"แล้วนี่เอ็งเจ็บตรงไหนหรือไม่"
หลังจากเหตุการณ์ในตลาดสงบลงคนงามก็ตรงเข้าไปหาสหายทันที เขาพลิกตัวคนตัวโตไปมาให้แน่ใจ ก่อนจะปล่อยตัวอีกคนไปในที่สุด
อันที่จริงคนที่สมควรถูกถามว่าเป็นอะไรไหมควรเป็นคนที่ถูกไกรทองต่อยมากกว่า แต่อย่างไรเสียเจ้าคนตัวโตก็มาช่วยเขาเอาไว้
"ไม่ต้องห่วงข้าหรอกคนงาม ข้าไม่เป็นอันใด แล้วเอ็งล่ะเจ็บตรงไหนหรือไม่"
ดวงตาคู่คมมองสำรวจร่างของคนตัวขาวอย่างพินิจ ทั่วกายละเอียดไร้รอยขีดข่วน ช่วงแขนที่เคยมีรอยแดงจากการบีบก็หายไปแล้ว อย่างกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น
เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่คนงามมีแผล มันก็หายไปรวดเร็วเช่นนี้เหมือนกัน
"พวกเอ็งสองคนมาด้วยกันรึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน"
คนในหมู่บ้านที่เดินไปเดินมาทยอยมามุงดูพวกเขาทั้งสอง จากก่อนหน้าที่คนรอบข้างล้อมเยอะอยู่แล้ว ในตอนนี้ยิ่งเยอะเข้าไปอีก
ไกรทองผูกมิตรกับคนอื่นๆโดยการเล่าเรื่องราวคร่าวๆของตัวเองให้พวกเขาฟัง โดยที่เขาเล่าว่าตนนั้นมาจากเมืองนนทบุรี มาที่เมืองพิจิตรเพื่อมาปราบจระเข้
คำตอบนั้นเองก็ทำให้ชาวบ้านหลายๆคนชื่นอกชื่นใจไม่น้อย จากที่ต้อนรับอยู่แล้วก็ยิ่งต้อนรับมากขึ้นไปอีก
เนื่องจากเมื่อครู่ไกรทองได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตัวเองแล้ว ชาวบ้านที่นี่จึงมีหวังบ้างที่จะมีคนสามารถกำจัดจระเข้ที่ออกอาละวาดได้
"เป็นโชคดีของพวกเรายิ่งนักที่ได้มือปราบมีฝีมือมาช่วยเหลือ หน่วยกานเอ็งก็ดี แถมหน้าตาเอ็งก็ดูเป็นคนมีสง่าราศรี ข้าเชื่อว่าฟ้าต้องส่งเอ็งมาช่วยเราเป็นแน่"
แม้คำพูดเยินยอนั้นจะดูมากเกินไปเสียหน่อย แต่คนงามข้างกายร่างสูงรู้ดีว่าคำสรรเสริญนี้ไม่ได้มากเกินไปเลย
ไกรทองนั้นมากความสามารถจริงๆ อีกทั้งในวรรณคดียังเป็นคนที่จะมาจัดการพวกขระเข้ที่ระรานชาวบ้านให้อย่างที่ว่า
"จริงสิพวกเอ็งสองคนรู้จักกันด้วยหรือ"
อีกคำถามที่ไม่หลุดรอดพ้นคงเป็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เพราะเมื่อครู่ไกรทองมาช่วยคนงามเอาไว้ด้วยท่าทีที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าใครๆก็ดูออกทั้งนั้นว่าทั้งคู่รู้จักกัน
"รู้จักสิ สนิทกันชนิดข้ากับเขานอนด้วยกันทุกคืนด้วยซ้ำ"
ไกรทองตอบหน้าตาย คนรอบข้างนิ่งค้าง ส่วนคนงามก็ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย สำหรับตัวเขาผู้ชายนอนด้วยกันก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก นอนก็นอนเฉยๆถ้ามากกกว่านั้นสิว่าไปอย่าง
"เอ็งชอบแย่งผ้าห่มข้า"
เจ้าของดวงตาสีปีกกาตอบเสียงเรียบ แต่แทนที่เจ้าตัวจะแย้งเรื่องที่คนตัวสูงพูดสองแง่สองง่าม นี่กลับมาบ่นเรื่องแย่งผ้าห่มแทนหรือนี่
"เอ่อ..ขออภัยที่ถามเรื่องส่วนตัวทั้งคู่"
ชาวบ้านแต่ละคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เอาเป็นว่ารู้กันโดยไม่ต้องพูดแล้วหันไปสนทนาเรื่องอื่นเสียดีกว่า
คนตัวขาวหันหน้าไปหาไกรทองพลางเอียงคอเป็นเชิงถาม เพราะเขาได้รับสายตาแปลกๆจากคนอื่นๆมาจึงอยากรู้ว่าตนพูดอะไรผิดไป
"ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก ข้าว่าเวลานี้เรากลับบ้านกันดีกว่าหนา"
ไกรทองว่าพลางโอบเอวบางเข้าหาตัว ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะได้ก้าวเท้าออกจากบริเวณ ก็มีใครหลายๆคนทักพวกเขาไว้เสียก่อน
"เอ้อ! จริงสิพ่อหนุ่มไกรทอง อีกไม่กี่วันข้างหน้าเมืองเราจะจัดงานเทศกาลกัน มีแข่งมวยด้วยหนา หากเอ็งสนใจลองมาประลองหน่อยดีหรือไม่ ได้เงินเยอะเชียวแหละ"
ทีแรกทั้งคู่ก็กะจะเดินตัวปลิวกลับที่พักแต่ยามเมื่อคนงามได้ยินคำว่า'เงินเยอะ'เขาก็รีบกระตุกเสื้อคนข้างกายไว้ก่อนทันที
"เอ็งอยากให้ข้าประลองมวยหรือ"
"ข้าเชื่อว่าเอ็งเก่ง ต้องชนะเป็นแน่"
แม้จะไม่ได้บอกตรงๆว่าอยากให้ร่างสูงแข่ง แต่จากน้ำเสียงและสายตาที่มองมา มันก็ชัดเจนแล้วว่าคนงามอยากเห็นฝีมืออันเก่งกาจของเขา
(อันหลังไกรทองเติมเอง)
"เช่นนั้น ข้าแข่งด้วย ต้องลงชื่อที่ไหนรึ?"
หลายวันต่อมาในช่วงค่ำคือของวันงานเทศกาล เรียกได้ว่าจากที่เดิมทีเมืองนี้มีคนพลุพล่าน ยามนี้เมื่อผู้คนมารวมตัวกันก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเมืองนี้มีคนอาศัยอยู่มากมายขนาดไหน
อาจจะด้วยที่ว่าแถวนี้เป็นเมืองติดริมน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าที่ไหนมีน้ำอยู่ที่นั่นย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิต นี่เองก็คงจะเป็นเหตุผลที่มีคนอาศัยอยู่ในเมืองนี้จำนวนมาก
"ไกรทอง เอ็งเคยประลองมวยมาก่อนหรือไม่"
คนงามถามอย่างสงสัยเมื่อเขาทั้งสองมายังสนามประลองที่จัดขึ้นในช่วงกลางคืนแล้ว การแข่งมวยเป็นอีกความบรรเทิงหนึ่งของคนในยุคนี้
หลายๆคนจึงให้ความสนใจการประลองที่จัดขึ้นไม่บ่อยครั้งนี้เป็นอย่างมาก
"แน่นอนว่าข้าเคย ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็หมั่นฝึกฝนวิชามวยมาตลอด ลงแข่งก็หลายครา ไม่เช่นนั้นจะล้มคนในหมัดเดียวได้รึ"
ไกรทองตอบกลับพลางเดินไปใส่ผ้าพันมือเตรียมขึ้นสังเวียน ทางเจ้าของดวงตางดงามเองก็มองลานประลองมวยอย่างหวาดหวั่น เนื่องจากคู่มวยในสนามแต่ละคนได้รับบาดเจ็บขนาดที่วางบางคนก็เลือดอาบ ตอนนี้เขาจึงกังวลใจไม่น้อยที่จะให้ไกรทองเข้าไปเสี่ยง
"ไกรทอง..ข้าว่าเอ็งลองคิดอีกทีก็ได้หนา จะถอนตัวก็ย่อมได้ อย่าฝืนตัวเองเลย"
คนงามว่าเสียงอ่อนใบหน้าเนียนนั้นฉายแววห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง เพราะงานแข่งนี้ดูท่าทางอันตรายไม่น้อยระหว่างทั้งคู่กำลังพูดกันอยู่นี้เองบนสังเวียนก็ยังมีเสียงคนต่อยกันอยู่เลย
ไกรทองมองกลับร่างของคนตัวเล็กกว่าพลางยิ้มบาง เขาลูบหัวคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนเพื่อให้อีกคนมั่นใจว่าตัวเขาจะไม่เป็นอะไร
"อย่าห่วงไปเลย ไกรทองของเอ็งเก่งจะตายไป"
"เอ็งเก่งข้ายอมรับ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนที่เก่งกว่าหนิถูกไหม"
"อย่ากังวลไปเลยคนงาม เช่นนั้น ข้าจะทำข้อตกลงกับเอ็ง หากข้าถูกคู่ต่อสู้จัดการจนทนไม่ไหวข้าจะยอมแพ้ลงจากสนามเอง เท่านี้สบายใจขึ้นหรือไม่"
ร่างสูงว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนคนที่เหมือนจะถูกหมาตัวใหญ่ๆอ้อนจึงได้พยักหน้าตกลงไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ก็ในเมื่อมันเป็นเขาเองที่บอกให้ไกรทองลงประลอง จะให้มาเลิกกลางคันแบบนี้ก็คงไม่ได้
ยามจันทราครึ่งเสี้ยวขึ้นสู่ฟากฟ้า เวลาที่ไหลผ่านเรื่อยๆก็วนมาถึง ไกรทองถูกเรียกชื่อให้ประลองเป็นคู่ต่อไป แน่นอนว่าคู่ประลองของเขานั้นตัวพอๆกับไกรทองเลย
"เด็กใหม่ท่าทางหน่วยก้านดีว่ะ น่าจะเก่งใช่ย่อย"
"แต่ข้าลงเงินข้างไอ้บาตรมัน ปีที่แล้วมันก็ได้ที่2"
"ไม่แน่ๆ ปีนี้ข้าว่าไอ่บาตรต้องได้ที่1"
เสียงพูดคุยของคนรอบข้างเหมือนกับว่าจะรู้จักคู่ประลองในสนามแต่ละคนดี เว้นก็แต่คนที่มาใหม่อย่างไกรทองที่คนอีกหลายๆคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตานั่น
คนตัวขาวอยู่ในมุมมืดก็นั่งนิ่งไม่สุงสิงกับใคร เขาคิดกับตัวเองว่าอย่างไรเสียไกรทองก็ต้องไม่เป็นไร เพราะคนตัวโตเองก็เป็นพระเอกซะอย่าง อีกทั้งเจ้าตัวยังไม่ได้ไปจัดการชาละวัน คงไม่มาแพ้ให้ใครง่ายๆ
'เต๊ง!'
เสียงเคาะระฆังเป็นการประกาศว่าคู่ชกคู่ล่าสุดถึงเวลาประลองกันแล้ว ทั้งไกรทองและคนชื่อบาตรตั้งการ์ดเตรียมเข้าโจมตีและตั้งรับ
ส่วนคนงามที่ดูมวยไม่เป็นอยู่ข้างสนามก็ได้แต่นั่งนิ่งๆไม่สนทนากับใครเช่นเดิม แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยดูมวยหรือรู้เรื่องมวยอยู่แล้ว รู้แค่มันต้องต่อยๆกันเท่านั้น เอาเป็นว่าเขาคงจะรู้เองตอนที่มีคนแพ้คนชนะนั่นแหละ
"นี่ๆพี่ชาย ข้าลงเงินฝั่งแดง200เหรียญ"
หนึ่งในสิ่งที่ขาดไม่ได้ของการแข่งมวยคือการพนันทายว่าใครจะชนะ และคนที่พึ่งจะทุ่มหมดหน้าตักให้ฝั่งแดงอย่างไกรทองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนงามเมืองพิจิตรในตอนนี้นั่นเอง
"200เลยรึ! นี่เอ็งมั่นใจมาจากไหนกัน"
"นั่นคนของข้าเอง ข้ารู้ว่าเขาเก่งกาจ แล้วก็อย่าคิดจะมาเบี้ยวเงินของข้าล่ะ มิเช่นนั้นข้าจะให้เขามาอัดเอ็งให้น่วม!"
คนงามพูดขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก คนในบริเวณหลายๆคนที่เห็นว่าคนงามมั่นใจในฝีมือจนยอมจ่ายให้จำนวนมหาศาลจึงสนใจมาลงพนันกันอย่างบ้าคลั่ง
บางคนก็ลงข้างฝั่งน้ำเงินจนหมดตัว บางคนก็เอาเงินแทบจะทั้งชีวิตลงกับฝั่งแดง เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร
เวลาผ่านไปนานหลายอึดใจ ตอนนี้คู่ประลองบนสนามเริ่มเหนื่อยหอบกันแล้ว ไกรทองที่อยู่ฝั่งแดงคิ้วแตกปากแตก แต่ก็ยังไม่อาการหนักเท่าฝั่งน้ำเงินที่ทั้งคิ้วทั้งปากแตก แถมดวงตายังช้ำอีก
เท่านี้ก็คงดูไม่ยากแล้วว่าใครจะชนะ
"คนงามเหตุใดข้าเจ็บถึงเพียงนี้จึงได้ยิ้มหน้าระรื่นได้อีกเล่า"
หลังจบการประลองมวยอีกหลายยก ไกรทองกับคนงามก็ตรงกลับที่พัก เพื่อรักษาร่างกายที่บอบช้ำจากการแข่งขัน
ยามนี้คนงามนั่งอยู่บนตักแกร่ง บรรจงทำแผลให้ร่างหนาอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนคนตัวใหญ่ก็กอดเอวบางไว้กันอีกคนตก
"ก็ข้าได้เงินพนันจากที่แทงข้างเอ็งไว้มาก ดูสิ ได้ทั้งเงินรางวัลไหนจะเงินพนันอีก รู้งี้ข้าแทงข้างเอ็งหมดตัวไปเสียเลยดีกว่า"
"โธ่คนงาม.."
ไกรทองถึงกับหน้ามุ่ยเงยหน้าสบใบหน้างามที่ยามนี้ยิ้มมุมปากอ่อนๆอย่างมีความสุข ตั้งแต่พบกันมาน้อยครั้งมากที่คนงามของเขาจะแย้มยิ้ม
คงจะเป็นเพราะเจ้าตัวมีหลายอย่างที่กังวลใจอย่างเช่นที่มาที่ไปของตัวเอง แต่ในตอนนี้คนตรงหน้ามีเขาอยู่ เจ้าตัวคงจะเบาใจในหลายๆเรื่องไปบ้าง
"เอ็งยิ้มอันใด"
คนที่นั่งคร่อมตักแกร่งอยู่ถามอย่างฉงนยามเห็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไกรทองจึงเอาใบหน้าที่ถูกคนงามรักษาเสร็จแล้วซุกคนตรงหน้าอย่างชอบใจ
กลิ่นกายของคนผู้นี้ช่างหอมนวลยิ่งนัก ยามได้ลองดอมดมก็เหมือนจะหยุดไม่ได้ ทั่วกายขาวทั้งหอมทั้งนิ่ม หลายคืนเหลือเกินที่เขาเกือบจะอดใจไม่ไหว
"ที่ข้ายิ้มเพราะได้มองคนงาม ทำไม มองไม่ได้หรือ หวงตัวกับข้าหรือ"
ไกรทองถามทีเล่นทีจริง ดวงตาคู่งามที่มองคนตัวใหญ่ซึ่งซุกร่างเขาอยู่ก็เหมือนกับมีร่างของหมาตัวใหญ่ๆมาซ้อนทับ
มือเรียวค่อยๆเอื้อมไปลูบเส้นผมสีดำขลับอย่างเบามือ ทำเหมือนคนตรงหน้าเป็นสุนัขโดยที่ไกรทองซึ่งไม่รู้อิเหน่ก็พลอยเคลิบเคลิ้มไปเสียอย่างงั้น
"เอ็งก็รู้ว่าข้าไม่เคยหวงตัวกับเอ็ง อยากมองข้าก็ไม่ว่า อยากทำอะไรข้าก็ไม่ว่า"
คนงามว่าอย่างตรงไปตรงมาเพราะแต่แรกเดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว
แต่กับไกรทองที่คิดไม่ซื่อนี่สิ พูดแบบนี้มันเป็นการชี้โพรงให้กระรอกชัดๆ
ลูกเราหน้ามึนมาก ในขณะที่พ่อหมาใหญ่ก็หงิงๆเพราะโดนลูกสาวอ่อย
น้องเข้ของแม่อ่อยตาใสเวอร์>_<
อะแฮ่มๆ ขอพื้นที่โปรโมทสักเล็กน้อย
อุ้ย เห็นอะไรในต๊อกๆของไรท์มั้ย??
ถ้าไม่อยากพลาดสปอย--เอ้ย ข่าวสารใหม่ๆจากไรท์ อย่าลืมไปกดติดตามน้าา