ตอนที่ 1 : หมอยา
พวกคุณคิดอย่างไรกับเรื่องเล่ากันบ้าง บางเรื่องได้ยินมา แต่บางเรื่องหลังจากได้ยินมาก็ได้พบเจอกับตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้เกิดเป็นความเชื่อและเรายิ่งพบเหตุการณ์ที่ได้รับฟังมาผ่านการบอกเล่า เราจะยิ่งเชื่อในสิ่งที่เราเคยคิดว่าน่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น
ตอนเป็นเด็กเรามักได้ยินเรื่องเล่ามากมายจากพ่อแม่ ปู่ยา ตายาย พี่ป้าน้าอา ซึ่งมักจะเล่าเรื่องสิ่งลี้ลับที่บางครั้งเด็กอย่างเราได้ยินยังถึงกับขมวดคิ้วว่ามันเป็นไปได้จริงหรือไม่
เรื่องของหมอยาสมัยก่อน แม่เป็นคนอยุธยาแต่กำเนิด แต่แต่งงานและย้ายมาอยู่ในกรุงเทพมหานคร แม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับตาที่เป็นหมอยาที่ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากที่ใด แม่เล่าว่าคนที่มีแผลและบังเอิญตาอยู่ในเหตุการณ์ก็จะช่วยทำแผลให้
ครั้งหนึ่งมีเด็กหนุ่มทะเลาะวิวาทกันถูกฟันด้วยมีด เพราะนักเลงสมัยก่อนพกมีดเป็นอาวุธ แผลไม่ลึกมากแต่เลือดออกมากพอสมควร เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งหนีขึ้นมาบนเรือนของตากับยายที่ตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นลูกหลานของคนรู้จัก จึงช่วยเหลือโดนการทำแผลให้ สิ่งที่แม่เล่าก็คือ ตาเคี้ยวหมากพลูและนำไปผสมกับเหล้าขาว ซึ่งการล้างแผลทำความสะอาดก่อนจะพอกด้วยหมากพลูผสมด้วยเหล้าก็คือ การใช้เหล้าขาวราดไปบนแผล ตอนได้ยินก็ขมวดคิ้ว เพราะความเป็นเด็กที่รู้สึกแสบที่แผลแทนเด็กหนุ่มคนนั้นที่แม่บอกว่าไม่ร้องเลยสักแอะ ตาไม่ใช่เพียงแค่ใช้หมากพลูพอก แต่ท่องคาถาอะไรบางอย่างปากขมุบขมิบบ่นพึมพำที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าคือคาถาอะไรหรือไปร่ำเรียนมาจากไหน แม่เคยถามตา แต่ตาบอกว่ามึงไม่จำเป็นจะต้องรู้หรอกและกูเองก็ไม่อยากให้ลูกหลานไปรักษาใครอีก นอกจากรักษาคนอื่นยังต้องดูแลรักษาตัวเอง กูถึงไม่กินเหล้า แต่ยังดูดใบยาสูบมวนกับกระดาษบ้างใบตองแห้งบ้าง เมื่อเล่าถึงตอนที่ตาพอกยาให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความสงสัย จึงถามแม่ไปว่า แผลเป็นอย่างไรและตอนนั้นเป็นเด็กทำให้คิดว่าอาจจะเหมือนในหนังผี หรือหนังของคนที่มีคาถาอาคม คือ แผลหายทันที ตอนนี้มานั่งนึกก็อดขำไม่ได้
แม่เล่าว่า แผลไม่ได้หายสนิทแบบไม่มีริ้วรอยอะไร แต่ก็สมานได้ดีทีเดียว เรียกได้ว่า รอยแผลยาวจากคมมีดปิดสนิท ผิวหนังไม่มีรอยแยกออกจากกัน แม่บอกว่าคล้ายถูกเย็บแผลแล้ว ดังนั้นแผลก็เป็นเพียงแค่รอยยาวเป็นแนวเส้นตามคมมีดที่กรีดลงบนผิวหนัง บริเวณแผลมีรอยแดงและอาการเจ็บปวดก็ทุเลาลง จบด้วยการอบรมลูกหลานตามประสาคนสูงวัยตาเตือนเด็กหนุ่มคนนั้นว่าอย่าไปทำร้ายใคร หากเกิดมีการเอาคืนกันขึ้นชีวิตก็จะวนเวียนอยู่กับการบาดเจ็บที่วันหนึ่งอาจถึงตายได้ คุณเชื่อกันไหมว่าเหล้าขาว ผสมกับหมากพูลสามารถสมานแผลได้ปิดสนิทขนาดนั้น ตอนนั้นก็ยังไม่เชื่อ จนมาเจอเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แม้ตอนนั้นยังเด็ก แต่ก็จำได้มาจนถึงทุกวันนี้
เขาว่ากันว่าอย่าเชื่อ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เรื่องของตาที่เป็นหมอยาช่วยสมานแผลให้หายเร็วเป็นเรื่องที่ฉันฟังจากแม่เล่าให้ฟัง
จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปร่วมงานบวชของพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นญาติ ซึ่งสมัยนั้นต่างจังหวัดยังไม่มีไฟใช้ตะเกียงน้ำมันกาดที่ทำจากกระป๋องนมข้นหวาน แล้วมีไส้ที่ทำจากผ้า หากเป็นบ้านที่จัดงาน เพื่อบ้านก็จะหิ้วตะเกียงเจ้าพายุกันไป เพื่อจะได้มีแสงสว่างมากขึ้น หรือไม่ก็มีเครื่องปั่นไฟที่สามารถขอยืมได้จากวัดที่อยู่ใกล้ๆ บ้านงานก็จะสว่างกว่าปกติ
เมื่อผู้คนเดินเข้าออกกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงเสียงพูดคุยกันที่ยิ่งมากคนเสียงก็จะดังมากยิ่งขึ้นตามจำนวนคน โดยเฉพาะเสียงจากวงเหล้าซึ่งนั่นทำให้สัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ที่ส่วนใหญ่เป็นสุนัขจะตกใจและส่งเสียขู่คนที่เดินผ่านไปมา ซึ่งต้องระมัดระวังไม่อย่างนั้นคงได้บาดแผลจากการถูกฝังเขี้ยวเข้าที่น่องเหมือนกับลุงที่เป็นชายสูงวัย ถ้าแม่เรียกลุงเราก็คงต้องเรียกตาแหละเอาเป็นว่าเรียกตาก็แล้วกัน
ตาคนนั้นกำลังจะก้าวขึ้นบันได เพื่อไปร่วมพิธีทำขวัญนาคในยามค่ำคืนด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีตามวัยทำให้ไม่เห็นเจ้าหมาดำที่ซุ่มอยู่ บ้านเป็นบ้านยกพื้นสูง เพราะน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี ด้านล่างก็จะเป็นเหมือนห้องรับแขกโล่งๆ มีแคร่ไม้และมีเรือที่อยู่บนคานไม้ ซึ่งมีกันทุกบ้านเพราะถึงเวลาหน้าน้ำจะต้องใช้เรือในการเดินทางกันเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ทุกบ้านมีเรือนแจวหรือบางบ้านที่พอมีฐานะก็จะมีเรือนที่มีเครื่องยนต์ ซึ่งมักเรียกกันว่าเรือเครื่องหวังว่าจะพอนึกภาพบ้านกันออก บ้านทรงไทยยกพื้นสูงนั่นแหละ
ตาคนนั้นกำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นแรก ไอ้เจ้าหมาดำก็กระโดดงับขาเรียกว่าจมเขี้ยวฝังเข้าไปในเนื้อที่ขาและยังดึงรั้งเอาไว้ จนกระทั่งคนที่มาช่วยงานคว้าไม้เขวี้ยงให้ตกใจหรือถ้าไม่ยอมปล่อยคงได้โดนไม้ตีเข้าให้แน่ ฉันเห็นเหตุการณ์ยังตกใจ เมื่อได้ยินเสียงตาคนนั้นร้องด้วยความตกใจและคงเจ็บอยู่มากพอสมควร เพราะถึงกับต้องนั่งลงที่บันไดเดินต่อไปไม่ไหว
ตอนนั้นเสียงเรียกตาของฉันก็ดังลั่นตะโกนตามหาตัวกันหลายคนเลยทีเดียว จนใครบางคนบอกว่าให้รีบพาคนที่โดนหมากัดขึ้นไปบนเรือน เพราะตาของฉันน่าจะอยู่บนเรือนแล้ว
สูตรหมากพลูกับเหล้าขาวก็มา พร้อมคาถาที่มีเพียงตาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ฉันตามขึ้นมาดูด้วยตาตัวเองเห็นแผลแล้วอดตกใจไม่ได้บริเวณน่องของตาคนที่โดนหมากัดมีรอยเขี้ยวเป็นรูใหญ่ แต่ที่น่ากระอักกระอวนก็คือเหมือนมีก้อนคล้ายมันหมูสีขาวเหลืองจุกอยู่ที่บริเวณแผล เสียงเอะอะโวยวายของคนที่ไล่ตีหมาตัวนั้นยังดังอยู่ เพราะคงถูกไล่ให้ไปอยู่ไกลๆ ไม่อย่างนั้นอาจมากัดคนอื่นอีก
ตาของฉันพอกยาสมานแผลบริเวณที่มีรอยเขี้ยวของหมาและก่อนจะทำแผลก็ล้างแผลด้วยเหล้าขาวเหมือนเดิม ฉันรอดูและใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งประมาณ 10 – 15 นาที ตอนนั้นลุ้นระทึกมากด้วยอยากรู้ว่าจะเป็นดั่งที่เคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังหรือไม่
จนกระทั่งตาใช้ผ้าขาวม้าช่วยเช็ดเอาสิ่งที่เรียกว่ายาที่พอกเอาไว้ออก ฉันขยับเข้าไปดูใกล้ๆ และได้เห็นว่าแผลปิดสนิทไอ้ไขมันที่จุกอยู่ที่แผลก็หายไปด้วย เสียงฮือฮาของคนที่ไม่เคยเห็นเหมือนฉันก็ดังขึ้น
ตาคนที่ถูกหมากัดที่ตอนแรกต้องเดินเขย่งขาและถูกหนุ่มๆ หิ้วปีกพาขึ้นมาบนบ้านค่อยๆ ลุกขึ้น ถึงจะเดินไม่ปกติ แต่ก็ดีขึ้น ซึ่งนั่นทำให้แกสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะพรุ่งนี้อยากเข้าร่วมขบวนแห่นาคกับเขาด้วย รอยยิ้มของตาคนนั้นส่งถึงตาของฉันที่เพียงแค่ยิ้ม เพราะตาเป็นคนพูดน้อยหรือเรียกว่าไม่ค่อยพูด
เรื่องสุขอนามัยคงต้องข้ามไป เพราะสมัยนั้นการไปโรงพยาบาลหรือสาธารณสุขที่มักเรียกกันว่า อนามัย ค่อนข้างลำบาก เพราะส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถโดยสารที่นานๆ จะผ่านมาสักคัน แม้แต่ตอนนี้ในบางพื้นที่ที่ฉันเคยเดินทางไปยังคงเป็นอย่างนั้น แม้มันจะนานหลายสิบปีแล้วก็ตามไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไหร่การเดินทางของคนที่อยู่ตามต่างจังหวัดจะสะดวกสบายมากขึ้น หากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวหรือรถจักรยานยนต์
แต่ที่ตลกที่สุดก็คือ ตอนยายถูกเจ้าหมี หมาดำตัวใหญ่ที่เลี้ยงเอาไว้เองกัด เพราะเกิดอะไรขึ้นไม่แน่ใจนักหรือหมาอาจหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน ถึงได้กัดเจ้าของเสียจนจมเขี้ยว ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ฟังจากที่ยายเล่า
ไอ้ที่น่าขำก็คือ ยายไม่ยอมให้ตารักษาแผล แต่เลือกที่จะไปรักษาที่อนามัยหรือสาธารณสุขในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลช่วยทำแผลช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตอนนั้นหากจำไม่ผิดไม่มีหมออยู่ประจำ แต่จะเป็นผู้ช่วยพยาบาลหรือไม่ก็พยาบาลแล้วแต่พื้นที่ ตากับยายเป็นคนอยุธยาด้วยกันทั้งคู่ แต่อยุธยาสมัยนั้นก็ไกลพอสมควร หากตอนนี้ผู้อ่านอายุสักประมาณ 40 – 50 ปีขึ้นไปอาจพอนึกออกเรื่องการเดินทาง
ยายไปทำแผลที่อนามัย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าอาจต้องฉีดวัคซีนป้องกันสุนัขบ้า ซึ่งทางอนามัยไม่มี สมัยก่อนหมากัดใครเข้าก็ต้องคอยดูคอยระวังว่า ไอ้เจ้าหมาตัวนั้นตายหรือหายไปหรือไม่ หากหายไปหรือจู่ๆ ก็ตายโดยไม่มีสาเหตุก็จะเหมารวมเอาว่าอาจเป็นหมาบ้า
เจ้าหมีหมาดำที่ยายเลี้ยงไว้ หลังจากกัดยายผ่านไปได้ไม่กี่วันก็ตายแบบไม่รู้สาเหตุทำให้ร้อนใจเลยทีนี้ ถึงกับต้องมาที่บ้านของฉัน ซึ่งอยู่กรุงเทพฯ เพื่อให้หลานสาวพาไปฉีดวัคซีนป้องกันสุนัขบ้า ซึ่งเธอคนนั้นเป็นพี่สาวแท้ๆ ของฉันและเป็นนักเรียนพยาบาล
เรื่องการฉีดยารอบเอวในสมัยก่อนทำให้ยายต้องพักอยู่ที่บ้านของฉันนานพอดูนึกแล้วก็เสียวแทนที่ต้องฉีดยาจำนวนหลายเข็ม หากจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 5 เข็มได้ ซึ่งแผลที่โดนหมากัดค่อนข้างน่ากลัวอยู่ไม่น้อยขนาดพี่สาวฉันซึ่งเป็นพยาบาลเห็นแผลเข้ายังตกใจ เพราะเหมือนมีไขมันเป็นก้อนอยู่ที่แผลซึ่งเป็นรอยเขี้ยวของหมาทั้งสองรู พี่สาวฉันที่เป็นพยาบาลเห็นแผลยังแอบกังวลเลยว่า หมาที่ตายไปอาจมีพิษสุนัขบ้าก็เป็นได้ การรักษาดำเนินไปและอยู่มาวันหนึ่ง แม่ถามยายว่าทำไมถึงไม่ให้ตาช่วยรักษาแผลให้เหมือนที่รักษาให้คนอื่น ยายตอบแม่ว่า กูกลัวมันท่องคาถาให้กูตายวันตายพรุ่งน่ะสิ กูไม่ไว้ใจพ่อมึงหรอก เมื่อได้ยินดังนั้น แม่ฉันก็หัวเราะออกมา จนยายงอนไปหลายวันเลยทีเดียว
คนอยุธยาส่วนใหญ่มีของ คุณผู้อ่านเชื่ออย่างนั้นกันไหม เพราะฉันเคยบอกกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นน้าของเพื่อน ซึ่งเคยถามว่าเป็นคนจังหวัดอะไร ก็ตอบไปว่าพ่อแม่เป็นคนอยุธยาและจู่ๆ น้าคนนั้นก็บอก โอ้โห ไอ้คำว่าโอ้โหนั่นแหละทำให้ฉันสงสัย โอ้โหทำไมกัน นี่ยังไม่ได้เล่าเรื่องแม่ให้ฟังเลย ถ้าเล่าก็คงได้โอ้โหอีก
บางทีการเป็นหมอยาอาจสืบเชื้อสายกันมา โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าไม่แน่ใจนัก เพราะเหตุการณ์บางเหตุการณ์ก็ทำให้ฉันคิดอย่างนั้น
เรื่องมีอยู่ว่า ตอนเรียนมัธยมและเตรียมตัวจะไปเข้าค่าย ซึ่งต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืด เพื่อนที่เรียนด้วยกันบางคนบ้านอยู่ไกลทำให้ต้องมานอนค้างกันที่บ้านของฉัน ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น บริเวณชั้นบนจะเป็นส่วนของลูกๆ อยู่ พ่อกับแม่นอนชั้นล่าง บ้านไม่ได้กั้นห้องเป็นชั้นโล่งๆ ปูที่นอนกางมุ้งแบ่งเป็นส่วนๆ พี่สาวคนโตแต่งงานไปแล้ว คนรองเรียนพยาบาลต้องไปอยู่หอพัก ดังนั้นชั้นบนก็จะเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว
เพื่อนที่มานอนที่บ้านมีด้วยกันสี่คนเป็นเพื่อนผู้หญิงทั้งหมด ตกดึกมีคนหนึ่งตื่นขึ้นแล้วบ่นว่าปวดขา เมื่อทุกคนตื่นขึ้น จึงมองดูบริเวณที่เพื่อนคนนั้นบอกว่าปวด ถึงได้เห็นรอยบวมแดงค่อนข้างใหญ่นึกภาพเวลาเราเป็นแผลแล้วเป็นหนองมีอาการอักเสบทำให้เกิดอาการบวมแดง ซึ่งน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่พี่สาวคนโตเคยเป็น ฉันคิดว่าควรต้องลงไปปลุกพ่อกับแม่ให้มาดู
รอยบวมแดงที่เคยเกิดขึ้นกับพี่สาวคนโตนั้น เจ้าตัวทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเลยไปให้หมอตรวจพบว่า น่าจะเกิดจากอาหารที่รับประทาน ซึ่งรายนั้นชอบกินแหนมแบบที่ห่อด้วยใบตองใช้เชือกฟางรัดมัดขายเป็นพวง จนหมอแนะนำให้ผ่าตัด แต่ก็รั้งรอเอาไว้ด้วยความกลัว จนกระทั่งวันหนึ่งก็หายไปเองใช้เวลาไม่กี่วันนัก สิ่งหนึ่งที่หมอบอกก็คือหากอาการบวมแดงนั้นยุบลง แต่ไปเกิดขึ้นอีกที่บริเวณอื่นจะเป็นอันตราย ซึ่งหมอยังคงยืนยันให้ผ่าตัด
กลับมาที่เรื่องของเพื่อนฉัน ซึ่งแม่ใช้วิธีเดียวกับพี่สาว คนสมัยก่อนจะมีน้ำมันสมุนไพรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรชนิดใดบ้าง แม่ได้มาจากพิธีสวดภาณยักษ์ที่เขาว่ากันว่า เป็นพิธีที่สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และปกป้องคุ้มครองผู้สวด เสียงบทสวดออกจะโหยหวนน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ตอนทำพิธีผู้ร่วมพิธีก็จะมีสายสิญจน์ที่ผูกโยงเอาไว้จำนวนมาก ซึ่งเชื่อมต่อกับสายสิญจน์ที่พระท่านถือเอาไว้ตอนสวดเขาว่ากันว่าคนที่มีของหรือโดนของก็จะมีอาการแสดงออกมา อาทิเช่นจะเต้นเป็นอนุมาน หรือคนที่โดนของก็จะกรีดร้องโวยวายจนสลบไป แต่ทั้งหมดให้คิดเสียว่าเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล
น้ำมันสมุนไพรที่ว่าไม่รู้ส่วนผสมมีอะไรบ้าง รู้เพียงแค่น้ำมันนั้นอยู่ในขวดกระทิงแดงและหลังจากได้มา แม่จะนำไปวางไว้บนหิ้งพระ ซึ่งแม่สวดมนต์ทุกวันเป็นประจำวันอยู่แล้ว
สิ่งที่แม่แนะนำกับฉันก็คือให้นำน้ำมันนั้นที่แม่เรียกว่า น้ำมันมนต์ไปทาให้เพื่อนที่จู่ๆ มีอาการบวมแดงเหมือนที่พี่สาวเคยเป็นและน้ำมันมนต์จากวัดนี่แหละที่ช่วยให้อาการนั้นหายไป ไอ้เราก็รู้สึกว่าแปลก แต่ดึกดื่นขนาดนั้นทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องพึ่งศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นฉันคิดแบบนั้น
ฉันถามแม่ว่า แค่ทาก็จะดีขึ้นหรือแม่ เพราะเพื่อนบอกไม่ได้ปวดมากแต่ปวดตุ๊บๆ เหมือนมีตัวอะไรอยู่ข้างในเลยทีเดียว
ฉันยิ่งแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินแม่บอกว่า ให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงท่านวนไประหว่างทาให้ทั่วบริเวณที่เกิดรอยบวมแดง ในใจถามว่าอะไรนะแม่ แต่ไม่ได้พูดออกมากลัวโดนบ่น
ในเมื่อทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องลองวิธีที่แม่ใช้ได้ผลกับพี่สาวดู เพราะถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้แทนที่จะได้ไปเข้าค่ายคงต้องไปโรงพยาบาล
แม่เจ้าหลังจากทายาไปได้สักพัก อาการปวดตุ๊บๆ ก็ทุเลาจนคนที่เกิดรอยบวมแดงอ้าปากค้างแล้วถามว่าน้ำมันอะไรว๊ะ ฉันไม่รู้จะตอบหรืออธิบายกับเพื่อนอย่างไร ก็เลยบอกไปเท่าที่รู้ว่าเป็นน้ำมันมนต์ที่ได้มาจากวัดซึ่งจะมีการแจกจ่ายให้คนมาทำบุญในการจัดงานใหญ่ฉลองสมโภชน์ครบจำนวนปีที่วัดสร้างขึ้นมาอะไรประมาณนั้น
ตอนโตได้เจอเพื่อนคนเดิม เรื่องราวเหล่านี้ยังคงถูกพูดถึงและยังแอบโดนค่อนว่าอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นครอบครัวคนมีของ แต่เอาจริงไอ้น้ำมันมนต์ที่ว่าน่ะน่าจะมีส่วนของสมุนไพรบางอย่างที่ทำให้อาการบวมหรืออาการอักเสบดีขึ้นเหมือนเวลาเราทายาแก้ปวดอะไรแบบนี้
นอกจากเรื่องการเป็นหมอยาแล้ว บ้านเรายังมีเรื่องของการได้ยินเสียง การได้กลิ่นอะไรแปลกๆ และสิ่งที่ได้เห็นกันด้วย เดี๋ยวเอาไว้มาเล่าอ่านอีก เพราะอยากเล่าแหละ