ตอนที่ 3 หลงยุค

1970 คำ
องครักษ์จางหมิงเองก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่พึ่งจะตั้งสติของตนเองได้ ก่อนที่มือของเขา จะได้สัมผัสไปที่ ร่างกายของผู้เป็นฮูหยินของตนเอง มือของเขาก็ถูกปิดกั้นโดยเหมยลี่เอาไว้เสียก่อน "เจ้าก็เป็นบุรุษอีกผู้หนึ่ง ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนาง แต่ตอนนี้นางได้มีชีวิตใหม่แล้ว เมื่อนางได้กลับมาจากโลกแห่งความตายอีกครั้ง ความผูกพันอันใดที่เคยมีให้กับบุรุษเช่นเจ้า ก็ให้ลืมเลือนไปเสีย" เหมยลี่กล่าวออกไปอย่างฉะฉาน ถึงแม้นว่าเธอจะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเข้าใจก็คือ บุรุษผู้นี้ ไม่ได้คิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยฮูหยินของตนเองแต่อย่างใดในตอนแรก "จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อ ทุกคนก็เห็นด้วยตาของตนเองว่านางกำลังนอนกอดก่ายอยู่กับบุรุษบนเตียงโดยไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายบุรุษและสตรีอยู่ในท่วงท่าเช่นนั้นยังจะคิดเป็นสิ่งใดได้อีก" ฮูหยินผู้เฒ่าจาง ประกาศ กร้าวออกมาเสียงดัง ถึงแม้นางจะรู้สึกกลัวกับสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องนี้นางไม่สามารถยอมรับได้ที่สะใภ้ผู้นี้ทำเรื่องเสื่อมเสีย ให้กับตระกูลของนางอย่างใหญ่หลวง ถึงแม้นว่าสะใภ้ผู้นี้จะสามารถรอดชีวิตจากความตายมาได้ แต่มันก็ไม่สามารถยืนยันได้จากสิ่งที่นางเห็นอย่างแน่นอน นางเชื่ออย่างสนิทใจว่าสะใภ้แพศยาผู้นี้ ได้กระทำเรื่องน่าอายนี้จริงๆ ไม่แน่ว่าที่นางสามารถรอดมาได้นั้นก็จะเป็นจากการบิดเบือนความจริงของปีศาจร้ายตัวนี้ก็เป็นได้ ก็เห็นกันอยู่ว่านางมีอิทธิฤทธิ์เพียงใด แค่ยกมือขึ้นก็สามารถดูดวิญญาณของพวกนางได้แล้ว แล้วเช่นนี้จะให้เชื่อได้เช่นไรว่าสวรรค์พิสูจน์ความจริงนี้อย่างเที่ยงธรรม "เป็นเพราะเล่ห์กลของเจ้าที่ทำให้นางฟื้นขึ้นมาต่างหาก หาใช่สวรรค์เป็นผู้พิสูจน์ความเป็นจริงแต่อย่างใด" "ใช่ๆๆๆ " ผู้คนโดยรอบต่างเห็นพ้องต้องกัน จนทำให้เหมยลี่ถึงกับต้องกุมขมับของตนเองนี่นางหลงเข้ามาในยุคสมัยใดกันแน่ เหตุใดความเชื่อที่ดูไร้แก่นสารของผู้คนพวกนี้ถึงได้เหนียวแน่นนัก "ข้าถูกใส่ร้าย" หลี่ไห่อิงกล่าวออกมาทั้งน้ำตา นางรู้ดีว่าถึงแม้จะกล่าวมันไปอีกหลายรอบ พวกเขาก็หาได้เชื่อในสิ่งที่นางพูดแต่อย่างใด นางถูกจัดฉาก และนางเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่ลงมือและอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั้น จะต้องเป็นคนสนิทของนางอย่างแน่นอน เหตุใดเหล่าสาวใช้ที่คอยอยู่ข้างกายนางเสมอ ถึงได้พร้อมใจกันหายไปในคืนนั้นได้ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้นางตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนั้นอีก เป็นนางเองที่โง่งม คิดว่าความดีและความมีน้ำใจของตนเอง จะสามารถซื้อใจสาวใช้เหล่านั้นให้จงรักภักดีกับตนเองได้ แต่ความจริงมันกลับเป็นเงินทองมากมายที่พวกนางได้รับต่างหาก ที่ซื้อความจริงใจอย่างแท้จริงได้ เหมยลี่ได้ฟังคำตอบจากหลี่ไห่อิง และยังสายตาที่ดูเจ็บปวดนั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจและเสียใจ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสตรีบอบบางผู้นี้กำลังพูดความจริง และความรู้สึกที่ อยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือนั้น เหตุใดถึงได้มีมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ของตนเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอด แต่เอาเถอะ ถือว่าพวกนางอาจจะมีวาสนาต่อกันถึงได้มาพบเจอกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเถิด การที่นางได้มายังสถานที่อันแปลกประหลาดในเวลาที่สตรีผู้นี้กำลังอยู่ในช่วงอันตรายของชีวิตก็คงจะเป็นลิขิตของสวรรค์กระมัง "วางใจเถิดข้าจะพิสูจน์ความเป็นจริงนี้ให้กับเจ้าเอง" สายตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเหมยลี่ ทำให้หัวใจที่รู้สึกปวดร้าวของหลี่ไห่อิง เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงแม้สตรีเบื้องหน้าของนางผู้นี้จะเป็นเพียงผู้เดียวที่เชื่อในคำพูดของนาง แต่มันกลับสร้างกำลังใจให้นางอยากจะมีชีวิตอีกครั้งอย่างท่วมท้น ทั้งๆ ที่ในตอนแรก นางได้ยอมแพ้กับชะตากรรมนี้ไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่อยากจะพิสูจน์ตนเองในตอนนี้กลับกระพรือขึ้นมาอีกครั้ง "ขอบใจเจ้ามาก" "เราไปกันเถิด" เหมยลี่ หันไปกล่าวกับหลี่ไห่อิงอย่างจริงใจ เธอยื่นมือไปกอบกุมมือของหลี่ไห่อิง เพื่อให้นางสามารถลุกยืนขึ้นมาเคียงข้างกัน "ขอบใจเจ้ามาก" เหมยลี่เบนสายตากลับไปจ้องมองที่ผู้คนโดยรอบด้วยสายตาน่ากลัว พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ในมือชูขึ้น เป็นผลให้ผู้คนเหล่านั้นต่างล่าถอยเปิดทางให้กับนางอย่างหวาดกลัว "อิงเอ๋อร์…!!!" เสียงเรียกที่ดูแผ่วเบาขององครักษ์จางหมิง ทำให้หลี่ไห่อิงต้องหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง นางยิ้มเย้ยหยันไปให้กับเขาก่อนที่จะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูติดเย็นชา "ท่านเป็นถึงองครักษ์ข้างกายของชินอ๋อง ที่ขึ้นชื่อว่ามากความสามารถมากที่สุด ก็ไปสืบความเอาเถอะ ว่าเรื่องราวที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร มันคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของท่านกระมัง แต่เรื่องราวของเราทั้งสองคนต่อจากนี้ ก็ขอให้จบสิ้นลงเพียงเท่านี้ ข้าไม่ต้องการที่จะกลับไปอยู่อย่างอัปยศอดสูยังที่แห่งนั้นอีกแล้ว ความรักของท่านมันเคยทำให้ข้าต้องอดทนกับการถูกกดขี่ แต่ในตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ข้าไม่มีเหตุจำเป็นอันใด ที่จะต้องกลับไป" หลี่ไห่อิงเดินตามหลังเหมยลี่ไป โดยไม่ได้หันกลับมาสนใจ กับสามีผู้ที่ไม่คิดจะเชื่อใจนางผู้นี้อีกต่อไปความผูกพันที่ผ่านมาทั้งหมด ก็ให้จบลงเพียงเท่านี้เถิด มาถึงตรงนี้องครักษ์จางหมิง ก็ได้แต่รู้สึกว่าเรื่องราวบางอย่างมันไม่ถูกต้อง เหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงได้ไม่คิดจะสืบสาวความเป็นจริงออกมา เหตุใดถึงได้เชื่อในสิ่งที่เห็น จนเลอะเลือนได้ถึงเพียงนี้ ความรู้สึกที่ถูกหักหลัง ทำให้เขาลืมสิ้นซึ่งข้อเท็จจริงที่ควรกระทำ เพราะเมื่อเขาหันไปเห็นสายตาของเฉินซื่ออิง ผู้เป็นฮูหยินรองของตนเองวูบไหวไปมาพร้อมกับประกายตาแห่งความหวาดกลัวบางอย่างก็ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน หากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่สงสัยแล้วล่ะก็ เขาคงต้องชดใช้ให้กับอิงเอ๋อร์อย่างไม่มีวันหมดเป็นแน่ เมื่อสตรีทั้ง 2 คนได้เดินออกมาพ้นสายตาของทุกคนแล้ว เหมยลี่ในตอนนี้ก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเข้าแล้ว พวกนางไม่มีเงินตำลึงติดตัว และไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยใด สิ่งที่ติดตัวมาของเธอในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถใช้ได้กับคนในยุคสมัยนี้หรือไม่ และเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะกลับไปยังยุคปัจจุบันเช่นใด ครั้งล่าสุดที่จำได้ คือเธออยู่ในร้านขายของเก่าและกำลังจ้องมองไปที่ กระจกทองเหลืองในยุคจีนโบราณ ที่มันดึงดูดสายตาจนทำให้เธอไม่สามารถ ละสายตาออกไปจากมันได้ เพียงแค่เธอสัมผัสกระจกทองเหลืองบานนั้น เมื่อมารู้สึกตัวอีกที ก็มาโผล่ในยุคสมัยนี้เสียแล้ว โดยไม่รับรู้เลยว่า เธอสลบไปนานเพียงใด เมื่อมารู้ตัวอีกที สมองของเธอก็มึนงงสับสนจนไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้อีกเลย ในขณะที่มืดแปดด้านอยู่นั้น สายตาของเธอก็ได้เหลือบไปเห็น ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของชุดคลุมผู้นั้น กำลังเดินไปยังเบื้องหน้า ไม่รอช้าหญิงสาวก็ได้ดึงหลี่ไห่อิง ให้เดินตามเธอไปอย่างรวดเร็ว หลี่ไห่อิงเองก็เหมือนจะรับรู้ความเป็นจริงบางอย่างเธอจึงได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ "แม่นางอย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังจะเดินตามบุรุษผู้นั้นไป" "ใช่ ข้าจะบอกว่าข้าไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ เพราะฉะนั้น ข้าไม่มีที่พักอาศัยที่พอจะให้เราทั้งสองคนได้มีที่พักแรมในคืนนี้ การเดินตามบุรุษผู้นั้นไป ถือเป็นเรื่องที่ข้าคิดออกเพียงอย่างเดียวในตอนนี้จริงๆ " เหมยลี่ยิ้มละไมออกมาพร้อมกับกล่าวสิ่งที่ตนเองคิดออกไป "แต่ข้าว่ามันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุรุษผู้ที่แม่นางกำลังจะเดินตามไป เขาคือบุรุษที่น่ากลัวที่สุดแคว้นเหลียวแล้ว" ถึงแม้นว่าสามีของนาง จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นองครักษ์คนสนิทของบุรุษที่น่ากลัวผู้นั้น แต่ก็ไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ใด หากพวกเขาทำงานผิดพลาดก็จะได้รับบทลงโทษที่น่ากลัวเสมอ นั่นคือความรู้สึกเดียวที่นางจดจำได้จากบุรุษผู้นั้น "อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือข้า ในตอนที่ผู้คนเหล่านั้นหวาดกลัว และพยายามที่จะทำร้ายเรา เจ้าดูสภาพของเราทั้งสองคนตอนนี้เถิด ว่ายังจะมีทางเลือกอื่นใดได้อีก" เหมยลี่ก้มลงไปสำรวจสภาพของตนเอง ชุดไม่เข้ากับยุคสมัย มีเพียงเสื้อคลุมกายนี้เท่านั้นที่สามารถปกปิดเรือนร่างของนางจากสายตาของผู้คน เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจและอาภรณ์ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำของหลี่ไห่อิงเอง ก็คงจะไม่สามารถปกปิดอันใดได้กระมัง หากพวกนางยังอยู่ในสภาพนี้ต่อไป เกรงว่าคงต้องจับไข้ และถูกหาว่าสติวิปลาสเป็นแน่ เกาเจี้ยนหานเอง ก็เหมือนจะรับรู้ว่ามีผู้ติดตามตนเองมา เมื่อเขาหันกลับไป ก็พบกับสายตาที่เหมือนกับลูกแมว ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือของเหมยลี่ เขาทำเป็นไม่สนใจ เดินต่อไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยกำแพงล้อมรอบ สถานที่แห่งนั้นสูงใหญ่ จนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้จากตรงนี้ เกาเจี้ยนหานเดินเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น เมื่อเหมยลี่เห็นเช่นนั้น ก็ไม่รอช้ารีบตะโกนออกไปเพื่อหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน "นี่ คุณชายได้โปรดหยุดก่อน" "นี่คือวิธีการเอาตัวรอดของเจ้ากระนั้นหรือ เหมยลี่ได้แต่ส่งยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดในชีวิตนี้ออกไปให้กับเขา นางไม่ได้รับรู้เลยว่าการกระทำนั้นของตนเองถึงกับทำให้บุรุษผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาที่สุดถึงกับใจเต้นผิดจังหวะ ถึงแม้นว่าสภาพของหญิงสาวในตอนนี้ จะไม่ได้ดูน่าหลงใหลเท่าใดนัก แต่มันก็เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกแปลกตา ด้วยใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดของนาง และยังผิวกายที่ขาวราวกับหิมะนั้น สามารถดึงดูดสายตาของบุรุษเพศได้ แม้แต่เกาเจี้ยนหานเองก็ไม่สามารถยกเว้นได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม