ชีวิตเจ้าหญิงเบลล์

1530 คำ
บทที่ 1ชีวิตเจ้าหญิงเบลล์ ฉันชื่อเบลล์ เบลนิต้า ไพศาลจิรสกุล อายุ 19 ย่าง 20 ปี ชีวิตของฉันไม่เคยลำบาก ตั้งแต่เกิดมาถูกเลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน ทุกคนต่างปฎิบัติเหมือนกับฉันเป็นเจ้าหญิง เพราะที่บ้านฉันมีฐานะค่อนข้างร่ำรวย มีเงินเหลือใช้ อีกอย่างหนึ่ง หน้าตาของฉันไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ถ้าถามว่ามีชายหนุ่มที่พึงพอใจไหม ต้องมีอยู่แล้ว ชายคนนั้นชื่อว่า คูเปอร์ นพดล เจริญสกุลรัตน์ อายุเท่ากันกับฉัน เราใช้ชีวิตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ตลอดจนนอนด้วยกัน นอนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามีอะไรในกอไผ่นะคะ ฉันใช้ชีวิตอยู่กับคูเปอร์จนถึงอายุ 15 ปี เป็นช่วงประมาณมัธยมต้น กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย วันหนึ่งระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน เห็นพ่อของคูเปอร์ยืนอยู่หน้าห้องของพ่อฉัน สีหน้าของลุงดูไม่ดีเอาเสียเลย จากนั้นฉันค่อย ๆ เดินเข้าไปแล้วได้ยินเสียงแปลก ๆ ก็เดาออกทันทีว่าพ่อของตัวเองกำลังมีอะไรกับแม่ของคูเปอร์อยู่ ในช่วงวินาทีนั้น ฉันเองก็เห็นคุณลุงผู้เป็นพ่อของคูเปอร์ซึ่งเป็นคนสวนของบ้านฉัน กำมีดในมือเอาไว้แน่น ฉันเดาออกทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร คุณลุงเขาคิดจะฆ่าพ่อของฉันจริง ๆ ฉันยืนตัวแข็งทื่อ ส่วนคุณลุงได้แต่เอามือหยาบกร้านมาปิดตาของฉันเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมา จนผ่านไปครู่หนึ่ง คุณลุงที่ยืนร้องไห้อยู่ทิ้งมีดที่อยู่ในมือแล้วเดินออกไปเงียบ ๆ เรื่องนี้คูเปอร์ไม่รู้ และฉันเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว เกลียดพ่อของตัวเองที่ทำแบบนี้ ได้แต่พร่ำบอกพ่อของตัวเองให้หยุดทำแบบนี้ เพราะฉันเป็นห่วงคูเปอร์ว่าจะรับไม่ได้ จึงเกิดการทะเลาะใหญ่โตระหว่างฉันกับพ่อ จนกระทั่ง… เรื่องราวทั้งหมดมันแดงขึ้นมา ความลับไม่มีในโลก เพราะพ่อของฉันไม่ยอมหยุดการกระทำที่ต่ำช้าแบบนี้ ทางคูเปอร์ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างมันก็พังพินาศ คุณลุงได้ฆ่าตัวตาย ส่วนคุณแม่ของคูเปอร์ทำงานเป็นคนใช้ก็พาคูเปอร์ย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ ในวันที่คูเปอร์จากไปเขาไม่หันกลับมามองฉันด้วยซ้ำ เขาคงเกลียดฉันไปแล้วแน่ ๆ นับแต่นั้นมาเขากับฉันก็ไม่ได้เจอกันอีก เวลาผ่านล่วงเลยไปเป็นเวลา 5 ปี พ่อของฉันก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพ พร้อมด้วยพี่ชายสองคน “อย่าร้องไห้ไปเลยเบลล์ ไหนว่าเกลียดคุณพ่อนักหนา” เสียงพี่ โยฮัน พี่ชายคนกลางพูด แล้วใช้มือหนาลูบหลังของฉันเบา ๆ “ถึงเขาจะเลวแค่ไหน เขาก็เป็นพ่อของฉัน” ใช่ ถึงเขาจะเป็นตาแก่ตัณหากลับแต่เขาก็คือพ่อคนเดียวของฉัน เพราะว่าแม่ของฉันเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก คนที่เลี้ยงมาก็คือพ่อ พอนึกย้อนไปตอนอายุ 5 ขวบ พ่ออุ้มฉันไปที่บริษัท มีพนักงานหญิงคนหนึ่งจะมาจับใบหน้าของฉัน กลับถูกพ่อตวาดกร้าว ‘พวกแกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าเอามือสกปรกมาจับเจ้าหญิงของฉัน’ ‘ปะ เปล่าค่ะบอส คือว่าฉันเห็นหนูเบลล์น่ารักดี ฉันก็เลยอยากจับ’ ‘ก่อนจะมาจับให้ไปล้างมือให้สะอาดซะ แล้วปฏิบัติกับลูกของฉันเหมือนเจ้าหญิงคนหนึ่งเข้าใจไหม!’ ‘ค่ะบอส’ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับพ่อผุดเข้ามาในหัวของฉันเป็นฉาก ๆ ถึงเขาจะเป็นคนเลว แต่ก็ไม่ได้เป็นพ่อที่แย่ “โอเคไหมเบลล์” เสียงพี่โยเซฟถามฉันด้วยความเป็นห่วง ถึงเราสามพี่น้อง จะต่างแม่กัน แต่พี่ ๆ เขาก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นเจ้าหญิงคนหนึ่งตามคำสั่งของคุณพ่อ เฮ้อ ตามใจแบบนี้ฉันถึงได้นิสัยไม่ค่อยดีแบบนี้ไง “ไม่โอเค แล้วทำอะไรงั้นเหรอ” ฉันตอบ “พี่จะไม่ไปไหนจนกว่าเบลล์จะโอเคไง” พี่โยฮันพูด “ปกติแล้วบ้านก็ไม่เคยกลับ ยังเรียกว่าเป็นกำลังใจได้หรือไง” “โห เบลล์ พี่ก็โตแล้ว เป็นนักศึกษา มันก็ต้องเที่ยวต้องสนุกบ้าง” “ที่ว่าสนุกนี่ เรื่องผู้หญิงอีกล่ะสิ ทำไมชอบทำตัวเหมือนพ่อกันอยู่เรื่อย” ฉันบ่นอุบอิบ นั่นก็ไม่ได้ทำให้พี่โยฮันสำนึกอะไรหรอก เสียงของฉันกับพี่โยฮันเถียงกันจนพี่โยเซฟต้องพูดบางอย่างออกมา “เอ่อ เบลล์พรุ่งนี้ต้องไปปฐมนิเทศนะ ที่มหาลัย ส่วนเรื่องอย่างอื่นเดี๋ยวพี่จัดการให้ ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้” พี่โยเซฟที่ไม่ค่อยพูด เอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง พี่คนนี้มักจะพูดก็ต่อเมื่อเรื่องที่มีสาระ ไม่เหมือนกับพี่โยฮัน รายนั้นพูดไปเรื่อย แต่เอ๊ะ! มาหาลัย? งั้นเหรอ ฉันจำได้ว่าสอบไม่ติดสักที่นี่นา เนื่องจากเกรดมันต่ำเกินจึงไม่มีที่ไหนรับ เฮ้อ ชีวิตมันเศร้า เกิดมาหน้าตาดี แต่หัวทึบ “เบลล์จำได้ว่าสอบไม่ติดนะ” “เรื่องนั้นคุณพ่อจัดการไว้ให้ บริจาคให้มหาวิทยาลัยไปหลายสิบล้าน เพื่อให้เบลล์ได้เข้ามหาวิทยาลัยได้นะ แต่คณะที่เบลล์จะเข้า เกรดมันต่ำกว่าเกณฑ์ จึงเหลือแค่คณะศิลปกรรมศาสตร์น่ะ เห็นเบลล์วาดรูปไม่แย่ พี่เลยเลือกคณะนั้นให้” “ทำไมถึงเลือกคณะนั้นให้เบลล์” “เบลล์อยากไปคณะเกษตรไหมล่ะ” โยเซฟเลิกคิ้วถาม “ไม่มีทาง เบลล์ไม่มีทางไปเด็ดขาด” “ฮ่า ๆ ๆ คนอย่างเจ้าหญิงเบลล์ ตอนนี้ไม่มีทางเลือกว่ะ” เสียงเจ้าพี่ชายโยฮันตัวดีพูดอย่างล้อเลียน “พี่โยฮัน!!!” ฉันเสียงเข้ม พร้อมกับทำหน้ามุ่ย อย่างไม่พอใจ “หือ เบลล์จะเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ไหมล่ะ ถ้าไม่เรียนก็ ดรอปไปปีหน้า พี่จะจ้างคนมาติวให้” พี่ชายคนโตถามความเห็น “เรียนค่ะ!!” ฉันตอบอย่างไม่คิด หากดรอปเรียนล่ะก็ถูกเยาะเย้ยจากเพื่อนสมัยมัธยมปลายแน่ ๆ เพราะตอนเรียนอยู่เป็นถึงควีน ดาวประจำโรงเรียน แต่การที่กลับไปเรียนศิลปะ มันทำให้ฉันคิดถึงคูเปอร์ ในตอนเป็นเด็กคูเปอร์มักจะสอนเรื่องนี้ให้กับฉัน ฉันถึงถนัดอยู่เรื่องเดียว “โอเค พี่จะได้ต่อสายตรงไปหาผู้บริหารของมหาลัย แต่ปีหนึ่งต้องอยู่หอในนะ” “หมายความว่าเบลล์ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นงั้นเหรอ” “ใช่ครับ” พี่โยเซฟยืนยัน ‘ไม่เอา T^T เบลล์ไม่อยู่’ “จะทำยังไงได้ล่ะครับ นั่นเป็นข้อตกลงของมหาลัยนะ อีกอย่างโยฮันอยู่มหาลัยเดียวกับเบลล์ด้วย ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก” “งั้นก็ให้เบลล์ ไปอยู่กับพี่โยฮันสิ แบบนี้คงไม่เป็นอะไรหรอก” พี่โยฮันทำหน้าเหวอ รีบละล่ำละลักพูดว่า “เฮ้ย ๆ ๆ ไม่ได้นะเบลล์ ไม่ได้เด็ดขาด” “ทำไมอ่ะ พี่น้องกันอยู่ด้วยกันไม่เห็นแปลก” “พี่รู้ว่าเป็นพี่น้อง แต่คนอื่นไม่รู้ว่าเราเป็นพี่น้องกัน เบลล์จะเสียหายไง” “เบลล์ไม่แคร์ เบลล์จะอยู่” ฉันดึงดัน ทางด้านพี่โยเซฟได้แต่ถอนหายใจเฮือก จากนั้นค่อย ๆ พูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “เบลล์ คุณพ่อฝากพี่ให้ดูแล ท่านบอกว่าอะไรยอมได้ก็ยอม อะไรที่มากเกินไป ก็ให้จัดการตามสมควร ตอนนี้พี่คือหัวหน้าครอบครัวภายในบ้าน เบลล์ควรจะฟังพี่” “ไม่จริงอ่ะ คุณพ่อไม่เคยกล้าขัดเบลล์ พวกพี่โกหก” “ถ้าอย่างนั้น เงินค่าขนมที่พ่อให้เดือนละ 60000 พี่จะลดเหลือเดือนละหมื่น หากเบลล์ไม่ยอม” เฮือก! ฉันหน้าเหวอ ทำไมพี่โยเซฟต้องใช้มาตรการเด็ดขาดด้วยนะ ถ้าอย่างนั้น “ฮืออออ ฮึก ฮือ พี่ ๆ ใจร้าย เบลล์คือผู้อาภัพ เกิดมาไม่มีแม่ พ่อก็พึ่งเสีย แถมพี่ ๆ ยังไม่รักเบลล์อีก” ฉันเอามือปิดหน้าร้องห่มร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย แถมด้วยสูดน้ำมูกครั้งหนึ่ง “เฮ้อ/เฮ้อ” เสียงพี่ชายทั้งสองถอนหายใจหนัก จากนั้นพี่โยเซฟพูดด้วยใบหน้าที่ราบเรียบว่า “ไม่เนียนเบลล์ พี่รู้ทัน” “หือ?” ฉันเอามือลง หยุดร้องไห้ทันที พร้อมกับพูดด้วยความจำยอมว่า “ก็ได้” ใครมันจะไปคิดว่าหลังจากที่พ่อตายจะโดนพวกพี่ ๆ กำราบแบบนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าหญิงคนนี้จะหาทางออกจากหอสกปรก ๆ นั่นเอง ถ้าหากพี่โยฮันไม่ให้อยู่ด้วย ก็เหมาซื้อตึกทั้งตึกเพื่ออยู่คนเดียวไปซะเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม