บทที่9 ถั่วงอก
ขากลับพวกเขาไม่ได้เจอลู่ฮูหยินอีก แต่ก็แวะซื้อยาจากร้านหมอกลับไปให้ท่านพ่อ แล้วค่อยเดินเท้าเข้าหมู่บ้านอีกเกือบ4ลี้ กว่าจะถึงบ้านก็บ่ายนิดๆแล้ว
เมื่อมาถึงบ้าน เฟิงลี่ต้องแปลกใจเพราะท่านป้าใหญ่ที่มาโวยวายเมื่อเช้า เพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ และคนบ้านใหญ่ที่ทำเนียนมากินข้าวเที่ยงบ้านนางก็กำลังทะยอยกลับเช่นกัน
“ท่านแม่...พวกเขาทำท่านลำบากใจอีกหรือไม่เจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกลูกรัก อย่างไรก็คนกันเองทั้งนั้น” นางตี้จิงหรุยที่นั่งอยู่ข้างเตียงสามี พร้อมกับปักผ้าไปด้วย เอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มน้อยๆอย่างใจดี
“ท่านแม่ก็เป็นเสียอย่างนี้” ซ่งเฟิงเบ้ปากไม่พอใจ เขานึกเสียดายผัก เสียดายปลาที่คนบ้านใหญ่มากินทุกวัน แถมยังทำเหมือนว่าบ้านนี้มีข้าวให้กินเท่าที่พอใจ ทั้งๆที่บ้านเขาก็ยากจนไม่ต่างกัน
แต่ยังดีหน่อย พวกนั้นกินแล้วรู้จักสำนึกบ้าง ไม่ได้มาก่อกวนหรือพูดจาไม่ดีกับคนในบ้านเหมือนช่วงแรกๆแล้ว นี่สินะที่เขาบอกว่า ขนาดสุนัขยังเลี้ยงเชื่องได้
“....” เฟิงลี่กลับสนใจสีหน้าแปลกๆของบิดา ที่เหมือนมีความโกรธอยู่ในแววตา คล้ายว่าคนบ้านใหญ่จะข้ามเส้นของเขา...ไม่แน่ว่า คนบ้านใหญ่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องโจรปล้นนั่นก็ได้
“ท่านแม่ ท่านพ่อ เดาสิว่าวันนี้พวกข้าได้เงินมาเท่าไหร่” ซ่งเฟิงปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว
เฟิงลี่กลับหัวไว นางรีบวิ่งไปที่ประตูบ้าน มองซ้ายมองขวาก่อนจะงับประตู ท่าทางของนางเหมือนโจรน้อยไม่มีผิด เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้องได้เลยทีเดียว
“เอาล่ะๆ ได้มาเท่าไหร่เล่า” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถาม
“ท่านพ่อ นี่ขอรับ” ซ่งเฟิงยื่นถุงเงินให้ พร้อมกับขนมครึ่งหนึ่งที่ตนเองเหลือมา เฟิงลี่เห็นอย่างนั้นก็ลุกลี้ลุกรน รีบหยิบขนมอีกครึ่งของตนออกมาให้มารดาเช่นกัน
“ท่านแม่ ลูกก็มีให้ท่านเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ยิ้มเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมอบของขวัญให้ผู้อื่นด้วยขนมเหลือของตนเอง
“...” ซ่งจิ้นและตี้จิงหรุยมองหน้ากันอย่างตื้นตันและภาคภูมิใจ ที่มีบุตรกตัญญูสองคน คนหนึ่งก็แสนจะน่ารัก อีกคนก็แสนจะว่าง่าย เพียงเท่านี้ที่พวกเขาต้องการจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่จำเรื่องเมื่อวานที่ข้าเล่าให้ฟังได้หรือไม่” เฟิงลี่เอ่ยถาม ขณะที่บิดามารดากำลังกินขนมเหลือของตนเอง
“จำได้สิ แต่เจ้าบอกว่าพื้นที่เป็นยี่สิบหมู่มิใช่หรือ แม้เราจะขายผักหมดสวนก็ไม่รู้ว่าจะพอหรือไม่ พ่อคิดว่าเราดูพื้นที่เล็กๆพร้อมบ้านก่อนดีกว่า และต้องอยู่ไม่ห่างจากทางขึ้นเขามากด้วย เราจะได้ขึ้นเขาหาของกินได้” ซ่งจิ้นแนะนำตามประสบการณ์ชีวิตของเขา หากไม่ได้ภูเขาเลี้ยงดู เขาคงอดตายไปหลายรอบแล้ว
“ถ้าเจ้าของที่ขายแค่หมู่ละ5ตำลึงจริง พวกเราสามารถซื้อมันได้นะเจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยอย่างร่าเริง หากมีพื้นที่ยี่สิบหมู่ บ้านนางก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแน่นอน
แม้ว่าพื้นที่ตรงนั้นจะเป็นพื้นที่ชั้นแย่ แต่ถึงจะแย่ยังไงหากถูกน้ำวิเศษบำรุงนานๆหน่อย ดินจะดีขึ้นในไม่กี่อาทิตย์แน่ๆ
ดูอย่างสวนหลังบ้านนางสิ ใช้น้ำผสมน้ำวิเศษรดน้ำเพียงไม่กี่สัปดาห์ ดินกลับดีขึ้นผิดหูผิดตา ทั้งที่ดินแถบนี้ก็เป็นดินปนทรายทั้งนั้น แต่ตอนนี้ดินหลังบ้านนางกลายเป็นดินดำเหมาะแก่การปลูกพืชไปแล้ว
“เจ้าลูกคนนี้ เจ้าเคยเรียนนับเลขหลักสิบ หลักร้อยหรืออย่างไรเล่า” บิดายื่นมือไปเขกหัวบุตรสาว แต่เฟิงลี่กลับวิ่งไปหลบหลังมารดาแล้วโผล่หน้าไปมองเขาอย่างระแวง ท่าทางน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้านับเป็นนะเจ้าคะ และข้าก็รู้ด้วยว่า20หมู่กับ5ตำลึง ทั้งหมดเป็นเงิน100ตำลึง” นี่เป็นคณิตศาสตร์ระดับเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ นางบวกลบเลขเป็นตั้งแต่ชาติแรกแล้วเถอะ
“แล้วเราจะหา100ตำลึงมาจากที่ใดเล่า ลูกรัก...เจ้าอย่าฝันเกินตัวเลย” ตี้จิงหรุยดึงบุตรสาวมายืนข้างกาย ก่อนจะลูบหัวนางอย่างเอ็นดู
“...” สองพี่น้องมองหน้ากันยิ้มๆ เพราะบิดายังไม่ได้เปิดถุงเงิน พวกเขาจึงคิดว่ามีเงินอยู่ไม่กี่สิบตำลึงเหมือนเมื่อวานสินะ
“ท่านพ่อไม่เปิดดูถุงเงินก่อนเล่าขอรับ” ได้ยินบุตรชายบอกเช่นนั้น ซ่งจิ้นก็เปิดถุงเงินออก ก่อนจะตะลึงตาค้างขณะที่มือก็คีบตั๋วเงิน100ตำลึงออกมา
“เอ๊~ พวกเจ้าขายได้เงินมากขนาดนี้เชียว นี่พวกเจ้าเอาทองไปขายงั้นรึ?” นางตี้จิงหรุยตกใจร้องลั่น ใครจะคิดว่าหนูแค่สิบตัวจะมีราคาดั่งทองจริงๆ
100ตำลึงคือราคาเครื่องประดับทอง 100ตำลึงคือ1ตำลึงทอง และต้องเป็นเงินระดับตำลึงทองจึงจะสามารถซื้อเครื่องประดับราคาสูงได้
แต่ชาวบ้านจะรู้อะไรเล่า พวกเขารู้เพียงเงินอีแปะ และเงินตำลึงเท่านั้น ขนาดคนที่มีเงินตำลึงครบร้อย ยังไม่มีใครให้ความสำคัญกับของราคาแพงของชนชั้นสูงเลย ส่วนมากก็แลกตั๋วเงินมาพกไว้ใช้ง่ายๆกันทั้งนั้น มีแต่คนในเมืองหลวงที่มีตำลึงทองมากๆเพื่ออวดร่ำอวดรวย
“ท่านแม่ ท่านพ่อ นี่เป็นเงินที่ได้จากการขายหนูจริงๆ แต่ต่อไปอาจจะขายไม่ได้ราคาเท่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่จริงๆ และหนูที่เราก็หมดแล้ว...” เฟิงลี่อธิบาย
เมื่อได้ยินลูกบอกเช่นนั้น ทั้งสองก็สงบลงเช่นกัน พวกเขานึกขึ้นได้ว่า แม้หนูจะมีมากแต่ส่วนมากจะเยอะช่วงก่อนหน้าหนาว ช่วงต้นใบไม้ผลิเช่นนี้หนูมีน้อยมาก ไม่แปลกที่จะมีราคา
ก็เหมือนกับของอื่นๆทั่วไป หากเป็นฤดูกาลที่มีเยอะๆราคาก็จะตก แต่หากเป็นฤดูที่หายากราคาก็จะแพง นี่เป็นกลไกตลาดที่ชาวบ้านก็รู้ดี
“แต่นี่...ท่านพี่ แล้วอย่างนี้เราจะทิ้งบ้านไปจริงๆหรือเจ้าคะ” นางตี้จิงหรุยเอ่ยถามอย่างลำบากใจ เมื่อวานนี้นางยังสงบใจอยู่ได้ เพราะคิดว่าคงอีกนานกว่าจะเก็บเงินครบและย้ายออกไป
แต่นี่...เงิน100ตำลึง ไม่สิ... ยังมีเงินอีกหลายตำลึงในถุงเงิน แปลว่าพวกนางมีกระทั่งค่าจ้างสร้างบ้านใหม่ด้วยซ้ำ
“จิงหรุย เชื่อข้าเถอะ พวกเราออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นจะปลอดภัยกับลูกๆเรามากกว่าอยู่ที่นี่” ซ่งจิ้นยืนยันหนักแน่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง นั่นทำให้ทั้งห้องเงียบลง บรรยากาศหนักขึ้นหลายเท่า
นี่ยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าที่เฟิงลี่คิดน่าจะเป็นความจริง คนบ้านใหญ่หรือคนในหมู่บ้านอาจจะมีส่วนในเรื่องที่ท่านพ่อบาดเจ็บเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อคงไม่ยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ ....คนพวกนี้ไม่มีคนดีดีบ้างเลยหรืออย่างไรนะ?
“ท่านแม่ ข้าคิดว่าที่ดินแค่ครึ่งหมู่ที่เราปลูกพืช ไม่พอเลี้ยงพวกเราทั้งบ้านหรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อเรามีเงิน บังเอิญมีคนขายที่ดินราคาถูก หากเราไม่ซื้อไว้ นี่ไม่ใช่เสียโอกาสไปเฉยๆหรือเจ้าคะ”
“อีกอย่าง ที่นั่นก็อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านมาก อีกทั้งยังเป็นทางผ่านไปในเมือง หากญาติเราจะแวะไปหาก็ย่อมได้อยู่แล้ว ทั้งยังอยู่ใกล้หมอ มีภูเขาและทะเลสาปอยู่หลังบ้าน มีอะไรที่ไม่ดีอีกเล่าเจ้าคะ”
เฟิงลี่พยายามชักจูงมารดาเต็มที่ ซ่งเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคนที่ได้เห็นสภาพพื้นที่แล้ว
“เอาล่ะ รอให้พ่อเจ้าหายก่อนเราค่อยไปดูที่ดินด้วยกัน” นางตี้จิงหรุยสรุป แต่ความจริงก็คล้ายผลัดเรื่องนี้ออกไปก่อน แต่มีหรือคนอื่นๆในครอบครัวจะยอม
“จิงหรุย เจ้าไปดูที่ทางกับลูกเถิด หากมันดีจริงก็ซื้อเอาไว้ ตอนนี้ข้ายังบาดเจ็บมากไม่สะดวกเคลื่อนไหว หลังจากข้าหายแล้วเราค่อยเริ่มสร้างบ้านและย้ายไปอยู่ แต่เรื่องนี้ต้องทำให้เงียบที่สุดเข้าใจหรือไม่”
การที่อยู่ดีดีพวกเขาก็มีเงินขึ้นมา อาจทำให้ชาวบ้านอิจฉาริษยาได้ ดังนั้นซ่งจิ้นจึงกำชับภรรยาและลูกๆอีกหลายคำ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะระมัดระวังตอนที่ซื้อที่ดิน