ตอนที่ 13 : ใคร

1927 คำ
โตมรพูดคุยกับปานรวีทางโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานเสียมากกว่า มีคุยบ้างเรื่องการเดินทางไปพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก โตมรหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงาน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ตำแหน่งหน้าที่การงานจะไปได้ไกลกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน “เออป๊อบคะ ลองไปเกริ่นคุยกับอ๋อมหน่อยก็ดีนะคะ พี่กลัวว่าอ๋อมจะเกรงใจไม่ยอมไปเที่ยวกับเราเห็นนายตรัยพูดอยู่เหมือนกัน บางทีถ้าป๊อบเป็นคนชวนน้องอาจจะสบายใจขึ้นนะคะ” โตมรบอกกับคนที่อยู่ปลายสาย ซึ่งยิ้มจางไปในทันที เมื่อได้ยินที่โตมรของร้อง “ให้ตรัยจัดการไม่ดีกว่า หรือคะ” “นายตรัยคงโทรฯ หาอ๋อมจนรำคาญ แต่ถ้าป๊อบเป็นคนชวน อ๋อมตกลงแต่เนิ่นๆ อ๋อมคงไม่ต้องรำคาญนายตรัยนะคะ พี่ว่า” โตมรหัวเราะผ่านมาทางโทรศัพท์ “ได้ค่ะ เอาไว้อีกสักสองสามวันก็แล้วกันนะคะ ยังพอมีเวลา แต่สองคนนั้นเป็นแฟนกัน คงอยากไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันอยู่แล้วล่ะคะ” ปานรวีรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของตัวเอง “ค่ะ พักผ่อนเถอะ พบกันพรุ่งนี้เช้านะคะ ฝันดีค่ะ” โตมรวางสายไปแล้ว ปานรวีเดินไปตรวจดูรอบบริเวณบ้านว่า ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยหรือยังเหลือบไปเห็นต้นกล้วยไม้ที่เอรินนำมาให้ จึงเดินออกมาดูใกล้ๆ ดอกยังคงสวยงามอยู่ ถึงแม้จะบานมาหลายวันแล้วก็ตามเลยทำให้นึกถึงคนที่นำมาให้ แต่รอยยิ้มก็จางลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้คุยกับทองทิพย์ไปเมื่อช่วงบ่าย หัวใจรู้สึก รวนๆ เหมือนกัน ในขณะที่ทองทิพย์พูดเรื่องของเอริน แต่ก็ต้องทำนิ่งๆ ไว้เอาเข้าจริง บางทีเอรินอาจจะไม่รู้สึกอะไร อาจจะดูแลเอาใจใส่คนที่วันหนึ่งอาจจะมาเป็นคู่สะใภ้กันก็ได้ “อย่าดื้อนัก ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นาเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจเรานะ” ปานรวีคิดอยู่ในใจ ปานรวีสวดมนต์ก่อนนอนเสร็จเรียบร้อยก็ล้มตัวลงนอน โดยค่ำคืนนี้เลือกที่จะเปิดม่านหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดมิดมีเพียงดวงดาวดวงเล็กๆ ที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่แสนไกล ปานรวียังคงมองออกไปทางหน้าต่าง ลมพัดใบไม้ไหวเล็กน้อย ถึงแม้ตอนแรกมองออกไปจะดูมืดมิด หลังจากสายตาปรับสภาพให้เข้ากับความมืดได้ ก็พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น นานเท่าไรแล้วไม่รู้เหมือนกันที่ไม่เปิดม่านนอนมองดูท้องฟ้าแบบนี้ โทรศัพท์ถูกหยิบมา ปานรวีเลือกเปิดเพลงที่เอรินกล่อมนอนเมื่อคืนก่อน รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว “เพลงเดียวกัน ถึงแม้เพลงที่ฟังอยู่ จะมีทำนองอันแสนไพเราะ แต่เพลงที่เอรินร้องกล่อมนอนจนหลับไปนั้นยังคงดังก้องอยู่ในความรู้สึก ปานรวีเลือกที่จะปิดเพลงซึ่งเปิดไปได้เพียงครู่เดียว หลับตาแล้วนึกถึงเสียงแผ่วๆ ของคนที่ร้องให้ฟังเมื่อคืนที่ผ่านมา อาการเคลิ้มเหมือนกำลังจะหลับกลับทำให้รู้สึกว่า มีจูบอันแผ่วเบาทาบทับที่ศีรษะ ปานรวียิ้ม ขยับตัวเล็กน้อยประหนึ่งว่าอยู่ในอ้อมกอดเหมือนเมื่อคืนก่อนจนหลับไป เช้านี้อากาศสดใส ไม่ร้อนมากนัก เอรินยิ้มๆ หลังจากปิดประตูบ้านก็เดินมาที่รถแต่งตัวพร้อมสำหรับการวิ่งในตอนเช้า พอจะเปิดประตูรถก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานชวนเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกัน ชะเง้อมองไปยังบริเวณหน้าบ้านไม่เห็นใคร เอรินยิ้มๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะคิดว่าคงต้องไปวิ่งคนเดียวเหมือนเดิม แต่เสียงแตรรถที่ดังขึ้นนั้น ได้สร้างรอยยิ้มให้ในทันที เมื่อเห็นกานดาโบกมือไหวๆ พร้อมอยู่ในรถ ซึ่งขับมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเอรินเรียบร้อยแล้ว เอรินพยักหน้าและรีบขับรถตามออกไป “มอร์นิ่งค่ะ คุณหมอ” กานดายิ้ม เมื่อลงมาจากรถที่จอดอยู่เคียงข้างกับเอริน “มอร์นิ่งค่ะ สาวอาร์ต” เอรินยิ้ม “ป๊ะ เราพร้อมแล้ว ผู้ชำนาญการนำหน้าได้เลยค่ะ” กานดาพูดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนเอรินขำ “ยืดกล้ามเนื้อกันก่อนไหม ไม่อย่างนั้นแทนที่ร่างกายจะดีกลับจะเจ็บตัวเอานะ” เอรินยิ้มและเริ่มยืดแขนขึ้นจนตึง ทำท่าคลายกล้ามเนื้อเหมือนทุกครั้งก่อนที่จะออกวิ่ง “เราลอกอ๋อมก็แล้วกัน ขุดตัวเองให้ตื่นเช้าได้ก็ดีมากแล้วล่ะ” “พร้อมก่อนอ๋อมอีก ขยันล่ะสิ ไม่ว่า” เอรินพูดชม “ขี้เกียจตัวเป็นขน เออเย็นนี้ว่างไหม แม่ชวนทานข้าวที่บ้าน แม่เราทำกับข้าวอร่อยนะ หยุดห้ามคิดเชียวนะว่าเราจะเป็นแม่บ้านแม่เรือน และทำ กับข้าวอร่อย” กานดาอมยิ้ม เมื่อเห็นเอรินหลุดขำออกมา “มีแบบนี้ด้วย พูดเอง สรุปเอง ปิดประเด็นเลย” เอรินยิ้ม “ก็กลัวคิดไง เลยบอกไว้ก่อน” “ทำขนมบัวลอยได้ ก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะมั้ง เรื่องกับข้าวน่ะ อ๋อมเฉยๆ นะ ถ้าเรื่องขนมค่อยว่ากัน ป๊ะพร้อมไหมคะ กานดาตาสวย” เอรินยิ้ม เมื่อเห็นกานดาพยักหน้า แล้วยิ้มอายๆ เมื่อได้ยินเรียกว่า กานดาตาสวย เอรินไม่กล้า มองสบตากับกานดา จึงออกวิ่งนำหน้าไปก่อน “ก็เข้าใจนะว่าเป็นผู้หญิง แต่ทำไมน่ารักแปลกๆ นะ คุณหมอ” กานดายืนยิ้มมองตามคนที่วิ่งนำหน้าไปก่อน ซึ่งยังคงหันกลับมายิ้มให้และกวักมือเรียกให้วิ่งตาม กานดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืนยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะออกวิ่งตามไปห่างๆ ปานรวีมองดูสาวในตาคมกริบที่วิ่งตามเอรินไป ถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ ถามตัวเองอยู่ว่า รู้สึกอย่างไรกับภาพที่ได้เห็นไปเมื่อสักครู่ รอยยิ้มสดใสของเอรินดูน่ารักเสมอ ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นจะยิ้มให้ใคร โดยเฉพาะตอนที่วิ่งนำไปนั้นแล้วกลับมาส่งยิ้มสวยๆ ให้กับสาวอีกคนที่ปานรวีไม่รู้ว่าเป็นใคร “คนนี้ละมั้ง คำตอบของทิพย์” ปานรวียิ้มจางๆ มองสองสาวที่วิ่งไปจนลับตา โตมรมายืนรอปานรวีที่ชั้นล่าง หากวันไหนไม่มีธุระอะไรที่จะต้องไปทำงานข้างนอก เขามักจะมายืนรออยู่เช่นนี้ โตมรยิ้มเมื่อเห็นปานรวีเดินเข้ามาทั้งชุดออกกำลังกายไม่ใช่เครื่องแบบเหมือนทุกวัน “ผู้กอง ไปจ๊อกกิ้งมาหรือคะ” โตมรพูดแหย่ปานรวี “ถูกต้องค่ะ ผู้พัน วิ่งบ้างก็ดีนะคะ ผู้พันเริ่มมีพุงแล้วนะ” ปานรวีแกล้งเอามือจิ้มๆ ไปที่ท้องของโตมรที่หัวเราะออกมา “เข้าฟิตเนสอยู่ค่ะ เอาไว้จะไปวิ่งด้วยนะคะ ไปอาบน้ำ แล้วมาทานอาหารเช้าด้วยกันดีกว่าไหมคะ” “พี่โตทานก่อนได้เลยค่ะ ป๊อบไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ รอสาวๆ อาบน้ำหิวตายพอดีค่ะ อาบน้ำเสร็จหากาแฟดื่มก็ทำงานได้แล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ พี่โต” ปานรวีบอก “แปลกนะ ไม่ทานอาหารเช้าหรือทานอะไรรองท้องมาแล้วคะ” “ไม่ค่อยหิวน่ะคะ ตามสบายค่ะ ป๊อบไปอาบน้ำก่อนนะ” ปานรวีพูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป โตมรยืนขมวดคิ้วมองตามปานรวีที่ดูแปลกๆ ไป แววตาไม่สดใสเหมือนทุกเช้าที่ได้พบกัน หากแต่ว่าแซนวิชก็ถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะทำ งานโดยโตมรฝากคนที่ทำงานอยู่โต๊ะใกล้ๆ กับห้องทำงานของปานรวีมาให้ “อิจฉาพี่ป๊อบ ผู้พันดูแลดี๊ดี” คนนำกล่องที่มีแซนวิชอยู่พูดแหย่คนที่ยิ้มน้อยๆ ให้อยู่ “เอาไปทานสิ ถ้าอิจฉา พี่ไม่ค่อยหิว” ปานรวีบอก “อุ๊ย ผู้พันเสียใจแย่สิคะ ถ้าทราบเข้า” “ก็อย่าบอกสิ พี่ไม่บอกใครจะรู้ใช่ไหมคะ ผู้หมวด” ปานรวียิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อคนที่ถือกล่องมาวางให้หยิบกล่องถือกลับไปแล้วยิ้ม “ขอบคุณค่ะ” “ยินดีจ๊ะ” ปานรวีถอนใจเบาๆ มองตามคนที่ถือกล่องแซนวิชเดินกลับ ไปที่โต๊ะทำงานเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปอ่านเอกสารที่อ่านค้างอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้ามา จึงรีบคว้ามาดูเป็นข้อความแจ้งเตือนนัดหมายการประชุม ซึ่งจะมีขึ้นในอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ปานรวีหมุนตัวกลับหลังหัน บางทีภาพด้านนอก อาจจะทำให้หลุดออกจากการคิดถึงใครบางคนไปบ้างก็ได้ เอรินวิ่งย้อนกลับมา เมื่อรู้สึกว่า คนที่วิ่งตามอยู่นั้น เหมือนจะหายไป จึงหยุดวิ่งแล้วหันกลับไป มองเห็นกานดาลงนั่งกับพื้นพร้อมอาการหอบหายใจและโบกมือไปมาเป็นสัญญาณบอกว่า ไม่ไหว เอรินยืนหัวเราะ แล้ววิ่งกลับมาช่วยดึงมือคนที่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นขึ้นมา “กินอะไรเข้าไป ทำไมวิ่งไม่เห็นเหนื่อย” กานดาถามทั้งๆ ที่ยังคงมีอาการหอบจากความเหนื่อย “กินบัวลอยไง” เอรินหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นกานดาขมวดคิ้ว “ตลกแระหมอ หรือว่ากินขนมเยอะ ทำให้แรงดี” “อาจจะนะ เอาจริงอ๋อมวิ่งบ่อยมั้งเลยชิน” เอรินบอกมองดูคนที่มีเหงื่อผุดอยู่เต็มใบหน้า เอรินเห็นเหงื่อที่เริ่มจะไหลเข้าตาของกานดาเลยช่วยเช็ดให้ กานดารู้สึกร่างกายเป็นดั่งก้อนหิน เมื่อเห็นสายตาอันอ่อนโยนของคนที่กำลังช่วยเช็ดเหงื่อ “ขอบคุณนะ หมอ” กานดายิ้ม “ยินดีค่ะ เหงื่อเข้าตาเดี๋ยวจะแสบเน๊าะ” เอรินยิ้ม มองสบตากับกานดาที่ยิ้มอายๆ “เหนื่อยแล้วแยกย้ายกันกลับดีกว่านะคะ เดี๋ยวลูกศิษย์จะตามไปเอาสีป้ายโรงพยาบาลเลอะเทอะ เพราะดึงตัวคุณครูเอาไว้” เอรินพูดยิ้มๆ “เราไม่สอนทุกวัน บางวันมีนัดสอนที่บ้าน อย่างเช่นวันนี้ตอนบ่าย” “ดีจัง ไม่ต้องเช้าก็ตาลีตาเหลือกขับรถออกจากบ้าน อิจฉานะเนี่ย” “เป็นหมอก็ดีนะ ช่วยให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยหายดีได้บุญออก” กานดายิ้มทั้งใบหน้าและแววตา “ขอบคุณนะ กานดาที่มาเป็นเพื่อน แถมยังทำให้หัวเราะและยิ้มได้” เอรินบอกแอบถอนใจเบาๆ เมื่อนึกถึงใครบางคน “หัวเราะเยาะเค้ายังจะมาขอบคุณ คอยดูนะจะมาวิ่งด้วยบ่อยๆ แล้วจะวิ่งแซงหน้าไปยืนหัวเราะเย๊าะหมอบ้างคอยดูเถอะ” กานดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง จนเอรินอดที่หัวเราะออกมาไม่ได้ “นั่นมีเคียดแค้นกันด้วย” กานดากับเอรินหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม