เขาเล่าให้ฟังว่าอยากจะแนะนำให้รู้จักกับญาติคนหนึ่งที่เป็นเหมือนเพื่อนเพราะอายุเท่ากันและอยู่โรงเรียนเดียวกันพึ่งมาแยกทางตอนเข้ามหาลัยเนื่องจากอีกฝ่ายสอบติดคณะวิศวะแต่เฮียเฟยสอบไม่ติดเลยต้องเรียนอีกมหาลัยแทนเพราะอยากจะเรียนวิศวะในคะแนนที่เฉียดฉิว
ชีวิตที่ผ่านมานั่นเต็มไปด้วยเรื่องน่าสนใจมากโดยเฉพาะไลฟ์สไตล์คล้ายเพลย์บอยแต่กลับไม่ใช่เลย เขาชอบทำงานคนเดียวมากกว่าจะเดินออกมาดูผู้คนด้านนอกและหากว่าจะดื่มคงเป็นช่วงที่เพื่อนแวะมาหาหรือต้องการวันไนท์สักคน
คนโลกส่วนตัวสูงนี่ฮอตทุกคนเลยรึไง!
ที่ผ่านมาเธอนึกว่าเขาออกมาพูดคุยกับลูกค้าเป็นเรื่องปรกติแต่ว่าเปล่าเลยเพราะเขาออกมาคุยกับเธอคนเดียว เรากินอาหารที่ร้านเดิมของเมื่อวานไม่นานก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมาหาด้วยหน้าตายิ้มแย้มพูดคุยกับเฮียเฟยอย่างเป็นกันเอง
“พี่ชื่อวาฬนะเป็นเพื่อนคนเดียวของไอ้เฟย”
“แล้วอีกคนละคะ?”
“ไอ้เบลอะเหรอ? นั่นมันญาติสนิทของมันแต่ไม่รู้ว่ามันอยากสนิทด้วยรึเปล่า”
“ปากวอนตีน! กูไปเอาไวน์ร้านมันมาเมื่อวานนี้เองไอ้สัตว์”
“ใครจะไปรู้วะเห็นช่วงนี้เงียบๆไป”
“มึงน้อยใจรึไงห่ะ? กูบอกแล้วให้รีบหาเมียไม่ใช่ลอยไปลอยมาแบบนี้ แล้วอีกอย่างช่างนี้ไอ้เบลมันมีเมียแล้วเลยเทเวลาให้แค่นั้นเอง ทำไมวันนี้ว่างอยู่ร้าน?”
“โดดประชุม”
“สันดานเสียแบบนี้ไงพ่อมึงถึงด่าไม่หยุด!”
“ช่างแม่งเหอะ! น้องมารีคบกับเพื่อนพี่นานรึยังครับทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรือว่าไอ้เฟยมันไม่ยอมเปิดตัว?”
“พึ่งคบเมื่อวานเองค่ะ”
“คบกันไปนานๆนะถ้าหนูทิ้งมันแล้วพี่กลัวจะไม่มีใครเอาไอ้เฟยแล้ว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”
“มันขนาดนั้นแหละครับ มันทำแต่งานอย่างเดียวจนแทบไม่มีเวลาอยู่แล้ว นี่ถ้ามันไม่พาหนูมานี่นะพี่คิดว่ามันจะได้เมียเป็นเหล้าเบียร์แทน”
“มึงก็พูดเกินไป”
“หรือไม่จริง?”
“แดกข้าวเหอะกูจะไปซื้อของกับเมียต่อ”
“เมีย!?”
“แดกข้าวไอ้สัตว์เลิกกวนตีน!”
เธอนั่งกินข้าวแล้วพูดคุยกับพวกเขาทั้งสองคนด้วยความเป็นกันเองเหมือนว่ารู้จักกันมานาน พี่วาฬเป็นคนคุยเก่งมากถึงจะชอบกวนเฮียเฟยมากจนโดนด่าไม่หยุดก็ยังหัวเราะชอบใจอยู่เลย เขาคุยกับเพื่อนค่อนข้างแข็งกระด้างและหยาบคายต่างจากเวลาคุยกับเธอที่จะใช้อีกน้ำเสียงหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเล็กตัวน้อยมาก กับข้าวก็ตักให้โดยที่ถามมาชอบรึเปล่าแต่ทุกอย่างนั้นรสชาติดีมากเลยละพอกินอิ่มแล้วพี่วาฬยังให้ขนมมาอีกกล่องใหญ่เอาไว้กินเล่นระหว่างที่ไปทำงานกับเฮียเฟย
เมื่อก่อนเธอก็มีเพื่อนสนิทนะ
ตอนนี้ไม่มีแล้ว
ร้านแรกที่เข้าไม่ใช่ร้านเสื้อผ้าแต่เป็นร้านเครื่องสำอางต่างหากเพราะว่าปรกติเธอชอบแต่งหน้ามากถึงจะแต่งไม่จัดจ้านแต่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองโทรมหรอก ทุกอาทิตย์จะเข้าฟิตเนสอย่างน้อยสามวันเพื่อรักษาหุ่นให้คงที่ ทุกเดือนจะเข้าคลินิกดูแลผิว การเข้าร้านทำเล็บทำผมคือสิ่งปรกติที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
แล้วตอนนี้เขาแย่งลิปติกไปดูทำไม?
จะทาเองเหรอ?
“เอาแขนเฮียลองสีไหม?”
“จะดีเหรอคะ?”
“ค่อยเช็ดออกก็ได้”
“อย่าบ่นละ”
“ครับ เฮียอยากรู้เหมือนกันว่าหนูชอบอะไรเทสสีเลยสิ” เธอยิ้มกว้างมองหน้าก่อนจะหยิบลิปสติกมาลองเทสสีลิปสติกที่แขนขาวผ่องช้าๆแล้วพินิจพิจารณากว่าจะเลือกได้สักแท่งก่อนจะไปเลือกของอย่างอื่นต่อที่ใช้เวลาเลือกนานเหมือนกัน
คนน่ารักนิสัยดีพูดจาเพราะมากขอบคุณพนักงานทุกครั้งที่รับของมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแสนสดใสเสมอ เขามองตามด้วยความเพลิดเพลินแทบไม่อยากจะกะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ความน่ารักที่เคยทำได้เพียงแอบมองแอบฝันอยู่คนเดียวมานานในที่สุดวันนี้ก็มีสิทธิ์จะแสดงออกสักทีว่ารักเธอมากขนาดไหน
ความรักบางครั้งมันก็เล่นตลกนะ
บางคนคบมานานใช่ว่าจะรักกันมาก
บางคนไม่มีสิทธิ์กลับรักเกินมากเกินไป
ตลกร้ายดี
“ชุดนี้สวยไหม?”
“สวยสิ”
“เฮียไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่หนูแต่งตัวแบบนี้”
“กว่าจะมีหุ่นแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซะหน่อยอวดคนอื่นบ้างก็ดีเหมือนกัน เฮียหวงก็จริงแต่อยู่ในสายตาเฮียแล้วจะแต่งตัวแบบไหนก็ได้”
“ใจดีจัง”
“เลือกชุดนอนด้วยไหมหรือว่าหนูชอบใส่เสื้อยืดของเฮียนอนแทนละ?”
“ใส่เสื้อยืดก็สบายดีออก เพิ่มแค่กางเกงขาสั้นก็พอแล้วค่ะ”
“ไปเลือกกันเถอะ”
ของทุกอย่างเฮียเฟยเป็นคนถือให้แล้วยังเดินโอบไหล่เข้าร้านที่บอกโดยที่ไม่บ่นสักคำ ตั้งแต่ร้านแรกจนมาถึงร้านนี้เขาจะส่งบัตรเครดิตมาให้แทนจนเธอเกรงใจไม่อยากจเลือกอะไรเพิ่มแต่กลับเป็นเขาอีกนั่นแหละที่ถามโน้นถามนี่ว่าผู้หญิงต้องใช้อะไรเพิ่มอีกรึเปล่าเพราะว่าไม่เคยมาซื้อแบบนี้เลยสงสัย
กว่าจะกลับก็ได้ของมาเต็มไม้เต็มมือแล้ว
เรามาที่ผับในเวลาหนึ่งทุ่มแล้วหลายๆคนก็แอบมองแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเลยนอกจากผู้จัดการร้านที่ยิ้มกว้างให้ในขณะที่พูดคุยกับเฮียเฟยเรื่องงานอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้เดินออกไปเหลือเพียงเราสองคน
“เพื่อนมากี่ทุ่ม?”
“น่าจะสี่ทุ่มกว่าๆแต่หนูคงออกไปหาสักห้าทุ่มค่ะ”
“แล้วนี่…จะแต่งหน้าเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หนูจะให้เพื่อนเห็นสภาพโทรมๆได้ไงเล่า”
“ไม่มีใครบอกมันใช่ไหม?”
“ถ้าเป็นเพื่อนกลุ่มนี้ไม่น่ามีนะคะเพราะหลายคนเชียร์ให้เลิกกับเขาตั้งนานแล้ว”
“แสดงว่าทุกคนรู้เรื่องมานานแล้ว”
“ก็…ค่ะ ทุกคนรู้ว่าสักพักแล้วแต่หนูดื้อเอง” เธอหลบตาเฮียเฟยที่เดินมาหาแล้วยีผมเบาๆก่อนที่นั่งลงข้างๆ เขาก้มลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่หลายครั้งรู้สึกตัวอีกทีชุดชั้นในแบบเกาะอกก็ร่วงลงมากองที่เอวแล้ว
“เฮียจะทำให้หนูไม่มีแรงเหลือนะ!”
“ไม่อยากรอเลย”
“แค่แป๊ปเดียวเองค่ะ ใจเย็นๆนะ”
“หนูน่ากินไปทั้งตัว”
“เพราะยังใหม่อยู่มั้ง”
“แล้วเดี๋ยวหนูจะรู้จักคำว่าเอาทุกคืนมันเป็นยังไง”
“ทะลึ้ง!”
“แก้มแดงนะ”
“เพราะดื่มไวน์ต่างหากละ”
“แค่แก้วเดียวไม่น่าจะทำให้หนูแก้มแดงขนาดนี้ได้นะ หรือเพราะว่า…เขินเฮีย”
“ยอมรับมาเถอะน่าว่าเขินเฮียมาก”
“บ้าเหรอ!”
“ไม่เขินจริงๆเหรอครับ?”
“ก็จริงสิ! เอามือเฮียออกไปเลยนะ”
“ไม่ต้องเขินหรอกน่าที่รัก อีกเดี๋ยวหนูก็ชินเอง”
“ใครเขินคะ!” ไม่เขินหรอกแค่ไม่กล้าสู้สายตาเท่านั้นเองแล้วมือใหญ่ก็ลูบไล้แผ่นหลังไม่หยุด ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มก่อนที่ริมฝีปากจะกดจูบลงแล้วเคลื่อนไปช้าๆทาบทับกลีบปากที่เคลือบทับด้วยลิปกลอสสีพีชละเลงลิ้นกวาดเลียไล้ต้อนเข้ามาภายในปากแล้วตวัดพลิกพลิ้วซ้ำๆไม่ให้ได้พักหายใจเลย
มือใหญ่เลื่อนจากแผ่นหลังเข้ามาสัมผัสสองเต้าอวบอย่างถือสิทธิ์แล้วบีบขย้ำในจังหวะพอดีเพื่อให้คนตัวเล็กรู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น ก่อนจะจับชายเสื้อถลกขึ้นถอนออกหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวปกปิดเรือนกายเย้ายวนเพียงไม่กี่วินาทีก็เรียบร้อยแล้วประคองตัวเธอล้มลงนอนบนโซฟาเพื่อบอกรักให้สาสมต่อความรักที่แสดงออกมา
เขาจะกลืนกินเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จมบ่อรักไปด้วยกันเถอะ!