บทที่8 คุณหนูน้อย1

2419 คำ
บทที่8 คุณหนูน้อย กรงดักสัตว์ระดับE ที่ได้มามีขนาดใหญ่พอสมควร เฟิงลี่นำมันออกมาให้พี่ชายช่วยถือไว้ด้วยเพราะมันกลายเป็นกรงดักสัตว์ทำจากไม้ทั่วไป ราวกับระบบสามารถเลียนแบบของบนโลกนี้ได้โดยไม่แตกต่าง แต่อัตราการดักสัตว์ได้ของกรงระดับEคือ80% ไม่จำเป็นต้องใช้เหยื่อล่อแค่นำไปวางไว้บริเวณที่มีสัตว์อยู่ ซึ่งเฟิงลี่สามารถกำหนดจุดแน่ชัดได้เพราะนางมีแผนที่ของระบบ! หลังจากจ่ายค่าเกวียนและเดินกลับบ้านเฟิงลี่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะพวกนางมีเงินเหลือในกระเป๋า22ตำลึงกับอีก1เฉียน(500อีแปะ) และเงินอีกนิดหน่อย2-3ร้อยอีแปะ นี่จะทำให้บ้านนางสบายขึ้นมาก แต่ยังไม่สามารถซื้อที่ดินได้ แต่เฟิงลี่คิดไว้แล้วว่าจะเสียสละหนูทั้งหลายไปขายให้ร้านจงเหมินก่อน จากนั้นก็จะพาครอบครัวย้ายออกไปอยู่ที่อื่นโดยเร็ว เมื่อมาถึงบ้านเฟิงลี่มอบเงินให้ท่านแม่ทั้งหมดพร้อมบอกแผนตัวเองและเล่าเรื่องที่ได้ยินเมื่อตอนกลางวันเกี่ยวกับที่ดินหมู่ละ5ตำลึง แน่นอนว่าท่านแม่ไม่เห็นด้วย แต่ท่านพ่อที่ตื่นขึ้นมาพอดีกลับรับปากว่าจะย้ายออกไปและช่วยกล่อมท่านแม่ให้ แถมท่านพ่อยังไม่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ใครฟัง และบอกให้ลืมมันไปซะ นางคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ และเฟิงลี่ก็รู้ดีว่าชาวบ้านโดยทั่วไปมักหวงแหนบ้านเกิด แต่ในเมื่อหมู่บ้านนี้ไม่ต้อนรับคนสกุลอื่น ท่านพ่อก็รู้ดี ท่านแม่คงไม่กล้าขัดสามีไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนางก็ไปสั่งให้ต้าฟางจับสัตว์รอบๆโดยเฉพาะหนู ส่วนงูก็ให้ไล่ไปแทนที่จะฆ่า แน่นอนว่ามีชาวบ้านหลายคนเห็นชายแปลกหน้าเดินอยู่บริเวณบ้านตระกูลซ่ง บางคนก็ไม่กล้าเข้าไปทักทายเพราะใบหน้าถมึงทึงของต้าฟาง บางคนที่กล้าหน่อยก็เดินเข้าไปทักทายและพยายามสืบให้รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร และเป็นเฟิงลี่กับมารดาที่บอกกล่าวว่าชายผู้นี้เป็นคนใบ้ และมาช่วยทำสวนชั่วคราว ทำให้ชาวบ้านไม่คิดขุดคุ้ยเรื่องนี้อีก แต่คนไม่ขุดคุ้ยก็แล้วไป คนที่คอยแต่จะยุ่งกับบ้านสกุลซ่งอย่างบ้านใหญ่ของท่านยายเหวียนก็ส่งคนมาดูลาดเลา โดยเฉพาะท่านป้าใหญ่ที่แต่งงานออกไปแล้ว แต่เพราะนางแต่งให้คนในหมู่บ้าน บางครั้งก็ยังไปเบียดบังขอความช่วยเหลือจากบ้านใหญ่ แต่ครั้งล่าสุดที่นางตี้หงไปขอให้มารดาช่วยเหลือเงินสัก100อีแปะและโดนปฏิเสธ นางก็โกรธแค้นมากเมื่อรู้ว่าต้นเหตุเป็นเพราะ เจ้าเห็บตระกูลซ่งที่นางดูถูกมาตลอด ไม่ยอมดูแลบ้านใหญ่เหมือนเดิม นางหงนั้นเป็นพวกไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพราะบ่อยครั้งที่นางต้องออกเดินทางกับสามีทำให้ไม่ค่อยได้คุยกับคนในหมู่บ้าน นางจึงรู้แต่ที่มารดาบอก แต่ไม่รู้ข่าวลืออื่น อย่างเช่น นางไม่รู้ว่าซ่งจิ้นเพิ่งบาดเจ็บหนักมา ดังนั้นนางจึงไปโวยวายหน้าบ้านตระกูลซ่งในเช้าวันหนึ่ง นิสัยของนางหงนั้นคล้ายมารดามาก นางมักเรียกร้องให้คนสนใจมากๆและทำตนเองให้ดูน่าสงสาร และพูดใส่ร้ายคนอื่นหน้าด้านๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ยิ่งนางได้เห็นว่าบ้านตระกูลซ่งเลี้ยงชายใบ้ไว้คนหนึ่ง นางก็ยิ่งโกรธแค้น “ดูเอาเถิดบ้านพี่น้องยังต้องลำบากเที่ยวหาข้าวมากรอกหม้อ แต่บ้านเจ้ากลับอยู่ดีมีสุขอ้วนขึ้นกันทุกคน ถึงขั้นเลี้ยงคนรับใช้ไว้คนหนึ่งแล้ว ข้ากลับมาหนนี้อยากจะขอหยิบยืมเงินไปหมุนเวียนสักร้อยอีแปะพวกเจ้าก็จะบอกว่าไม่มีให้งั้นหรือ?” เสียงคนโวยวายพร่ำบ่นหน้าบ้านทำให้เฟิงลี่โผล่หน้ามามอง เมื่อวานนางวางกับดักสัตว์ไว้และเพิ่งไปเก็บกลับมา ในนั้นมีสัตว์เล็กอยู่3ตัวกรงหนึ่ง เป็นหนู2กระรอก1 บ่งบอกว่าหากเป็นสัตว์เล็กจะมีอัตราการได้สูงกว่า ส่วนอีกกรงหนึ่งนั้นว่างเปล่า แปลว่าโชคนางไม่ค่อยดีนัก หรือไม่ก็คงวางไว้ตรงจุดที่ไม่ดี ตอนนี้นางกับพี่ชายกำลังช่วยกันเลือกหนูในตะกร้าที่ต้าฟางจับมาได้จากรอบๆ เพื่อนำไปขายในเมืองในวันนี้ “ใครมาน่ะ เสียงคล้ายพี่ใหญ่เลย เสี่ยวลี่ เสี่ยวเฟิง ไปเชิญท่านป้าเข้ามาในบ้านก่อนสิลูก” นางตี้จิงหรุยผู้ไม่มีอารมณ์ใดใดกับการโดนรังแกหรือป้ายสีเอ่ยบอกบุตรสาวหน้านิ่ง นางกำลังสนใจการหัดปักผ้าอย่างหนัก กระทั่งแทบไม่สนรอบด้าน โชคดีที่ตำราปักผ้าสามารถเก็บเข้าช่องเก็บของได้ เวลาที่มารดาไม่ได้ใช้ตำราปักผ้าเฟิงลี่ก็จะเก็บเข้าช่องเก็บของ รวมถึงของที่ได้จากระบบทั้งหมดด้วย มีเพียงเข็มปักผ้าที่มารดาใช้อยู่ตลอด ดูเหมือนมารดาจะชอบงานปักผ้าอย่างที่นางคิดจริงๆ แน่ล่ะ ผู้หญิงในยุคนี้ ทางเดียวที่จะสร้างความสวยงามของตนเองและครอบครัวได้ ก็คือการปักผ้าด้วยตนเอง ไม่แปลกที่ท่านแม่จะให้ความสำคัญกับงานเย็บปัก เฟิงลี่และซ่งเฟิงเดินออกไปหน้าประตูบ้าน นางสะพายตะกร้าแบบมีฝาปิดเพื่อเตรียมเข้าเมืองแล้ว ดังนั้นจึงเพียงมาต้อนรับแขกให้ท่านแม่เท่านั้น “สวัสดีเจ้าค่ะท่านป้า ท่านแม่อยู่ด้านใน ทำไมไม่เข้าไปพูดคุยกันในบ้านก่อนเล่าเจ้าคะ” “หนอย เจ้าเด็กตัวดี อ้วนขึ้นเยอะเชียวนะ ทั้งที่พวกเราล้วนแต่ลำบากกันทั้งนั้นพวกเจ้าเอาอะไรมากินกันแน่ จะบอกว่ากินหญ้างั้นเรอะ ข้าไม่เชื่อหรอก ใครๆก็ไม่เชื่อทั้งนั้น แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ญาติพี่น้องอดอยากเล่าหากพวกเจ้ามีกิน พวกเจ้ามันอกตัญญูเสียยิ่งกว่าชาติหมา” ซ่งเฟิงและเฟิงลี่ตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ซ่งเฟิงจะพูด “ท่านป้า เข้ามาคุยกันในบ้านให้เข้าใจก่อนเถิด ท่านพ่อก็จ่ายเงินหนึ่งตำลึงให้ท่านยายไปแล้วตามที่ได้ตกลงเอาไว้ตอนที่แยกบ้านกัน ยังจะเอาคำใดมากล่าวว่าพวกเราอกตัญญูอีกเล่าขอรับ ยังไงถ้าท่านป้าเดือดร้อนอะไรมาก็เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนเถิดขอรับ ทำเช่นนี้...หรือท่านป้าต้องการหาเรื่องพวกเราบ้านเล็กมากกว่ามาขอความช่วยเหลือจริงๆ” คำพูดของซ่งเฟิงนั้น นางตี้หงไม่อาจเถียงได้สักคำ ชาวบ้านเริ่มชี้มือชี้ไม้กระซิบกระซาบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว หากนางตี้เหวียนรู้ว่านางตี้หงมาก่อความวุ่นวายที่บ้านเล็กจนโดนชาวบ้านนินทา นางต้องโดนท่านแม่ดุด่าเป็นแน่ เมื่อคิดได้นางจึงยอมตามเด็กๆเข้าไปในบ้าน นางตี้หงพยายามมองรอบด้านอย่างประเมิน แต่ก็ไม่เห็นว่าในบ้านจะมีของใหม่อะไรเลย ไม่เหมือนกับที่ท่านแม่เป่าหูนางว่าบ้านเล็กกำลังไปได้ดีและสุขสบายขึ้นมาก แต่ไม่ยอมช่วยคนบ้านใหญ่ เมื่อเข้ามาถึงหน้าเรือนก็เห็นน้องสาวบ้านท่านน้ารอง(บิดาของตี้หงเป็นพี่ชายของบิดาของตี้จิงหรุย) กำลังนั่งปักผ้า และดูเหมือนเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น โชคดีที่นางตี้จิงหรุยคิดทันรีบเก็บผลงานที่ปักเสร็จแล้วไว้ใต้เตียง และหยิบผืนใหม่มาปัก เนื่องจากในหมู่บ้านนี้แม้คนที่ปักผ้าเป็นจะมีเยอะ แต่ส่วนมากก็รู้แค่งูๆปลาๆ พอปักได้บ้างเท่านั้น แต่ผลงานใหม่ๆของนางตี้จิงหรุยเกือบเทียบชั้นคุณหนูในเมืองหลวงได้แล้ว ดังนั้นจึงต้องระวังให้มากเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ “น้องจิงหรุย เจ้าสบายดีหรือไม่” นางตี้หงรู้แล้วว่ามารดาเพียงระบายความเกลียดคนบ้านเล็กให้นางฟังเท่านั้น และนางก็หูเบาเชื่อมารดา แม้คนบ้านตระกูลซ่งจะดูสุขสมบูรณ์ดี แต่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นบ้านเก่าๆโทรมๆใกล้ผุพังหลังเดิม เสื้อผ้าหน้าผมเครื่องประดับก็ไม่มี มีแต่ร่างกายที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ซึ่งความจริงคนเป็นพี่สาวใหญ่ของบ้านอย่างตี้หงก็ไม่ได้รังเกียจเด็กสองคนที่บิดาเลี้ยงดูมาด้วยกัน ออกจะเอ็นดูเป็นห่วงน้องสาวไม่น้อยด้วยซ้ำ แต่กับซ่งจิ้นนั้นนางค่อนข้างอคติ เพราะคิดว่าเขาเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหง เมื่อตอนที่ท่านพ่อกล่าวว่าจะยกนางให้แต่งงานด้วย นางจึงไม่ชอบเขาเรื่อยมา และเพราะโดนมารดาเป่าหูอยู่บ่อยๆ ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้พี่ผู้น้องทั้งคู่เหินห่างมากขึ้นเมื่อนางแต่งงานออกไปแล้ว “สบายดีเจ้าค่ะ แต่อาจิ้นไม่ใคร่สบายดีนัก เพิ่งผ่านเคราะห์กรรมมาได้ไม่นาน อาลี่ อาเฟิงจะออกไปแล้วหรือลูก ขากลับแวะซื้อยาจากท่านหมอมาด้วยล่ะ” นางตี้จิงหรุยรีบสั่งบุตรสาวบุตรชาย เห็นว่าพวกเขาจะนำหนูไปขายในเมือง ซึ่งราคาหนูดีมากจนน่าตกใจ ชาวบ้านแถบนี้ยังไม่รู้เลยว่าหนูมีราคาแพงถึงขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นหนูคงโดนล่ามากกว่านี้แล้ว บุตรสาวนางยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล คิดเลี้ยงหนูเพื่อนำไปขายอีกด้วย ซึ่งนางตี้จิงหรุยค่อนข้างสนับสนุนหากพวกเขาจะหาเลี้ยงตนเองได้ น่าเสียดายที่บุตรสาวจะไม่ได้อยู่กับนางตลอดไป “หืม? น้องจิ้นเป็นอะไรหรือ” ยิ่งได้ยินอย่างนี้นางตี้หงยิ่งรู้ได้ว่าตนเองโดนมารดาหลอกอีกแล้ว แต่นางก็เป็นคนหูเบาเกินไป ดังนั้นจึงมักทำพลาดอยู่ตลอดๆ ในเรื่องความสัมพันธ์กับน้องสาวผู้นี้ “เมื่อวันก่อนมีโจรผู้ร้ายทำร้ายท่านพี่ ตอนนี้รอดชีวิตมาแล้ว แต่ก็ต้องทานเทียบยาของท่านหมออยู่ตลอด เทียบยาหนึ่งก็100อีแปะแล้ว เฮ่อ!” ตี้จิงหรุยถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ หากไม่ใช่เพราะบุตรสาวนางโชคดีเห็นทางทำเงิน นางคงไม่มีปัญญาหาเงินมาพอค่ายาสามีเป็นแน่ “..” นางตี้หงรู้แล้วว่าครอบครัวตระกูลซ่งไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนที่มารดาบอก อย่างมากก็เพียงพอที่จะอาศัยอยู่อย่างไม่อดอยากได้ ดูอย่างเด็กสองคนนั้นที่ขยันขึ้นเขาสิ พวกเขาขยันหากินกันขนาดนี้หากจะอุดมสมบูรณ์มากขึ้นก็ไม่แปลกหรือไม่? หากจะผิด ก็ผิดที่คนบ้านใหญ่ไม่กระตือรือร้น ไม่ขยันขันแข็งนั่นแหละ “ว่าแต่พี่ใหญ่มาที่นี่มีอันใดเจ้าคะ” ตี้จิงหรุยรู้ดีว่าพี่สาวผู้นี้พื้นฐานไม่ใช่คนไม่ดี มีหลายครั้งที่นางตี้จิงหรุยยืมเงินจากบ้านนี้มาเพื่อนำไปรักษาบุตรสาวได้หลายครั้ง หากนางตี้หงต้องการให้ช่วยเหลือ นางก็พร้อมช่วยเสมอ “พี่เขยเจ้าน่ะสิ ค้าขายขาดทุนครั้งใหญ่ทั้งที่กำลังไปได้สวย ตอนนี้เลยต้องกลับมาทำสวนที่บ้าน ตอนที่แยกบ้านออกมาก็ได้สวนมาแค่หมู่เดียว โชคดีที่อยู่ใกล้บ้านเขาเลยคิดว่าจะเลี้ยงสัตว์อะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เลี้ยงไก่ ทำสวนไป” นางหงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน พร้อมกับระบายความยากลำบากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ช่วงฤดูหนาวปกติแล้วสามีนางจะออกเดินทางเร่ขายผักดองและเนื้อแห้ง ไม่คิดเลยว่ารอบนี้จะหนาวจัดจนผักแข็งไม่เป็นอันกินต้องทิ้งไปหลายไห สุดท้ายต้องกลับมาอยู่บ้านเพื่อเอาชีวิตรอด นี่ยังไม่เข้าฤดูเพาะปลูกด้วยซ้ำ แต่ข้าวบ้านนางใกล้หมดเต็มทีแล้ว ดังนั้นจึงนึกอยากมายืมเงินจากมารดาสักสองสามร้อยอีแปะ “พี่ใหญ่ ความจริง...ก่อนที่ท่านพี่จะบาดเจ็บ เขาได้ทำการค้าครั้งใหญ่ได้เงินมาตำลึงกว่าๆ ถ้าไม่รังเกียจว่าเงินน้อย...เอาไปใช้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ” นางตี้จิงหรุยหยิบถุงเงินที่มีเงินอยู่ในนั้น1เฉียนออกมา ก่อนจะยัดใส่มือพี่สาว “นี่มัน...เยอะเกินไปแล้วน้องสาว เจ้ายังต้องดูแลสามีที่เจ็บป่วยอีก ไม่รู้ว่าเจ้าเห็บ...เจ้าซ่งนั่นจะหายเมื่อใด เจ้าเก็บไว้เพิ่มสักหน่อยเถิด ข้ายืมก่อนแค่300อีแปะก็พอ” นางตี้หงอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น แต่ก็ยังมีความเป็นห่วงเป็นใยให้น้องสาวผู้นี้ “พี่ใหญ่นำกลับไปเถอะ ช่วงนี้ข้าทำงานปักผ้าขายได้เงินพอจุนเจือครอบครัวอยู่เหมือนกัน แต่ที่ต้องจ่ายก็มีเยอะจริงๆ...แล้วนี่อาสี่บุตรชายท่านกลับมาด้วยหรือไม่?” สองพี่น้องเริ่มถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าเงินแค่เฉียนเดียวจะทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องที่ระหองระแหงมานานกลับมาสมานดังเดิม หรือเหมือนที่เขากล่าวกันว่า มีเงินเป็นพี่จริงๆ นางตี้จิงหรุยเริ่มรู้สึกยินดีที่ตนเองได้ดูแลจัดการเงินเองและไม่ต้องไปหยิบยืมจากบ้านใหญ่อีกแล้ว นี่เป็นเงินที่ลูกๆนางหามา เป็นเงินที่สามีนางหามา ต่อไปนี้นางจะไม่ให้ใครมาอ้างสิทธิ์ไปเด็ดขาด!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม