกลับไป “เห็นทีข้าจะต้องขอคำชี้แนะจากท่านกงกงก่อนจะเข้าวังหลวง เพื่อจะได้วางตนได้ถูกว่าควรทำเช่นไรบ้าง อีกทั้งยังต้องเรียนรู้ระเบียบในวังกับท่านด้วย” ผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการซึ่งก็คือหัวหน้าขันทีคนสนิทของเจ้าผู้ครองแคว้นหมิ่นเย่วองค์ปัจจุบัน พยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินพระชายาคนงามขององค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนั้น “พระชายามีรับสั่งหนักเกินไปแล้ว มิต้องทรงกังวลมากหรอกพ่ะย่ะค่ะ อีกสักพักก็จะเข้าที่เข้าทางไปเอง และอีกไม่นานองค์หญิงจากแคว้นหลี่จะทรงเข้ามาเป็นพระชายาเอกขององค์ไท่จื่อ ด้วยอีกพระองค์หนึ่ง ถึงเวลานั้นต้องช่วยกันดูแลความเรียบร้อยภายในตำหนักบูรพาด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”หัวหน้าขันทีอธิบายกลับไป และถ้อยประโยคดังกล่าวทำให้หยางเสวี่ยเหยาดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมาทันใด ครั้นได้ยินเช่นนั้น “นี่หมายความว่าตอนนี้ไท่จื่อยังมิทรงมีพระชายาเลยอย่างนั้นเหรอ”คำถามดังกล่าวต้องการคำตอบเพื่อทำให้นางมั่นใจอะไรบางอย่าง “พ่ะย่ะค่ะ องค์ไท่จื่อทรงยังไม่มีพระชายาอย่างเป็นทางการ มีเพียงพระสนมเท่านั้น และที่ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารองก็มาจากพระประสงค์ของเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสิ้น ด้วยเล็งเห็นว่าสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกันจะเอื้อประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ย่อมมีความสำคัญทั้งในระดับแคว้นและระดับเมือง ดังนั้นการเลือกเฟ้นผู้ที่จะดำรงตำแหน่งพระชายาจึงเป็นไปตามลำดับพ่ะย่ะค่ะ”ผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการอธิบายกลับไป ดวงหน้างามคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ครั้นได้ยินเช่นนั้น “ขอบคุณท่านกงกงที่ชี้แนะ”เสวี่ยเหยาเอ่ยออกไปเพียงสั้นๆ พลางก้มหน้ามองพระบรมราชโองการที่อยู่ในมือของนางพร้อมดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมาทันที “คิดหรือว่าตำแหน่งพระชายารองเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ตำแหน่งที่ข้าหวังมากยิ่งไปกว่านั้นคือฮองเฮา แม่ของแผ่นดินต่างหากเล่า ข้าจะต้องก้าวขึ้นไปนั่งในตำแหน่งนี้ให้จงได้! ชีวิตที่จะต้องคอยเป็นรองผู้อื่นมาโดยตลอดข้าไม่ต้องการ! ไม่ต้องการ!”หยางเสวี่ยเหยาหมายมั่นปั้นมือตำแหน่งที่นางต้องการเอาไว้อย่างยิ่งยวด หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไรนางไม่หวาดหวั่น สิ่งที่นางหมายมั่นจะต้องได้ครอบครอง ซึ่งหยางผิงและหวังฮูหยินมิเคยล่วงรู้เลยว่า บุตรีทั้งสองมีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ หยางเฉียนเฉียนผู้นอนทอดกายลงใต้ผืนดินไปแล้วนั้น ภายนอกจะร้ายกาจและเจ้าอารมณ์เพียงใด แต่ส่วนลึกของจิตใจนางมิเคยมีความคิดที่จะสังหารชีวิตผู้ใดอย่างเลือดเย็น ตรงกันข้ามกับหยางเสวี่ยเหยาผู้อ่อนโยน ภายนอกนางคือสตรีผู้มีความงดงามและอ่อนโยน กิริยามารยามสมเป็นสตรีชั้นสูงที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี แต่ก้นบึ้งภายในจิตใจกลับแฝงเร้นความอำมหิตเลือดเย็น ฆ่าทุกชีวิตหากคนผู้นั้นขวางทางนางให้ต้องตกเป็นรองมิอาจก้าวขึ้นมายืนเหนือผู้อื่นและจะไม่ยอมหยุดตราบใดที่มิได้ในสิ่งที่ต้องการ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม