คุณราม หรือ นายแพทย์ราเมศวร์ นิชกูรวราง เป็นชายวัยสามสิบสามผู้เป็นประมุขของบ้าน พ่อแม่ของท่านเสียด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ท่านกำลังแตกเนื้อหนุ่ม แต่คุณรามก็เข้มแข็งและตั้งใจเรียนกระทั่งจบสูตินรีแพทย์และสืบสานกิจการโรงพยาบาลของตระกูล
คุณรามเคยแต่งงานแต่ก็เสียคนรักที่ชื่อรุจี ขณะกำลังตั้งครรภ์ได้เพียงเดือนกว่าด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสามปีก่อนที่เขาเป็นคนขับ และนั่นเป็นเหตุให้คุณรามกลายเป็นคนเก็บตัวและเงียบขรึม
“ น่าสงสารท่านจังเลยนะจ๊ะป้า ต้องมาเสียเมียกับลูกไปพร้อม ๆ กัน ”
“ ใช่ แล้วท่านก็ไม่เคยชายตามองใครอีกเลย ท่านน่ะ รักคุณรุจีเหลือเกิน คุณรุจีเธอเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลของคุณราม ทั้งสวยทั้งอ่อนหวานเรียบร้อยสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ตอนนี้ชีวิตของท่านจึงทุ่มเทให้กับงาน งาน แล้วก็งานเพราะการทำงานคงจะทำให้ท่านลืมเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นได้บ้าง ขยายสาขาของโรงพยาบาลไปตามหัวเมืองใหญ่ ตัวเองก็ร่ำเรียนหาความรู้ใส่ตัวไม่หยุดหย่อน จนตอนนี้คุณรามก็เป็นสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คนไข้ให้ความเชื่อถือและมาทำการตรวจรักษา นี่ล่ะเหตุที่หนูวุ้นไม่ได้เจอคุณรามเสียทีก็เพราะท่านเอาแต่ขลุกอยู่กับงาน ”
จริง ๆ แล้วผู้ชายวัยสามสิบสามก็คงจะยังไม่แก่เท่าไร แต่คำบอกเล่าของป้าสมรทำให้วุ้นหวานวาดภาพคุณรามว่า คงจะเป็นผู้ชายท่าทางเคร่งขรึมสวมแว่นหนาเตอะตามสไตล์คุณหมอผู้คงแก่เรียนเพราะไม่เคยได้เห็นท่านตัวเป็น ๆ สักที แม้ว่าเธอจะเคยตามพี่พลอย หนึ่งในสาวรับใช้เข้าไปทำความสะอาดในเรือนหลังใหญ่แต่ก็พบเพียงภาพครอบครัว ขนาดใหญ่ติดที่ผนังทางเดินขึ้นชั้นสอง ตั้งแต่สมัยคุณท่านที่เป็นบิดามารดาของคุณรามยังมีชีวิตอยู่ และคุณรามเป็นเด็กชายอายุราวสักเจ็ดแปดขวบเท่านั้น
“ คุณรามท่านก็ตัวสูง สูงมากใหญ่มาก แต่ไว้ตัวพอควร ไม่ค่อยพูดค่อยจาหรอก ขนาดพี่มาอยู่ที่นี่ตั้งสามปีแล้วยังเคยพูดกับท่านไม่ถึงสิบครั้ง หน้าของท่านพี่ยังไม่กล้ามองเลย ”
“ น่ากลัวเหรอพี่พลอย ท่านดุเหรอ ”
“ ก็ไม่เชิง แต่เวลาเข้าใกล้แล้วทำให้รู้สึกหวาด ๆ คงเพราะความเงียบขรึมไม่พูดไม่จามั้ง ”
คำบอกเล่าของพี่พลอยทำให้วุ้นหวานรู้สึกเกรงคุณรามอยู่มากแม้จะยังไม่เคยพบเจอสักครั้ง ก็คงจะเป็นธรรมดาของพวกคนร่ำคนรวยที่เธอได้เห็นจากในละคร เจ้ายศเจ้าอย่างไว้ตัวตามประสานายบ่าว หรืออาจจะเพราะความโศกเศร้าที่เสียคนรักไปมันเลยเกาะกินใจและจิตวิญญาณจนไร้ชีวิตชีวากระมัง วุ้นหวานได้แต่คิดไปตามประสาและแอบสงสาร คุณรามไปด้วย
แต่ก็นั่นละ เขาคงไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำสักเท่าไรหรอกเพราะหากเป็นเช่นนั้นคงไม่อนุญาตให้เธอได้มาอาศัยบารมีเพื่อซุกหัวนอน
วุ้นหวานอยู่ที่นั่นจนครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่ได้พบคุณรามอยู่ดี เดาว่าท่านคงยุ่งอยู่กับงานจนกระทั่งไม่มีเวลากลับบ้าน หรือถ้ามาก็เป็นช่วงที่เธอเข้าเรือนนอนคนรับใช้ไปแล้วและออกไปทำงานแต่เช้า แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนอาศัยอย่างเธอ ครั้นจะไปถามคนอื่นให้หายสงสัยก็ดูจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป และถ้าถึงหูป้าจันดีล่ะก็คงโดนเอ็ดจนหูชาแน่
กระทั่งในคืนวันที่สิบห้า กานต์แฟนหนุ่มของวุ้นหวานที่พึ่งเข้ามาเตรียมตัวเข้าหอพักเพราะใกล้เปิดเรียน เขานั่งแท็กซี่มาหาวุ้นหวานที่บ้านนั้นและไม่ลืมที่จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือมาฝากป้าจันดีด้วย บรรยากาศมึนตึงในคราวแรกที่ป้ารู้ว่าเธอจะมีผู้ชายมาหาจึงบรรเทาเบาบางลงบ้าง อีกทั้งบุคลิกของกานต์ที่เป็นเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสันทัด สวมแว่น ใบหน้าดูใจดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนที่รู้จักพูดจาเข้าหาผู้ใหญ่ทำให้ป้าจันดีคลายใจลงได้
ป้าอนุญาตให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันในสวนข้างเรือนคนใช้ที่มีโต๊ะไม้หินอ่อนตั้งอยู่จนกระทั่งถึงเวลาร่วมสองทุ่ม กานต์ก็ขอตัวกลับ
“ กลับดี ๆ นะกานต์ ”
“ อืม ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราโทรหานะวุ้น ”
“ จ้ะ ”
วุ้นหวานเดินไปส่งเขาที่หน้าประตู โบกมือให้แฟนหนุ่มส่งยิ้มใจดีมาให้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน ในวันที่เธอไม่เหลือใครก็ยังมีเขาที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
เธอเดินกลับเข้ามาในบ้านเข้าไปอาบน้ำอาบท่า เมื่อออกมาก็พบว่าป้าจันดีหลับไปแล้ว แต่เธอเองยังไม่ง่วง ประกอบกับเมื่อครู่เห็นพระจันทร์ดวงโตสวยงาม ลมพัดโชยเอื่อยตลอดเวลา จึงคิดว่าบรรยากาศดีเช่นนี้จะออกไปนั่งเขียนนิยายในโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะหินอ่อนข้างบ้านเมื่อครู่
ท่ามกลางความเงียบสงัด แสงจันทร์สีเหลืองนวลจากพระจันทร์ดวงโตที่แขวนอยู่บนแผ่นฟ้า สายลมพลิ้วแผ่วนั้นช่วยให้เธอพร่างพรูจินตนาการออกมาได้รวดเร็วหลั่งไหล
วุ้นหวานก้มหน้าพิมพ์นิยายในโปรแกรมพิมพ์เอกสารในโทรศัพท์มือถืออย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งนาฬิกาบนหน้าจอบอกเวลา 23.00 น.
“ ตายละ เผลอแป๊บเดียวห้าทุ่มแล้วเหรอเนี่ย แต่ยังไม่ง่วงเลย ” วุ้นหวานบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยืดเหยียด บิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ พลันสายตาก็ไปปะทะกับแสงที่สาดส่องมาจากทางเรือนใหญ่
“ ใครเปิดไฟตรงมุมเรือนใหญ่กันนะ ตรงนั้นมันน่าจะเป็นสระว่ายน้ำหรือเปล่า หรือว่าลุงดำจะลืมปิด ”เธอพึมพำกับตัวเอง