บทที่ 01
คนแพ้ [1]
ห้างสรรพสินค้า
19.29 น.
“น้องขวัญไม่ได้รีบกลับหรือว่ามีธุระที่ไหนแน่นะครับ” ศรุตม์ถามย้ำด้วยความเกรงใจเพราะไม่คิดว่าการตรวจงานในครั้งนี้จะใช้เวลานานกว่าปกติ ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าก็ล่วงเลยเวลามาจนมืดค่ำ
“ไม่รีบค่ะ แต่คุณศรุตม์ยังไม่ได้บอกขวัญเลยนะคะว่าตกลงแล้วของขวัญที่จะซื้อให้พี่แป้งเนี่ย ให้เนื่องในโอกาสอะไร” พาขวัญถามยิ้มๆ ระหว่างที่กำลังกวาดสายตามองหาของขวัญชิ้นพิเศษที่เธอคิดว่าเหมาะกับปั้นแป้ง เพราะจนป่านนี้แล้วศรุตม์ก็ยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ให้เธอฟังเลย
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ร้านอาหาร เขาก็ดูซึมลงไปนิดหน่อย ครั้นเธอจะเป็นคนเอ่ยปากถามก็กลัวว่าเขาจะยังไม่อยากพูดถึง
“หมดเวลางาน คุณศรุตม์เขากลับคอนโดไปนอนแล้วครับ” ศรุตม์ทำเสียงเข้มใส่ พอเธอหันไปมองเขากลับอมยิ้มแล้วทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ “เรียกพี่ตาร์ก่อนสิครับ แล้วจะบอก”
“โอ้โห ตกลงแล้วใครต้องง้อใครคะเนี่ย” พาขวัญทำเมินบ้าง ก่อนจะต้องยอมใจอ่อนเมื่อศรุตม์หันมายิ้มเจื่อน มองเธอตาปริบๆ เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้
“ก็ได้ค่ะ พี่ตาร์ก็พี่ตาร์”
“ต้องให้มันได้แบบนี้สิครับ เฮ้อ กว่าจะยอมแต่ละที พี่นี่เหนื่อยเลย” แม้จะถอนหายใจแต่สีหน้ากลับยังคงยิ้มแย้มอย่างผู้ชนะ
“ตกลงจะบอกได้หรือยังคะว่าของขวัญเนื่องในโอกาสอะไร” พาขวัญดึงกลับเข้าประเด็น เดินกันมาสักพักแล้วแต่ดูเหมือนยังไม่เข้าใกล้วัตถุประสงค์ของการที่เขาพาเธอมาที่นี่เลยสักนิด
“ครบรอบเจ็ดปีครับ”
“ครบรอบเจ็ดปีเหรอคะ”
“ครับ เจ็ดปีแล้วที่พี่พยายามขอแป้งเป็นแฟน” ศรุตม์ยิ้มเขิน แม้จะรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้างแต่มันก็คือความจริงที่เขาอยู่กับมันมาโดยตลอด
“นานจังเลยนะคะ”
“จีบมานานขนาดนี้มือยังไม่ได้จับเลยนะครับเนี่ย” แซวตัวเองเล่นเสียเลย พาขวัญที่พยายามทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดถึงกับสับสนว่าเธอควรจะขำหรือสงสารเขาดี
“ขวัญขอถามได้ไหมคะว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาพี่ตาร์เลือกซื้อของขวัญอะไรให้พี่แป้งไปแล้วบ้าง เผื่อเอาไว้เป็นแนวทางค่ะ”
“เปลี่ยนทุกปีนั่นแหละครับ ดอกไม้บ้าง เครื่องประดับบ้าง เคยซื้อกระเป๋าให้ใบหนึ่งแต่ไม่เคยเห็นยัยนั่นใช้เลยสักที อ้อ ปีที่แล้วซื้อนาฬิกาให้ครับ ผลก็คือไม่เคยเห็นใส่อีกเหมือนกัน” ศรุตม์เล่าด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“เคยถามไหมคะว่าทำไมพี่แป้งถึงไม่ใช้”
“เคยคิดครับ แต่ไม่กล้าถามหรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“กลัวคำตอบครับ จำได้ว่าของขวัญชิ้นแรกที่พี่ตั้งใจจะขอแป้งเป็นแฟนคือดอกกุหลาบสีขาวเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก แต่นอกจากเธอจะปฏิเสธคำขอแล้วเธอยังไม่ยอมรับช่อดอกไม้ของพี่อีกต่างหาก”
พาขวัญถึงกับยิ้มแห้งเมื่อไม่คิดว่าผู้ชายตรงหน้าที่ดูเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างจะมีชะตากรรมความรักที่น่าสงสารถึงขนาดนี้
“แล้วพี่ตาร์ทำอย่างไรต่อคะ”
“ถ้าพี่บอก น้องขวัญต้องไม่เชื่อพี่แน่ๆ”
พาขวัญเลิกคิ้วสูงด้วยความอยากรู้มากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่สีหน้าของศรุตม์กลับดูลำบากใจปนเขินอายเมื่อกำลังจะต้องพูดถึงเรื่อง น่าอายนั้นจริงๆ แต่ในเมื่อเขาตั้งใจจะขอร้องให้เธอช่วยแล้ว เขาก็ต้องยอมเล่าทุกอย่างนั่นแหละ
“พี่โกยความหน้าด้านทั้งหมดที่พี่เหลืออยู่ในตอนนั้น ขอร้องให้แป้งยอมรับช่อดอกไม้ของพี่ไว้น่ะครับ บอกเธอว่ายังไม่ตกลงคบกันก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยรับไว้หน่อยเพราะคนอื่นมองอยู่”
ทำไมปั้นแป้งถึงได้ใจร้ายกับผู้ชายคนนี้นักนะ
“แล้วพี่แป้งยอมรับไหมคะ”
“รับครับ แต่ก็เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมันบังคับให้เธอรับเอาไว้นั่นแหละ แต่ปีต่อๆ มาก็เริ่มดีขึ้นมาหน่อยเพราะเธอไม่ได้ทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้รับเหมือนปีแรกแล้ว เปลี่ยนมาเป็นรับเพราะความเคยชินแทน”
พาขวัญไม่แน่ใจเลยสักนิดว่านั้นเรียกว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ
“แล้วพี่ตาร์ก็ทำแบบนั้นมาตลอดทุกปีเหรอคะ”
“ครับ พี่สัญญากับตัวเองแล้วก็สัญญากับแป้งเอาไว้ว่าตราบใดที่ยังไม่มีใครเข้ามาทำให้ความรู้สึกของพี่เปลี่ยนไปจากแป้งได้ พี่ก็จะยังขอโอกาสจากเธอทุกปี” น้ำเสียงของศรุตม์หนักแน่นจนพาขวัญนึกอิจฉาปั้นแป้งที่เธอมีโอกาสได้เจอผู้ชายที่รักและทุ่มเททำเพื่อเธอได้มากขนาดนี้ นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังมั่นคงและเสมอต้นเสมอปลายมาได้ถึงเจ็ดปี
“น้องขวัญพอนึกออกบ้างหรือยังครับว่าปีนี้พี่จะซื้ออะไรให้แป้งดี”
“ขวัญคิดว่าขวัญพอจะคิดออกนะคะ แต่เดี๋ยวขอเดินดูสักพักก่อนก็แล้วกันค่ะ พี่ตาร์เองก็ไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหมคะ”
“ครับ น้องขวัญมีเวลาเลือกจนกว่าห้างจะปิดเลย” ศรุตม์บอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินตามพาขวัญมาเรื่อยๆ เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าของขวัญที่พาขวัญคิดเอาไว้ในใจคืออะไร แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร จะถูกหรือแพงแค่ไหนเขาก็ยินดีที่จะจ่ายทั้งนั้น
“ไปค่ะ ขวัญเจอแล้ว รับรองว่าพี่แป้งต้องชอบ” พาขวัญหันไปพูดกับศรุตม์ที่เดินตามมาทางด้านหลังพร้อมกับชี้นิ้วตรงไปที่ร้านหนังสือร้านหนึ่ง
“หนังสือเหรอครับ”
“ค่ะ พี่แป้งชอบอ่านหนังสือมากนะคะ”
“เรื่องนั้นก็พอรู้ครับ ก่อนหน้านี้พี่เองก็เคยคิดเหมือนกันแต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าเธอจะเบื่อ ดีไม่ดี ถ้าซื้อตรงกับเล่มที่เธอเคยอ่านไปแล้วก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเธอเอาหนังสือฟาดหน้ากลับมาด้วย” ศรุตม์อธิบายเสียงเข้ม เขารู้มาแต่ไหนแต่ไรว่าปั้นแป้งชอบอ่านหนังสือมากและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกเปิดร้านขายหนังสือ
“หนังสือเล่มเดิม อ่านกี่รอบมันก็จบเหมือนเดิมน่ะใช่ค่ะ แต่จะมีหนังสือสักกี่เล่มกันล่ะคะที่เราเลือกจะหยิบมันขึ้นมาอ่านซ้ำๆ ทั้งที่เรารู้ตอนจบดีอยู่แล้ว” พาขวัญยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจที่จะนำเสนอ แล้วยืนรอสัญญาณความเห็นจากศรุตม์ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ครับ ถ้าน้องขวัญว่าดี พี่ก็ว่าดีครับ”
“มันต้องดีแน่นอนค่ะ เพราะเหตุผลเดียวที่เราจะหยิบหนังสือเล่มที่เรารู้ตอนจบอยู่แล้วขึ้นมาอ่านก็เพราะเราชอบมัน” พาขวัญย้ำอย่างมั่นใจ เธอเริ่มรู้สึกสนุกกับการได้เลือกหนังสือให้กับปั้นแป้งพร้อมกับที่ได้ลุ้นไปกับความพยายามของศรุตม์ บอกกับตัวเองว่าเธอจะเอาใจช่วยเขา แต่จะไม่รู้สึกเห็นใจเขาเด็ดขาดเพราะเชื่อว่าเขารู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่
“เล่มนี้ดีไหมครับน้องขวัญ” ศรุตม์หันกลับมาถามพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือ ยื่นหน้าปกมาให้พาขวัญช่วยดู “วันก่อนพี่ได้ยินแป้งบอกว่าสนใจเรื่องการลงทุนพอดี”
“ก็ดีนะคะ”
“ก็ดีแปลว่าไม่ดีใช่ไหมครับ” น้ำเสียงเข้มๆ ของศรุตม์ทำให้พาขวัญอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ก็ดีแปลว่าดีค่ะ แต่มันน่าจะมีอย่างอื่นที่ดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นคู่มือการทำอาหารดีไหมครับ แป้งชอบทำอาหาร ขนมได้บ้างแต่ไม่ค่อยถนัด หรือเราจะเลือกหนังสือสูตรทำขนมไปให้แป้งดี เผื่อจะอยากลองทำ”
“ก็ดีอีกเหมือนกันค่ะ”
“แปลว่ามีอย่างอื่นที่ดีกว่าอีกแล้วสินะครับ” ศรุตม์รำพึงรำพันพลางเดินตามพาขวัญที่กำลังตั้งอกตั้งใจเลือกหนังสือมาเรื่อยๆ กระทั่งเห็นว่าเธอเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อหยิบหนังสือเล่มหนึ่งลงมาจากชั้นวางหนังสือด้านบน
“เดี๋ยวพี่หยิบให้ครับ” ศรุตม์ไม่รีรอที่จะให้ความช่วยเหลือ และเพียงแค่เขาเอื้อมมือขึ้นไปก็สามารถหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมาจากชั้นวางได้แล้ว ไม่ต้องเขย่งด้วยซ้ำไป
“เล่มนี่เหรอครับ”
ถามพลางก้มอ่านชื่อหนังสือบนปก แต่ไม่ทันสังเกตว่าพาขวัญยืนตัวเกร็งแข็งทื่อ เพราะเมื่อครู่นี้จมูกของเธอแทบจะฝังลงบนหน้าอกของเขาอยู่รอมร่อ กลิ่นน้ำหอมของเขายังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกของเธออยู่เลย
“ขอโทษครับ” ศรุตม์ที่เพิ่งรู้ตัวรีบก้าวถอยหลังออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง พาขวัญยิ้มบางแล้วดึงสมาธิกลับมาพลางแบมือขอหนังสือเล่มนั้นจากเขาซึ่งเขาก็รีบส่งมันให้เธอทันที
“อยากออกจากเฟรนด์โซน”
ชื่อหนังสือที่พาขวัญเพิ่งจะอ่านออกเสียงทำให้ศรุตม์ก้มมองที่หน้าปกอีกรอบ
“เล่มนี้ชอบไหมคะ”
“น้องขวัญคิดว่ามันจะดีเหรอครับ ไม่ใช่ว่าแป้งไม่รู้สักหน่อยว่าพี่คิดอย่างไร”
“พี่แป้งรู้ก็จริงค่ะ แต่ขวัญคิดว่าสิ่งที่พี่ตาร์ควรจะให้พี่แป้งก็คือสิ่งที่อยากให้พี่แป้งสนใจ มากกว่าสิ่งที่พี่แป้งเขาสนใจอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ตาร์คิดว่าไม่ดีก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลองดูเล่มอื่นก่อนก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวครับๆ” ศรุตม์ร้องห้ามเมื่อพาขวัญทำท่าจะหันกลับไปเก็บหนังสือเล่มนั้นกลับไว้บนชั้นตามเดิม ทว่าจังหวะที่เขาก้าวเข้าไปเพื่อห้าม มันกลับทำให้เธอกับเขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกันอีกครั้ง มิหนำซ้ำมือของเขาที่ตั้งใจจะจับหนังสือเล่มนั้นในมือเธอ ก็ดันจับเข้ากับมือของเธอพอดีเสียอีก
“ขอโทษครับ”
บรรยากาศโดยรอบเริ่มอึดอัด พาขวัญรีบก้าวถอยออกมาเมื่อปล่อยให้ศรุตม์แย่งหนังสือเล่มนั้นไปจากมือของเธอได้สำเร็จ
“เอาเล่มนี้ก็ได้ครับ”
“แต่ว่า...”
“ลองดูอีกสักสองสามเล่มไหมครับ หรือว่าแค่เล่มเดียวพอ” ศรุตม์ พยายามจะแก้สถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดูจะอึมครึมขึ้นมาเรื่อยๆ ให้กลับมาดีขึ้น โชคดีที่พาขวัญยิ้มตอบเพราะเธอเข้าใจว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยน์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาอย่างแน่นอน
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวขวัญเดินดูเพิ่มให้ก็แล้วกันนะคะ หรือถ้าพี่ตาร์สนใจเล่มไหน หยิบมาเลยก็ได้ค่ะ”
“ได้ครับ อ้อ น้องขวัญครับ”
“อะไรคะ”
“ถ้าน้องขวัญอยากได้เล่มไหน หยิบมาได้เลยนะครับ คิดเสียว่าพี่ซื้อให้แทนคำของคุณ” ศรุตม์ออกปากอย่างใจดี
“ขวัญไม่ชอบอ่านหนังสือหรอกค่ะ” พาขวัญสารภาพแล้วหัวเราะ
เสียงหัวเราะของเธอทำให้ศรุตม์รู้สึกเบาใจได้เล็กน้อยว่าเธอเองก็คงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนจะช่วยกันเลือกหนังสือต่อ
“เล่มนี้น่าสนใจไหมคะ”
“108 ภาษารัก (เพื่อน) โอ้โห ถ้าไม่เข้าใจนี่ต้องจับทุบแล้วนะครับ ฮ่าๆ” ศรุตม์อ่านชื่อหนังสือแล้วหัวเราะเบาๆ พร้อมกับดึงหนังสือออกจากมือของพาขวัญมาถือเอาไว้เองเสร็จสรรพ “เลือกต่อเลยครับ น้องขวัญชอบเล่มไหนหยิบมาให้หมดเลย”
“เข้าตำราสายเปย์เลยนะคะ”
“ครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่าทำทุกอย่างมาเจ็ดปี มือก็ยังไม่ได้จับ” แกล้งย้ำพลางทำตาปริบๆ ใส่พาขวัญราวกับกำลังเรียกร้องความสงสารจากเธอ
พาขวัญยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะก่อนจะเดินหนีเขามาเลือกหนังสือที่อีกฝั่งของชั้นหนังสือ ไม่อย่างนั้นเธอคงหัวเราะเสียงดังเพราะตลกกับสายตาละห้อยของเขาแน่ๆ เดี๋ยวจะพากันถูกไล่ออกจากร้านหนังสือเสียก่อน
“น้องขวัญครับ เล่มนี้ดีไหมครับ เมื่อเพื่อนอยากเลื่อนเป็นแฟน”
“ดีค่ะ เล่มนี้ด้วยแล้วกันนะคะ”
“ครับ เล่มนี้ก็น่ารักดีนะครับ ปกสวยจัง”
ไม่นานทั้งคู่ก็เริ่มสนุกกับการเลือกซื้อหนังสือ รู้ตัวอีกทีพาขวัญก็ต้องขอรถเข็นจากพนักงานก่อนที่ศรุตม์จะเป็นคนเข็นหนังสือเกือบสามสิบเล่มมาจ่ายเงิน
“โอ้โห โดนไอ้แป้งทุ่มใส่แน่ๆ”
ก้มมองหนังสือสามถุงใหญ่ๆ แล้วศรุตม์ถึงกับออกปากบ่น เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตว่าเลือกหนังสือมามากขนาดนี้ เพิ่งจะมาได้สติตอนที่พนักงานหยิบใส่ถุงเพื่อคิดเงิน
“ไม่หรอกค่ะ”
“น้องขวัญแน่ใจเหรอครับ”
“แน่ใจค่ะ หนักขนาดนี้พี่แป้งยกทุ่มไม่ไหวแน่ มาค่ะ ขวัญช่วยถือ” พาขวัญว่าแล้วหัวเราะ ก่อนจะยื่นมือไปช่วยเขาถือถุงหนังสือ แต่เขากลับเบี่ยงตัวหนีเพื่อปฏิเสธ
“ไม่ต้องครับ พี่ถือเองดีกว่า”
“แต่มันหนักมากนะคะ”
“ไม่หนักหรอกครับ ต่อให้น้องขวัญพาพี่ไปเลือกซื้อครกพี่ก็ถือได้” ศรุตม์บอกด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ แต่พาขวัญรู้ดีว่านั่นเป็นเพราะเขาอยากภูมิใจที่ได้ถือมันให้กับผู้หญิงที่เขารักด้วยตัวเอง
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นครกแล้วพี่แป้งทุ่มกลับมา ขวัญไม่ช่วยนะคะ ตัวใครตัวมัน”
“โอ้โห ทิ้งกันเฉยเลย” ศรุตม์แกล้งว่า “น้องขวัญหิวหรือยังครับ รีบกลับไหม เราหาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ”
“กำลังหิวเลยค่ะ”
“งั้นน้องขวัญเลือกร้านเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ พี่เลี้ยงเอง” ทั้งหมดก็เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยเขาเลือกซื้อของขวัญสำหรับปั้นแป้งนั่นแหละ
Rrrr
ระหว่างที่พาขวัญกำลังเลือกร้านอาหาร โทรศัพท์มือถือของศรุตม์ก็สั่นขึ้นมา เธอได้ยินจึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปรับถุงหนังสือมาจากมือของเขาหนึ่งถุงเพื่อให้เขาหยิบโทรศัพท์มือถือรับสายได้ถนัด
“วันนี้เหรอ”
น้ำเสียงตกใจของเขาทำให้เธอหยุดมองหาร้านอาหารทันที หันกลับไปมองเขาอีกครั้งก็เห็นว่าเขากำลังยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณบอกว่ามีธุระให้ต้องรีบกลับ
“เออๆ ฉันลืมน่ะ จะตามไปทีหลังก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” บอกเร็วๆ แล้ววางสาย เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตามเดิมแล้วรีบดึงถุงหนังสือจากมือของพาขวัญไปถือเอาไว้
“พี่ถือเองครับ มันหนัก”
นึกอยากจะบอกเขาว่าไม่เห็นจะหนักสักนิด แต่คิดว่าเขาคงไม่เชื่อและไม่ยอมให้เธอช่วยถืออยู่ดี
“ถ้าพี่ตาร์มีธุระ เรากลับกันเลยไหมคะ”
“ครับ พี่ขอโทษนะครับน้องขวัญ แต่พี่ลืมไปเลยว่าคืนนี้พี่มีนัดกับเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” พาขวัญบอกอย่างไม่เรื่องมาก
“เดี๋ยวน้องขวัญไปกับพี่ก่อนก็แล้วกันนะครับ รุ่นน้องของพี่เปิดร้านอาหาร พี่กับเพื่อนก็เลยนัดกันที่นั่น เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินนั่นเลย เสร็จแล้วพี่ค่อยแวะไปส่ง”
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก อ้อ แล้วก็ห้ามเรียกพี่ว่าคุณศรุตม์ต่อหน้าเพื่อนพี่เด็ดขาดเลยนะครับ เดี๋ยวพี่โดนเพื่อนล้อ” ศรุตม์แกล้งย้ำ สายตาแฝงความเอาแต่ใจอย่างลูกชายคนเล็กของครอบครัว พูดจบก็เดินนำพาขวัญกลับไปที่รถทันทีโดยที่เธอก็ทำได้เพียงแค่เดินตามเขาออกมา ไม่ทันจะได้ปฏิเสธสักคำ
“พี่ตาร์คะ” ขึ้นรถได้เธอจึงตั้งใจจะหันไปปฏิเสธเขา
“มีอะไรครับ”
“เดี๋ยวพี่ตาร์ส่งขวัญที่สถานีรถไฟฟ้าก็พอค่ะ ขวัญกลับเลยดีกว่า ไม่อยากรบกวนน่ะค่ะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ พี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนน้องขวัญ”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เพื่อนพี่ใจดีทุกคน เผื่อว่าน้องขวัญจะถูกใจสักคนสองคน เดี๋ยวพี่ช่วยสกรีนให้” เสนอตัวพลางหันมาขยิบตาใส่หนึ่งที
“พูดเองนะคะ”
“โอ้โห พอเป็นเรื่องผู้ชายนี่สู้ขึ้นมาเชียวนะครับ เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีเลย”
“อ้าว ก็พี่ตาร์บอกเองว่าจะช่วยสกรีนให้นี่คะ ขวัญไว้ใจพี่ตาร์เลยนะเนี่ย”
“ก็ได้ครับ ถ้าไปถึงแล้วสนใจคนไหนก็กระซิบบอกพี่แล้วกัน ถ้าโสดพี่จะรีบแนะนำให้รู้จัก” ศรุตม์ย้ำด้วยท่าทีขี้เล่น แม้พาขวัญจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ลึกๆ แล้วเธอกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้นสักนิด สุดท้ายก็ต้องติดสอยห้อยตามเขามาจนถึงร้านอาหาร