เอรินนั่งอยู่เงียบๆ หลังจากปานรวีนำน้ำส้มมาให้และขอตัวออกไปโทรศัพท์ คนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมถอนใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่เกิด ขึ้นก่อนหน้านี้ ดูจะเป็นเด็กมารยาทไม่ดีเอาเสียเลยคงจริงอย่างที่ปานรวีพูดก่อนที่จะลงมาเปิดประตูหน้าบ้าน เอรินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นเจ้าของบ้านเดินยิ้มกลับมานั่งลงข้างๆ
“หายงอแง หรือยังคะ” ปานรวีพูดแหย่ คนที่ยิ้มจ๋อยๆ หันมามองสบตากับคนที่ยังคงนั่งจ้องมองอยู่
“ไม่ได้งอแงสักหน่อยเลยค่ะ” เอรินพูดเสียงอ่อยๆ มองที่แก้วน้ำส้ม ไม่กล้าสบตากับปานรวี
“งั้นก็ดีกันนะ” ปานรวียื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าของคนที่ก้มหน้างุดๆ
“ล้อน้องตลอดเลยนะคะ” เอรินบ่นพึมพำ
“ไม่ได้ล้อ อยากดีด้วยจริงๆ นะ แค่ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวเองค่ะ นะ”
“พี่ป๊อบอ๊ะ อ๋อมอายนะคะ เล่นแบบนี้” เอรินยิ้มน้อยๆ มองสบตากับคนที่ยังยื่นนิ้วก้อยให้อยู่
“อายก็ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวไว้สิ จะอนุญาตให้กลับบ้านได้” ปานรวียิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ จ้องมองสาวรุ่นน้องที่เริ่มมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
“ขอบคุณนะคะ ที่ไม่รำคาญเด็กงอแง” เอรินยิ้มให้ปานรวี
“ไว้วันไหนพี่งอแง ก็ยื่นนิ้วก้อยให้พี่บ้างนะ” ปานรวียิ้มทะเล้นให้เอรินที่ยิ้มกว้างมากขึ้น
“ชาตินี้จะได้ยกนิ้วก้อยให้พี่ป๊อบก่อนไหมล่ะ”
“ยิ้มสวยแล้ว” ปานรวียิ้มๆ กับคนที่ยิ้มอายๆ ให้อยู่
“ไว้จะยิ้มให้เห็นบ่อยๆ นะคะ อ๋อมกลับก่อนดีกว่าค่ะ พี่ป๊อบจะได้พัก ผ่อน” เอรินมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดขอตัว
“ขับกลับเหมือนตอนขับมาส่งพี่นะคะ ถึงแล้วโทรฯ บอกด้วยนะ”
“คร้าบผม” เอรินพูดคล้ายเวลาทหารพูดกับผู้บังคับบัญชา ปานรวีหัวเราะ เมื่อเห็นคนที่กำลังจะขึ้นรถ หันมาทำท่าทำความ
เคารพแบบทหาร
“ระวังนะ จะโดนสั่งขัง ถ้าขับรถเร็วคอยดูเถอะ”
“ใจร้ายนะคะ ผู้กอง ลาล่ะคะ” เอรินพนมมือไหว้ปานรวี ซึ่งรับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้ม
เอรินยิ้มๆ หลังจากจอดรถเรียบร้อย ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์หาปานรวี แต่อยากจะตีตัวเองนักเป็นฝ่ายให้นามบัตรไป แต่ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของปานรวีเอาไว้ คงต้องถามเอาจากตรัย แต่ยังไม่ทันที่จะกดโทรฯ ออกก็มีเบอร์แปลกๆ โทรฯ เข้ามา เอรินอมยิ้มแอบเข้าข้างตัวเองว่า น่าจะเป็นคนที่ตัวเองนั้นนึกถึงมาตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน
“สวัสดีค่ะ” เอรินพูดทักทายขึ้นก่อน
“ถึงบ้านเรียบร้อยดีนะคะ” ปานรวีถาม
“เหมือนโดนผู้กองตรวจวัดความเร็ว ผ่านการจับเวลานะคะ” เอรินพูดขึ้นรู้สึกดีกับความห่วงใยและใส่ใจของปานรวี
“คุณหมอคะ พี่เป็นทหารนะคะ ไม่ใช่ตำรวจ”
“ทราบค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ” เอรินยิ้มแปลกๆ อยู่ในความมืดเดินไปที่สนามหญ้าแหงนมองดูพระจันทร์เสี้ยวที่ดูสวยงามในยามนี้
“รู้ด้วยว่าเป็นห่วง” ปานรวีหัวเราะเล็กๆ ผ่านมาทางโทรศัพท์
“หรือจับผิดอยู่ล่ะคะ โทรฯ มาถ้าอ๋อมเถลไถล พี่ป๊อบจะไปฟ้องตรัย หรือเป็นอย่างนั้นล่ะคะ” เอรินถามยิ้มๆ
“พี่ดูเป็นผู้ใหญ่ขี้ฟ้องขนาดนั้นเลยหรือ เสียใจนะเนี่ย” ปานรวีนึกขำตัวเอง ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเอริน อยากพูดคุย อยากแหย่และที่สำคัญ คือ ความห่วงใยที่เกิดขึ้น บอกให้คนที่ขับรถกลับโทรศัพท์บอกเมื่อถึงบ้าน แต่ตัวเองมานึกได้ว่า ไม่ได้ให้นามบัตรกับเอรินเอาไว้จนต้องเป็นฝ่ายโทรฯ มาเอง
“อาจจะนะคะ แต่อย่าฟ้องเลยค่ะ อีตาตรัยขี้บ่นจะตาย อ๋อมไม่กวนแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับขนมอร่อยๆ น้ำส้ม ยิ้มสวยๆ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ และขอบคุณสำหรับนิ้วก้อยด้วยค่ะ” เอรินยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อพูดถึงเรื่องนิ้วก้อย
“ขอบคุณยาวมาก เรื่องนายตรัยข้ามไปนะคะ ขอบคุณเด็กงอแงที่ทำให้พี่ยิ้มได้ก่อนนอนก็แล้วกันเน๊าะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็น
คุณหมอ ฝันดีจ๊ะ รีบเข้านอนนะ” ปานรวียิ้มๆ
“ฝันดีคะ ผู้กอง” ปานรวีหัวเราะมาทางโทรศัพท์ก่อนที่จะวางสาย เอรินถอนใจ ยังคงยืนยิ้มอยู่ที่เดิม แต่ในใจก็รู้สึกกังวล ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องกังวลใจกับการพูดคุยกับปานรวี แต่คงต้องสลัดความกังวลออกไปก่อนเพราะขืนไม่โทรศัพท์บอกตรัย มีหวังคงโดนบ่นเหมือนที่บอกกับปานรวีไปแน่ๆ
“ถึงบ้านแล้วนะ ง่วงแล้ว ฝันดี” เอรินหลีกเลี่ยงการบ่น รวมถึงคงมีคำถามอะไรอีกมากมาย เพราะตัวเธอนั้นกลับบ้านช้า
“ฝันดีจ๊ะ พี่ป๊อบโทรศัพท์หาพี่โตแล้ว เรารู้แล้วล่ะ ว่าอ๋อมถึงบ้านแล้ว รีบอาบน้ำเข้านอนนะ คุณหมอ” ตรัยส่งข้อความยาวๆ กลับมา แต่ข้อความนั้นกลับทำให้รอยยิ้มสดใสเมื่อสักครู่จางลง
“เป็นบ้าอะไรนะ อ๋อม” เอรินรำพึงบ่นตัวเองออกมาและรีบเข้าบ้านในทันที
เอรินแอบนึกถึงขนมหวานของเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งการออกกำลังกายโดย การวิ่งสลับเดินเร็วนั้นคงพอจะช่วยได้ เอรินปฏิบัติจนเป็นกิจวัตรประจำวัน นอกเสียจากว่ามีงานหรือมีประชุมที่เช้ามากๆ ถึงจะยอมเว้น อากาศยามเช้าสดชื่นเสมอ ยิ่งช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นหลังจากการวิ่งมากขึ้น
ปานรวีเข้ามาทำงานแต่เช้า เหมือนดังเช่นทุกวันรอยยิ้มจากคนที่เดิน ผ่านทำให้รู้สึกแปลกๆ จนกระทั่งเห็นกุหลาบขาวช่อใหญ่ที่ถูกวางอยู่ในห้องทำ งาน จึงยิ้มๆ เพราะพอจะเดาออกว่าใครเป็นผู้ส่ง โตมรมีเรื่องให้แปลกใจอยู่เสมอ ถึงแม้จะดูเป็นคนเงียบๆ ก็ตามที ปานรวีไม่ได้สนใจดูกระดาษแผ่นเล็กๆ เพราะคาดเดาเอาไว้ว่า ดอกไม้ถูกจัดส่งมาโดยใคร แต่เมื่อเหลือบไปเห็นลายมือแปลกๆ แถมยังขยุกขยิกไม่ค่อยเป็นตัวนักทำให้สงสัย จึงดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู รอยยิ้มปนกับเสียงหัวเราะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น ปานรวีมองดูช่อดอกไม้ แล้วมองเลยไปยังโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่
“เด็กงอแง ส่งดอกไม้มาขอโทษค่ะ จาก เอริน” นั่นคือข้อความที่อ่าน
“เด็กบ้า” ปานรวียิ้มมองออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นกระจกใสเห็นคนที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกกำลังจ้องมองมาที่เธอพร้อมด้วยรอยยิ้ม ทำให้ต้องรีบหุบยิ้มและเสียบกระดาษแผ่นนั้นคืนเข้าที่เดิม
ตรัยเดินยิ้มแป้นเข้ามาในโรงพยาบาล หลายคนเหลียวมอง ซึ่งเจ้าตัวก็ส่งยิ้มให้ตามสไตล์ของหนุ่มอารมณ์ดี คงมีคนจำได้บ้างว่า ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเดินผ่านไปนั้นเป็นนายแบบชื่อดัง
“คุณหมอตรวจคนไข้อยู่ค่ะ รอสักครู่นะคะ คนไข้คนสุดท้ายแล้วค่ะ” พยาบาลที่หน้าห้องของเอรินแจ้งให้ตรัยทราบ
“ขอบคุณครับ” ตรัยยิ้มให้และเดินไปหาที่นั่งไม่ไกลจากห้องตรวจนัก
เอรินยิ้ม เมื่อเห็นตรัยนั่งอยู่ คนที่นั่งรอเห็นคุณหมอเดินออกมาก็รีบลุกขึ้นเดินไปทักทาย
“หน้าแห้งเชียว หมอ” ตรัยยิ้มทะเล้นให้
“ทำงานนะคะ คุณนายแบบ” เอรินอมยิ้ม
“ป๊ะคุณนายแบบจะพาไปทานของอร่อย” ตรัยอมยิ้มทำหน้าทะเล้น
“ไม่เอาล่ะ อ๋อมเหนื่อยทานข้าวกลางวันแล้วอยากพัก มีตรวจคนไข้ อีกตอนบ่าย” เอรินยิ้มจางๆ ให้ เมื่อเห็นตรัยทำหน้าจ๋อย
“โหคิดถึงจะแย่ จ๋อยเลย” ตรัยแกล้งทำหน้าเศร้า แต่ก็แอบมีรอยยิ้ม
“เยอะไปค่ะ เพิ่งเจอกันเมื่อคืนเองนะ” เอรินแกล้งพูดเสียงเข้ม
“หลายชั่วโมงแล้วนี่ครับ คิดถึงจริงๆ นะ บ่ายมีถ่ายงานแถวนี้ก็เลยแวะมาหานึกว่าจะดีใจ” ตรัยบ่นพึมพำ
“ดีใจที่เห็นมานั่งอยู่ทานข้าวโรงอาหารได้ไหมล่ะ เดี๋ยวอ๋อมเลี้ยงเอง ส้มตำอร่อยนะ ขอบอก” เอรินอมยิ้ม
“ไม่กวนคุณหมอดีกว่าได้เห็นหน้าก็ชื่นใจแล้ว ถ้าตรัยอยู่ทานกลางวันด้วยอ๋อมก็ไม่ได้พักสิเนอะ อย่าทำงานหนักมากนักนะ คุณ
หมอ แฟนเป็นห่วง” ตรัยอมยิ้มมองคนที่ยืนท้าวสะเอวจ้องมองอยู่
“ยังไม่มีแฟนค่ะ เสียใจด้วยนะคะ” เอรินพูดจบ ก็ดันตัวตรัยให้รีบเดินไปขึ้นรถ
“เป็นแฟนกันได้แล้ว นะ นะ”
“ยังค่ะ คุณนายแบบไปได้แล้วค่ะ อ๋อมหิวข้าวแล้ว” เอรินพูดยิ้มๆ
“ใจร้ายเอากุหลาบขาวไปเลย เผื่อจะใจดีจนยอมเป็นแฟนซักที” ตรัยอมยิ้ม หลังจากเดินไปหยิบกุหลาบขาวช่อใหญ่มายื่นให้เอรินที่ยิ้มเช่นกัน
“ดอกไม้ไม่ได้ช่วยอะไรจำไว้ด้วยนะคะ คุณนายแบบ” เอรินยิ้มๆ รับช่อดอกไม้และเดินหนีไป
“ใจอ่อนบ้างสักนิด ก็ดีนะครับ คุณหมอ” ตรัยตะโกนบอกพร้อมด้วยรอยยิ้ม เอรินส่ายหน้าเมื่อได้ยินไม่ได้หันมามอง แต่เดินตรงกลับไปที่ห้องพัก