บทที่ 3 เจอหน้าครั้งแรก และเล่าชีวประวัติเล็กน้อย
“คะ…คูเปอร์” ฉันเอ่ยเรียกเสียงสั่น ช็อคค่ะช็อค
“หยุดได้แล้ว เบลล์ คนมองอยู่นะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ
“อะ…อืม” ฉันตอบรับอย่างโดยดี เป็นไงล่ะ ผู้ชายพูดคำเดียวหยุดนิสัยก้าวร้าวเลย
“เอาล่ะค่ะ อย่าทำเรื่องเล็กให้มันเป็นเรื่องใหญ่นะคะ รีบ ๆ ลงชื่อแล้วไปนั่งได้เลยค่ะ”
ฉันพยักหน้าหงึก ๆ อย่างจำยอม ใช้สายตาอันคมกริบตวัดมอง
คูเปอร์ ตอนนี้เขากำลังคุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางที่อ่อนโยน แถมดูแล้วเขาน่าจะป๊อบที่สุดในหมู่ผู้หญิงอีกด้วย ทำไมถึงต้องรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ด้วยนะ
“หึ” ฉันส่งเสียงเย้ยหยันในลำคอ จากนั้นเดินกระฟัดกระเฟียดมานั่งบนเก้าอี้ที่เขาเตรียมไว้ให้
1 ชั่วโมงผ่านไป
ฉันนั่งสัปหงกหลายรอบ ตื่นขึ้นมาหลายหน เหล่าอาจารย์คณะผู้บริหาร ทำไมยังพูดไม่จบ ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย ผู้คนที่ประสบความสำเร็จที่นี่ เรียนแล้วมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานแค่ไหน บอกเลยว่าน่าเบื่อ แถมชวนง่วงนอนอีกต่างหาก
“เฮ้อ” ฉันกรอกตาเบะปากมองบนด้วยถอนหายใจความเบื่อหน่ายจากนั้นค่อย ๆ เอนศีรษะพิงเก้าอี้เพื่อนอนหลับอีกครั้ง ไม่อยากตื่นมาดูคูเปอร์คุยกับผู้หญิงคนอื่นหรอกนะ นอน ๆ ไปซะจะดีกว่า
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ด้านข้างของฉันก็มีนิ้วหนา ๆ มาจิ้มสองสามที มันทำให้ฉันต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาดู ใครกันช่างไร้มารยาทคนจะหลับจะนอนแล้วมาปลุก
“เธอ ๆ ๆ”
“มีอะไร” ฉันถามเสียงนิ่ง เพราะเวลาที่ฉันพึ่งตื่นอารมณ์มันไม่คงที่
“ไม่ออกไปเหรอ ปฐมนิเทศเลิกแล้วนะ คนกำลังออกไปกัน เห็นเธอนอนอยู่ กลัวว่าตื่นจะไม่เจอใคร ผมเลยปลุกน่ะ” ชายหนุ่มหน้าตาดีพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล
ฉันได้แต่ขมวดคิ้วแน่น พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“จิงด้วยแฮะ..เอ่อ แล้วช่วงบ่ายต้องมาอีกไหม”
“ไม่แล้วล่ะครับ เห็นคณะอาจารย์กับผู้บริหารมีประชุมใหญ่ นอกนั้นให้นักศึกษาพักผ่อนตามอัธยาศัย หรือว่าจะกลับห้อง ไปกินข้าวหรือเที่ยวก็ได้ครับ แล้วคุณชื่ออะไรครับ ผมเตนะ”
ผู้ชายคนนี้….ร่ายยาวเหยียด แถมพูดในสิ่งที่ฉันไม่ได้ถาม….จริงสิ แล้ว
คูเปอร์ล่ะ ฉันต้องคุยกับเขา ต้องสานสัมพันธ์ให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม
คิดได้ดังนั้นฉันก็ลุกขึ้นพรวด ฝ่าฝูงชนเยอะเหมือนกับปลวก แหวกทางซ้ายทีทางขวาที จนลืมตอบคำถามผู้ชายเมื่อครู่นี้ไปเลย
เพียงชั่วพริบตา ก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของชายคนรัก
“คูเปอร์!!!” ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง พร้อมกับโบกมือหยอย ๆ ว่าฉันอยู่ทางนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็หันมาตามเสียงที่เรียก จนฉันวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคูเปอร์ จากนั้นยิงคำถามที่อยากจะถามออกมา
“นายหายไปไหนมา”
“อืม พอดีว่าย้ายไปอยู่อีกเขตหนึ่งน่ะ”
“เรื่องราวที่ผ่านมา นายโกรธฉันไหม”
“ผมจะโกรธทำไมล่ะ เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับคุณ” เขาพูดแต่ดวงตาของเขามองไปทางอื่น เขามักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่โกหก
“อ่อ อื้ม… ถ้าอย่างนั้นเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม มาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมได้ไหม”
“ได้สิ” คูเปอร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง มันทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเขาไม่เต็มใจ
“จริงนะ” ฉันพูดอย่าตื่นเต้น ถึงแม้จะรู้คำตอบอยู่ในใจแล้วก็ตาม “ไปส่งฉันหน้าหอได้ไหมพอดีว่าฉันกลัวหลงทางน่ะ นายก็รู้ว่าฉันมักจะหลงทางอยู่บ่อย ๆ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน เพราะคูเปอร์เป็นคนเดียวที่ฉันพูดดีด้วย และอยากจะทำดีด้วย
คูเปอร์ขมวดคิ้ว มีท่าทางที่ครุ่นคิดพลางตอบว่า “ขอโทษด้วยนะ พอดีผมมีนัดแล้ว”
“นัดเหรอ?”
“อืม” เขาพยักหน้าเบา ๆ
ทันใดนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งโบกมือมา เธอส่งยิ้มร่า แล้วเอ่ยเรียกชื่อของคูเปอร์ดูท่าทางสนิทสนิม
“คูเปอร์ ทางนี้”
ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่มีเรื่องกับฉันไปหมาด ๆ นี่นา
กรอด! เอาละ….ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้
“นัดที่ว่านี่คือกับเธอเหรอ” ฉันถามโง่ ๆ ออกไปทั้ง ๆ ที่หลักฐานมันก็อยู่ตำตา
“ใช่ พอดีนัดไปทานข้าวด้วยกันน่ะ ไปด้วยกันไหมเบลล์”
“ไม่ไปอ่ะ เอาโทรศัพท์มาหน่อยสิ”
“ทำไม” คูเปอร์ถามอย่างประหลาดใจ
“เอามาเถอะ”
“…..” เขาไม่พูดอะไรแต่ก็ยอมล้วงโทรศัพท์ส่งมาให้ฉัน ในระหว่างนี้ ฉันจึงใช้โอกาสโทรเข้าเบอร์มือถือของตัวเอง….แค่นี้ก็เรียบร้อยถึงยังไงเขาก็ต้องป็นของฉันอยู่ดี
“เรียบร้อย ไว้เจอกันนะ”
“อืม” เขาตอบรับเพียงสั้น ๆ จากนั้นหันไปยิ้มให้ผู้หญิงหัวสีเขียวเหมือนแมลงวันหัวเขียวนั่นแทน เชอะ วันนี้ฉันยอมให้ไปก่อน
ผ่านไปไม่นาน
ฉันเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงตามทางเดินเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้ว่าหอของตัวเองอยู่ที่ไหน ฮือ ฉันลืมถามพี่โยเซฟ รายนั้นพูดน้อยซะด้วย หากไม่ถามก็ไม่พูด คงจะคิดว่าฉันมีปฐมนิเทศจนถึงบ่ายแน่ ๆ เพราะป่านนี้ยังไม่มารับ
เฮ้อ ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ในระหว่างนี้เล่าเรื่องครอบครัวของฉันให้ฟังดีกว่านะคะ
พี่โยเซฟ ชื่อจริง จิรวัฒน์ ไพศาลจิรสกุล อายุ 32 ปี สถานะ ยังไม่มีภรรยา เป็นพี่ชายคนโตของบ้าน ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งฉลาด คุณพ่อจึงวางใจ และวางมือจากธุรกิจให้พี่โยเซฟคอยดูแล ในแต่ละวันพี่เขาถึงทำงานเหมือนคนติดหนี้ ทำงานหนักเหมือนที่บ้านยากจนอย่างไรอย่างนั้น ฉันถึงไม่อยากโทรไปรบกวนเท่าไหร่ ถึงมาเดินเตะฝุ่นเล่นอยู่นี่ไง
หากพูดถึงพี่โยเซฟแล้ว จะพูดถึงพี่โยฮันไม่ได้ พี่โยฮัน จิรพงษ์ ไพศาลจิรสกุล อายุ 23 ปี สถานะ มีแฟนหรือยังไม่รู้ แต่พี่เขาเป็น
เพลย์บอย พี่โยฮันเป็นผู้ชายที่ฉลาด เก่ง หน้าตาดี แต่ติดเล่นไปนิด พอถึงเวลาจริงจังขึ้นมาน่ากลัวมาก กอ ไก่ล้านตัวเลย แหะ ๆ แต่ฉันยังไม่เคยเห็นนะ เพราะพี่เขารักฉันที่สุดในโลกยังไงล่ะ
คนสุดท้ายคือฉันเอง เบลล์ เบลนิต้า เป็นน้องเล็กที่สุดในบ้าน ถูกสปอยมาตั้งแต่เด็ก สถานะ รักคูเปอร์ค่ะ อนาคตก็อยากแต่งงานกับ
คูเปอร์ นิสัยเหรอคะ ฉันก็ว่าฉันนิสัยดีอยู่ประมาณหนึ่งค่ะ ตรงไปตรงมาแบบนั้นเรียกดีไหมคะ….
เกิดมามารดาผู้ให้กำเนิดก็เสียชีวิตเลย คุณพ่อเสียใจเรื่องคุณแม่หนักจึงกลายเป็นตาแก่ตัณหากลับ ฉันถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ของคูเปอร์ จึงเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ส่วนคนสอนให้ฉันเป็นคนแบบไหน ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ชายทั้งสองคนซะมากกว่า เรื่องอันไหนถูกผิด ไม่เคยคิดจะว่าน้องสาวแบบฉัน สรุปคือ ฉันเติบโตมาด้วยการที่ถูกตามใจ และถูกสปอยมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง แต่ แต่ แต่ มีคนหนึ่งนะคะที่ฉันฟัง และยอมทุกอย่าง คือคูเปอร์ค่ะ
ครืด~ ครืด~ เสียงโทรศัพท์มือถือราคาแพงสั่นอยู่ในกระเป๋าใบหรู ทำให้ฉันเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ จากนั้นฉันใช้มือบางหยิบมันออกมา ไม่รอช้ากดรับสายทันที
“ฮัลโหล”
[เบลล์ พี่ลืมบอกที่อยู่ของหอ]
“พี่โยเซฟเหรอ ยังนึกได้หรือไงว่ามีน้องสาวเดินระหกระเหินอยู่ข้างถนนแบบนี้”
[หือ เดิน? งั้นเหรอ ไม่ได้ปฐมนิเทศอยู่เหรอ]
“ไม่ค่ะ มีคนบอกว่าเหล่าคณะอาจารย์มีประชุมสำคัญในภาคบ่าย จึงให้นักศึกษาทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งเบลล์ไม่มีที่ไป ไม่รู้จักที่ไหน ไม่เคยออกจากบ้าน ไม่รู้จักใครและไม่มีเพื่อนด้วยพี่จะให้เบลล์ไปไหนคะ หากพี่มาโทรมาช้ากว่านี้ บางทีเบลล์อาจจะกลายเป็นคนเร่ร่อนไปแล้ว” ฉันร่ายยาว
[เว่อร์แล้ว พี่ขอโทษนะเบลล์ พอดีพี่ติดประชุมเรื่องงาน ภายในบริษัทมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวพี่ส่งโลเคชั่นให้นะ เป็นเด็กดีนะครับ มีอะไรโทรหาพี่นะ แต่ให้โทรหาตอนที่ไม่ใช่เวลาทำงาน งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ]
ติ้ด!
เสียงกดตัดมื่อจบการสนทนา
“มีอะไรโทรหาพี่นะ แต่ไม่ใช่เวลาทำงาน ฮึ! ไอ้พี่บ้า พี่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วจะโทรไปหาตอนไหน พูดอะไรไม่ดูความเป็นจริงบ้างเลย” ฉันพูดอย่างล้อเลียน เบะปากมองบนแล้วถอนหายใจออกมา
เบา ๆ
เพียงชั่วพริบตาเสียงแจ้งเตือนข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งหมายความว่าพี่โยเซฟได้ส่งโลเคชั่นมาให้ฉันแล้ว และไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือว่าโชคดีของฉัน ด้านหน้าทางเดินได้มีแท็กซี่อยู่คันหนึ่งพอดี สถานะมันขึ้นไฟสีเขียวว่า ว่าง
ฉันจึงโบกมือเรียกให้มารับฉันตรงนี้ พลันเมื่อรถแท็กซี่มาจอดอยู่ตรงหน้าฉันใช้มือเรียวเอื้อมไปเปิดทางเบาะหลังแล้วพูดว่า
“ไปหอในตึกกัลยาค่ะ”
“ขึ้นรถเลยครับ”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ แล้วหย่อนก้นนั่งลงทางเบาะด้านหลัง เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยได้ขึ้นรถแท็กซี่แบบนี้ แต่กลิ่นภายในรถมันค่อนข้างแรงพอสมควร จึงต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้
ใช้เวลาเพียงไม่นานรถแท็กซี่คันสีเขียวเหลือง ได้จอดอยู่หน้าตึกหอหญิง ทางด้านหน้ามีป้ายสี่เหลี่ยมตัวใหญ่ ๆ เขียนเอาไว้ว่า ‘หอกัลยา’
“เท่าไหร่คะ” ฉันถามคนขับรถแท็กซี่เพื่อจะจ่ายค่ารถ
“40 ครับ”
หือ แค่ 40 บาทเองเหรอ เท่านี้มันเป็นแค่เศษเงินของฉันเท่านั้นแหละ ฮึ ฉันยิ้มเล็กยิ้มน้อย พลางเปิดกระเป๋าสะพายหรูขึ้นมา ก่อนจะเปิดกระเป๋าเงินราคาเหยียบแสน ทว่า…ดูจากการคาดเดาในระยะสายตาแล้วนั้น. ในกระเป๋าเงิน ไม่มีเงินเลยซักบาทค่ะ ลืมไปเสียสนิทว่าไปไหน มาไหน พี่โยเซฟกับพี่โยฮันจะจ่ายให้ตลอด ฉันจึงไม่เคยใช้เงินสดเลย….
พลันคำพูดของคุณพ่อของฉันได้ผุดเข้ามาในหัว ครั้งหนึ่งคุณพ่อบอกไว้ว่าวันไหนหากไม่มีเงินให้หยิบบัตรใบนี้ขึ้นมา มันคือตัวแทนของเงิน ตัวแทนของคนมีเงิน มันบ่งบอกได้ว่าสถานะที่บ้านของเรารวยแค่ไหน เพราะว่ามันคือบัตร wisdom มีเงินให้ใช้ไม่จำกัด
คิดได้ดังนั้น ฉันหยิบบัตรสีเหลี่ยมผืนผ้า ใบสีเทา แถบแดงขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้คนขับรถแท็กซี่ ชายคนนั้นทำหน้าประหลาดใจ พร้อมกับพูดว่า
“อะไรครับ”
“นี่ไงคะ ค่าแท็กซี่ไง”
“ผมรับเป็นเงินครับ ไม่ใช่บัตรหรือนามบัตรอะไรไม่รู้”
“บัตรอะไรไม่รู้งั้นเหรอ นี่มันบัตร Wisdom นะคะ คนที่จะมีมันได้ต้องเป็นคนที่รวยเท่านั้น รู้ไหม”
“ไม่รู้หรอกครับ ว่าคุณจะรวยหรือไม่รวย แต่คุณต้องจ่ายค่าแท็กซี่ให้ผมเป็นเงินสด คุณรวยขนาดนั้นทำไมถึงไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่”
“ก็ฉันไม่มีเงินสดไง เอาบัตรนี่รูด ๆ ไปก็จบแล้ว จะอะไรนักหนา” ฉันพูดอย่างฟึดฟัด มันน่ารำคาญจริง ๆ
“นี่จะชักดาบกันใช่ไหม หน้าตาก็ดี แต่ทำตัวเป็นมิจฉาชีพ ถ้าไม่จ่ายก็ไปที่โรงพัก”
“อะไรนะ ฉันไม่ไป ฉันจะจ่ายนี่ไง”
“ด้วยบัตรอันนี้ใช่ไหม”
“ใช่” ฉันยืนยันหนักแน่น
“เสียเวลาชะมัด ไปโรงพัก”
“ไม่ไปโว้ย” ฉันยืนยันเสียงแข็งแล้วเปิดประตูเพื่อจะลงรถไป แต่อีตาขับรถแท็กซี่คันนั้นมันตะโกนไล่หลังมาว่า
“หยุดนะโว้ยยยย อย่ามาชักดาบกันแบบนี้นะโว้ย อย่าหนีนะ”
“ช่วยด้วยยยยยยย” ฉันร้องตะโกนเสียงหลงเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นถืออาวุธมาด้วย “กรี๊ดดด” ฉันจะตายวันนี้เลยงั้นเหรอ ฉันยังไม่ทันได้แต่งงานกับคูเปอร์เลย ฮืออออ
เพียงชั่วพริบตา ในขณะที่วิ่ง กลับมีมือหนาฉุดฉันเข้าไปที่มุมตึก
หมับ!