บทที่2 ชีวิตใหม่
ณ แคว้นต้าจง...เมื่อปีก่อน เพราะการปราบปรามกบฎกลุ่มใหญ่ทำให้ราชสำนักมีงานยุ่ง แต่เพราะกบฎที่ว่าบังเอิญรวบรวมพื้นที่ทางเหนือมาได้มากขึ้น ทางเหนือจึงเป็นป้อมปราการธรรมชาติสำคัญที่ป้องกันการรุกรานจากแคว้นทางเหนือที่ยิ่งใหญ่กว่า และมีกำลังทหารมากกว่า
มาปีนี้ รัชศกเจิ้นจงที่เจ็ด ไม่รู้เพราะกลใด แคว้นต้าจงก็ถูกแคว้นต้าถงทางเหนือปราบปรามอยู่หมัด กลายเป็นแคว้นพันธมิตรที่ติดต่อซื้อขายกันอย่างเปิดกว้างในที่สุด
แต่ใครๆย่อมรู้ดีว่า พันธมิตรในที่นี้ คือแคว้นต้าจงเสียเปรียบและขายหน้าไปไม่น้อย แม้ไม่เรียกว่าเมืองขึ้น แต่ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากการเป็นเมืองขึ้นสักนิด
แต่นั่นก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้น จนกว่าแคว้นต้าจงจะสร้างท่าเรือเสร็จสิ้นเท่านั้น และท่าเรือที่ว่าก็อยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมที่สุด ณ เมืองถังที่เคยเป็นถิ่นเนรเทศอยู่พักหนึ่ง ค่อยๆกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอีกหลายๆวันถัดไป แต่ในวันนี้ ดวงดาวส่องสว่างงดงามเต็มท้องฟ้า แต่ผู้ที่นอนหนาวสั่นอยู่บนเตียงไม่ได้มีอาการดีเลย
ภายในกระท่อมสองห้องเล็กๆซึ่งสร้างขึ้นจากไม้และดิน มุงหลังคาหญ้าแห้ง ในห้องหนึ่งในจำนวนนั้นมีหลายร่างนอนรวมๆกันอยู่ เด็กสาวผู้หนึ่งหมดลมไปอย่างเงียบเชียบ
เหนือฟากฟ้ากลับปรากฎดาวตกสีแดงแปลกประหลาด โหรหลวงทำนายว่าจะเกิดเรื่องมงคลในไม่ช้า แผ่นดินจะได้รับคุณมหาศาล จึงมีการเลื่อนงานมงคลหลายๆงานให้กระชั้นเข้ามาอีก รวมถึงกวดขันขุนนางให้อยู่ในกฎระเบียบมากขึ้น
เด็กสาวที่หมดลมหายใจไปในบ้านสองห้องเล็กๆนี้ กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง โดยที่คนทั้งบ้านไม่ได้รู้เลยว่านางได้หมดลมไปพักหนึ่ง และฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ดวงตากลมโตลืมตาขึ้นราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆจะมีประดับใบหน้า เมื่อรับรู้ได้ถึงความทรงจำของเจ้าของร่างที่หลั่งไหลเข้ามาในสมอง
เสี่ยวลีก็หลับตาลง และหลังจากนั้นก็หลับไปเพราะร่างกายนี้อ่อนแอเหลือเกิน
...
เช้าวันถัดมา เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหูทำให้เสี่ยวลีรู้สึกตัว นางพยายามเงี่ยหูจับใจความ
“เมื่อวานอาการเสี่ยวลี่แย่นัก แต่ท่านแม่ไม่ยอมนำเงินเก็บให้เราพาเสี่ยวลี่ไปหาหมอแน่ ท่านพี่...อย่าปล่อยให้ลูกเราตายไปอย่างนี้นะเจ้าคะ”เสียงหวานอ่อนโยนนี้น่าจะเป็นมารดาของนาง
“ท่านพ่อ ข้าจะขึ้นเขากับท่านด้วย เมื่อวันก่อนท่านได้โสมมาท่านยายก็นำไปหมด หากข้าขึ้นไปคงซ่อนเอาไว้ไปแลกเงินมาเป็นค่ายาให้น้องรองได้บ้าง” เสียงแตกหนุ่มนี้เป็นของพี่ชายเจ้าของร่างเป็นแน่
“ใจเย็นลงก่อนเถอะให้ข้าคิดก่อน”เสียงทุ้มและจนใจนี้เป็นของบิดาไม่เอาไหนของร่างนี้
หากบอกว่าไม่เอาไหนก็ไม่ถูกนัก เพียงแต่เพราะท่านพ่อเป็นคนรู้คุณคนมาก จึงมองข้ามครอบครัวตนเองไป นั่นต่างหากคือความไม่เอาไหนของเขา
เนื่องจากครอบครัวของร่างนี้ใหญ่มากๆ แม้ท่านพ่อสู่ขอท่านแม่มา แต่เพราะท่านพ่อเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยท่านตา ดังนั้นแม้คล้ายแยกบ้านกันแล้ว แต่ก็ยังคงถูกท่านย่ารีดไถเงินไปอยู่ดี
หากไม่ยอมมอบเงินให้ท่านย่า คนบ้านนี้ก็ไม่อาจจะอยู่ในหมู่บ้านสกุลตี้ได้อีกแล้ว เพราะท่านย่านั้นมีอิทธิพลต่อหัวหน้าหมู่บ้านอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะคนบ้านนี้ขยันและมีลูกแค่พอใช้ ทั้งบ้านคงตายไปหลายหนาวแล้ว
โชคดีที่ท่านยายเพิ่งมาใจร้ายเอามากๆ ก็หลังจากที่ท่านตาสิ้นไปเมื่อสามปีก่อน
เพราะชนกับช่วงฤดูหนาว ทำให้ท่านพ่อที่เป็นพรานไม่ได้ขึ้นป่าล่าสัตว์ ท่านยายที่อยู่บ้านใหญ่จึงเริ่มบ่นว่าเงินขาดมือ ไม่อาจหาไปจ่ายส่วยครัวเรือนได้ครบ และข่มขู่จะไล่บ้านเล็กออกจากหมู่บ้าน
ทั้งๆที่ส่วยของเมืองจินเต๋านั้นนับส่วยที่ดินเป็นหลัก มิใช่ส่วยครัวเรือน ดังนั้นบ้านตระกูลซ่งที่แยกบ้านออกมาจากบ้านใหญ่ตัวเปล่า พร้อมที่ดินส่วนแบ่งจากหมู่บ้านเพียง3หมู่ ไม่ควรจะมีการจ่ายส่วยราคาแพงเช่นนั้น
แม้แยกบ้านออกมาสามปี กลับเหมือนทำงานใช้หนี้ให้คนบ้านใหญ่ คนบ้านใหญ่อยู่ดีกินดี คนบ้านนี้กลับแทบสิ้นใจตายได้ทุกลมหายใจ เช่นเดียวกับที่เฟิงลี่ตัวจริงได้ตายจากไป นั่นก็เพราะเหตุนี้
หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อรู้คุณคน กตัญญูต่อบ้านใหญ่เพราะเลี้ยงท่านพ่อและท่านแม่มา บ้านตระกูลซ่งคงมีเงินสำรองพอจะพาร่างนี้ไปหาหมอตั้งแต่แรก
สำหรับค่าหาหมอนั้น ได้ยินว่าราว50-100อีแปะ ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ยังไม่นับรวมยาที่ท่านหมอจะจัดให้อีก
โดยปกติแล้ว หากเป็นการขายสัตว์เล็กอย่าง ไก่ป่า กระต่าย หมูป่า หมาป่า มักจะได้ราคาราวๆ 30-50อีแปะต่อชั่ง แต่เนื่องจากความเหนียวหนี้ของท่านยาย ทำให้คนในบ้านเล็กไม่เคยได้แตะเงินเหล่านั้นเลย ทั้งที่แยกบ้านกันออกมาแล้ว
“แค่กๆๆ” เสี่ยวลีไอเบาๆอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ร่างนี้น่าจะแค่ป่วยไข้เล็กน้อยเพราะอากาศเย็น แต่นางนอนซมมาตั้งแต่ต้นหนาวแล้ว เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก
“ลี่เอ๋อร์ ลี่เอ๋อร์ฟื้นแล้วหรือลูก ดื่มน้ำก่อนนะ” แขนเล็กๆของท่านแม่ประคองร่างผอมแกร็นของนางขึ้น เด็กคนนี้เพิ่งจะสิบขวบเท่านั้นเอง
เสี่ยวลีลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า มีท่านแม่ที่นั่งอยู่บนเตียง ท่านแม่เป็นบุตรสาวบ้านรอง ท่านตาท่านยายแท้ๆของนางเสียชีวิตไปแล้ว
ท่านยายเป็นท่านป้าสะใภ้ของท่านแม่และเลี้ยงท่านแม่มา กระนั้นท่านยายก็ไม่ใช่คนที่เลี้ยงดูบุตรคนอื่นอย่างเป็นธรรม
ท่านพ่อเองก็ถูกท่านตาเลี้ยงดูมา ถูกปฏิบัติจากคนในบ้านเหมือนข้ารับใช้ แต่เพราะท่านพ่อเป็นคนขยันขันแข็ง ท่านตาจึงวางใจให้ท่านแม่แต่งกับท่านพ่อ หากนับญาติจริงๆแล้วบ้านนี้ไม่ใช่สกุลเดียวกันกับบ้านใหญ่ด้วยซ้ำ
และด้วยเหตุผลนั้น ทำให้บ้านตระกูลซ่งไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในหมู่บ้าน และถูกข่มขู่โดยนางตี้เหวียนผู้เป็นยายได้ง่ายขึ้นไปอีก
“ท่านแม่...ท่านพ่อ” เสี่ยวลีเปล่งเสียงแหบเครือออกมา นางรู้สึกแปลกเล็กน้อย เพราะในชาติก่อนหน้าตนเองไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง เพื่อนในสถานเด็กกำพร้าที่จริงใจต่อกันก็มีไม่กี่คน
“ลี่เอ๋อร์ฟื้นแล้วหรือลูก นอนอีกสักหน่อยเถอะ พ่อจะเพิ่มฟืนใต้เตียงให้” ซ่งจิ้นผู้เป็นบิดาขยับตัวไปหอบฟืนจากด้านนอกอย่างขยันขันแข็ง
“พี่ใหญ่” เสี่ยวลี่ลืมตามองหนุ่มน้อยอีกคนหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน อายุห่างกับนางหนึ่งปีเท่านั้น
“เสี่ยวลี่ พักอีกหน่อยเถอะ พี่จะขึ้นเขาหาสมุนไพรมาบำรุงให้เจ้าเอง”ซ่งเฟิง ผู้เป็นพี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะจับชายเสื้อของนางเอาไว้ ราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว
แม้ในยุคนี้ชายหญิงแตกต่าง อายุเจ็ดหนาวก็ต้องระมัดระวังเรื่องการปฏิบัติกับชายหญิงแล้ว แต่ในชนบทที่ห่างไกลเช่นนี้ ความยากจนข้นแค้นทำให้แบ่งแยกห้องนอนให้บุตรสาวบุตรชายไม่ได้ บ้านของนางจึงต้องนอนรวมกันบนเตียงยาวที่อยู่ในห้องตะวันออกนี้
“ลี่เอ๋อร์นอนพักอีกหน่อยเถอะลูก แม่จะเตรียมอาหารมาให้ ส่วนยาเจ้า...รอเฟิงเอ๋อร์กลับมาแล้วแม่จะรีบต้มให้เลย” นางตี้จิงหรุยผู้เป็นมารดาคะยั้นคะยอให้บุตรสาวพักอีกสักหน่อย นางมีบุตรชายหญิงอย่างละคนเท่านั้น ดังนั้นจึงรักถนอมพวกเขามากๆ
แม้ในยุคสมัยนี้ จะกล่าวว่าการมีบุตรสาวก็เหมือนกับสาดน้ำออกจากบ้าน แต่นางก็ยังคงให้ความรักแก่บุตรสาวอย่างเท่าเทียม ไม่เหมือนกับคนในยุคนี้ที่เลี้ยงดูบุตรชายดีกว่าบุตรสาว บุตรสาวในบ้านแทบไม่ต่างจากข้าทาสแรงงาน นั่นรวมถึงสะใภ้ที่แต่งเข้าอีกด้วย
“ท่านพี่ ท่านแม่ ไม่ต้อง แค่กๆๆ” เสี่ยวลี่ หรือ ซ่งเฟิงลี่ พยายามห้ามปรามมารดาของตน จะบอกว่าตัวนางไม่เป็นอะไรมาก เพื่อให้พวกเขาสบายใจ แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ร่วมมือกับนางเลย
“นอนลงดีดีก่อนเถอะ วันนี้พี่ขึ้นเขาไปกับท่านพ่อ น่าจะได้ของดีมาแลกเป็นเงิน จะได้พาเจ้าไปหาหมอเสียที” ซ่งเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างใจดี
ซ่งเฟิงลี่ก็ไม่คิดคัดค้านอีกแล้ว ดูเหมือนร่างกายนี้จะป่วยหนักใช้ได้ ตอนนี้นางปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เริ่มเวียนหัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วด้วย
“อาเฟิงเอาของกินไปเยอะๆหน่อยเถอะ นี่เพิ่งพ้นหน้าหนาวมา เมื่อวานยังมีหิมะตก ทางขึ้นเขาน่าจะลื่นน่าดู เจ้ากับพ่อคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้น หากได้โสมมาอีกสักต้นเจ้าก็แอบเก็บมาไว้บำรุงลี่เอ๋อร์เถอะ”
แม้ตี้จิงหรุยจะเป็นคนกตัญญูแต่ก็มีขอบเขตมากกว่าสามีตน นางไม่ใช่คนยอมคนง่ายๆ แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแอของนาง ทำให้ออกจากบ้านช่วงหน้าหนาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นนางก็จะป่วยไปอีกคน
เฟิงลี่ หรี่ตามองมารดาของนาง มารดานางเป็นคนสวยมากๆ สวยเหมือนดาราในยุคอนาคตเลย แต่กลับดูซูบผอมซีดเซียว ผมเผ้าแห้งกรอบชี้ฟู บ่งบอกว่ามีปัญหาสุขภาพและขาดการบำรุงที่ดี
ความจริงนางตี้จิงหรุยเป็นสาวงามของหมู่บ้านทีเดียว ดังนั้นท่านยายจึงต้องการให้นางแต่งเป็นเมียรองเศรษฐี
แต่ท่านตากลับขัดขวาง และแอบมอบท่านแม่ให้กับท่านพ่อที่ท่านตาเลี้ยงดูมาเสียก่อน ท่านยายจึงไม่ชอบขี้หน้าบ้านเล็กมานับแต่นั้น เพราะถือว่าบิดามารดานางขัดขวางทางรวยของตน
ท่านแม่คลอดซ่งเฟิงตั้งแต่อายุไม่14ดี และก่อนอายุ15ก็คลอดนางตามมา น่าเสียดายที่ร่างกายผ่ายผอมอ่อนแอ จนไม่อาจมีบุตรได้อีกเลย สุดท้ายทั้งท่านพ่อท่านแม่ก็ถอดใจ
เมื่อตอนที่แยกบ้านกันก่อนที่ท่านตาจะสิ้นเมื่อสามปีก่อน เงินทุกอีแปะที่ท่านพ่อหาได้ก็ให้บ้านใหญ่จัดการหมด ปัญหาสุขภาพของทั้งบ้านเลยไม่เคยแก้ไข พอแยกบ้านมาแล้ว ความเป็นอยู่อัตคัตแต่ก็ได้กินมากขึ้น สุขภาพทั้งบ้านก็ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม บ้านใหญ่ก็หาข้ออ้างการเก็บส่วยต่างๆของทางราชสำนัก และมาคอยดักเก็บของที่ท่านพ่อหามา และสามารถแลกเงินได้ไปทั้งหมดราวกับเป็นของตนเอง
“เฮ่อ” เฟิงลี่ได้แต่ถอนหายใจ การจัดการแบบกงสีในยุคโบราณนั้นย่ำแย่กว่าสมัยปัจจุบันมาก คนในบ้านแทบจะไม่มีอิสระทางการเงินของตนเองเลย กระทั่งบ้านเล็กที่แยกออกมาแล้วยังถูกยื่นมือเข้ามาสอดอย่างนี้
นางได้แต่นอนมองพ่อแม่และพี่ชายที่หน้าเคร่งเครียดแยกย้ายกันไปทำงาน ก่อนจะมองหน้าจอสีแดงจางๆที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า
‘เสี่ยวเฉินสินะ’
[ระบบนำทาง101ยินดีต้อนรับ ท่านต้องการสร้างฝันเช่นไร เรายินดีให้บริการ] เสียงสังเคราะห์ดังขึ้น เฟิงลี่มองไปที่มารดาเห็นว่านางยังบ่นงึมงัมพร้อมกับปักผ้าอยู่ข้างๆตนเอง ก็รู้ว่านางไม่ได้ยินเสียงระบบที่ว่านี่ด้วย
‘ทำอะไรได้บ้างล่ะ’ ในชาติภพก่อนของเฟิงลี่ นางเป็นนักเขียน ย่อมต้องอ่านหนังสือมาทุกแนว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง รวมถึงพอจะคาดเดาได้ว่าเสี่ยวเฉินทำงานอย่างไร
อย่างเช่นตอนนี้ นางเริ่มต้นที่จะคุยกับเสี่ยวเฉินผ่านความคิดและจ้องมองหน้าจอโฮโลแกรม
ด้านหน้านั้นมีคำสั่งอยู่หลายอย่าง เช่น ภารกิจ ความช่วยเหลือ กล่องเก็บของ และร้านค้า ซึ่งเป็นเมนูหลักๆ
[ระบบนำทาง101 คือระบบช่วยจัดการเพิ่มแต้มบุญให้แก่ดวงวิญญาณที่หลงทาง แต้มบุญของท่านจะถูกสะสมเอาไว้และปลดล็อกสิ่งของในระบบ ในส่วนของแต้มบุญจะได้รับจากการทำภารกิจ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของภารกิจ]
[นอกจากนี้ ท่านยังสามารถใช้แต้มในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆในระบบร้านค้าได้ โดยแต้มนี้คือเศษของแต้มบุญที่ท่านสะสมเอาไว้ ท่านได้รับ1แต้มบุญเท่ากับ1แต้ม เมื่อใช้แต้มแลกเปลี่ยนแล้วจะไม่กระทบกับแต้มบุญที่ท่านมี]
เฟิงลี่พยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่าชีวิตของตนคงไม่ลำบากขนาดนั้น แม้ครอบครัวจะยากจน แต่นางยังมีระบบแลกเปลี่ยนได้
เฟิงลี่ลองเปิดเข้าไปในหน้าร้านค้า พบว่ามีของขายเพียงอย่างเดียว คือน้ำวิเศษ1เหยือก ราคา1แต้ม ซึ่งแต้มที่ว่าจะได้รางวัลจากภารกิจ ซึ่งตอนนี้ในหน้าภารกิจยังคงว่างเปล่า
‘เสี่ยวเฉิน ภารกิจที่ว่าคืออะไร’
[ภารกิจจะมีปรากฎให้ท่านเห็นเองในช่วงเวลาที่เหมาะสม ท่านสามารถซื้อเครื่องมือช่วยเหลือในการทำภารกิจได้ในหัวข้อเครื่องมือช่วยเหลือ เมื่อมีแต้มบุญพอท่านสามารถปลดล็อกเครื่องมือช่วยเหลือได้]
‘หมายความว่า...ถ้าข้านอนอยู่นี่ก็จะไม่ได้รับภารกิจ’
[แล้วแต่ช่วงเวลาและสถานที่ สถานการณ์รอบด้านของท่านสามารถนำพาไปสู่ภารกิจได้ทั้งสิ้น]
เมื่อสิ้นเสียงสงเคราะห์ ตรงหน้าของเฟิงลี่ก็ปรากฎกรอบสีแดงขึ้นมาทันที พร้อมเสียง ติ้ง!
[-ภารกิจ- สอนปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธีแก่นางตี้จิงหรุย รางวัล เข็มปักผ้ารุ่นทันสมัยระดับE(อัพเกรดได้) ตำราเรียนรู้ลายปักผ้า แต้มบุญ1] และในขณะเดียวกันนั้น นางตี้จิงหรุยก็ส่งเสียง
“โอ้ย” เมื่อนางเห็นหน้าต่างภารกิจ นางตี้จิงหรุยก็ร้อง โอ้ยขึ้นมาทันที เฟิงลี่มองไปทางมารดา เห็นนางกำลังเช็ดเลือดออกจากนิ้ว
เมื่อมองดีดีจะเห็นว่าปลายนิ้วของนางตี้จิงหรุยม่วงคล้ำ บางนิ้วบวมขึ้นมา บ่งบอกว่านางไม่ได้ทำความสะอาดแผลดีดี จนมือเป็นหนอง
“ท่านแม่” เฟิงลี่เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ว่าอย่างไรลูกรัก” นางตี้จิงหรุยได้ยินเสียงบุตรสาวก็วางสะดึงปักผ้าแล้วปรี่เข้ามาหาทันที เฟิงลี่ยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วจับมือของนางตี้จิงหรุยไว้นิ่งตรงหน้าตนเอง เพื่อสังเกตอาการ
‘เราไม่ได้เรียนหมอมา ทั้งชาติที่หนึ่งที่สาม(ชาติแรกคือเป็นบุตรสาวของท่านอ๋องที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ ชาติที่สามคือเป็นนักเขียนที่ชื่อลี) แต่จากที่ดูแล้ว มือของท่านแม่น่าจะเริ่มติดเชื้อ’
‘ท่านแม่มีอาการหน้าแดงตัวร้อนเล็กน้อยเพราะพิษไข้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจจะต้องตัดมือ เฮ่อ...คนโบราณนะคนโบราณ’
[ระบบเสนอให้ใช้งานบัตรใช้เครื่องมือช่วยเหลือฟรีหนึ่งครั้ง ซึ่งระบบได้ให้เป็นของกำนัลไว้ในช่องเก็บของของท่าน]
‘ระบบช่วยเหลือยังไม่เปิด แต่สามารถใช้งานได้งั้นหรือคะ?’
[โฮสต์สามารถใช้ระบบช่วยเหลือได้เป็นกรณีพิเศษ แม้เครื่องมือช่วยเหลือจะยังไม่ปลดล็อกก็ตาม บัตรกำนัลสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วจะหายไป]
‘ถ้าอย่างนั้นใช้ยังไง’
[โฮสต์แค่เรียกใช้ในใจ]
‘แล้ว ช่องเก็บของนั่น...เปิดยังไง’
[โฮสต์แค่เรียกใช้ ช่องเก็บของในใจ]
เหมือนเสี่ยวเฉินจะกวนนางยังไงก็ไม่รู้ เฟิงลี่เลิกสนใจเสี่ยวเฉิน
‘ช่องเก็บของ’ เฟิงลี่เรียก ช่องเก็บของในใจ และมันก็ปรากฎออกมาตรงหน้านางจริงๆ เป็นช่องสี่เหลี่ยมจำนวนสิบช่อง ซึ่งในนั้นมีกระเป๋าของกำนัลจากระบบ
นางไม่รอช้ารีบสั่งเปิดกระเป๋าของกำนัลจากระบบทันที เพราะรู้ว่าบัตรกำนัลอยู่ในนั้น
[ท่านได้รับ บัตรกำนัลใช้เครื่องมือช่วยเหลือฟรีหนึ่งครั้ง(ใช้ได้ครั้งเดียว) คอนแท็คเลนส์ตรวจสอบระดับE น้ำวิเศษ1ลิตร(เหยือก) เงินขวัญถุง100อีแปะ]
เฟิงลี่มองตรงหน้าอย่างแปลกใจ ข้าวของกระจายตัวออกไปในช่องเก็บของเหมือนในเกมส์ไม่มีผิด โดยเฉพาะช่องเก็บของนี้สามารถเก็บเงินได้ด้วย!! นี่จะช่วยแก้ปัญหาที่เก็บเงินของบ้านได้!
แม้เฟิงลี่จะเพิ่งมาอยู่ในร่างนี้ แต่นางก็รู้ปัญหาของคนในบ้านดี เรื่องที่บ้านใหญ่มักมาเบีบดเบียนเงินของบ้านของนาง ดังนั้นนางจึงเริ่มคิดว่าจะต้องเก็บเงินไว้ที่ตัวเอง แม้คนอื่นไม่เห็นด้วยก็ตามที
เงิน100อีแปะนี้ ความจริงก็ไม่ได้เยอะมากมาย แต่ก็มากพอที่จะพาร่างนี้ไปหาหมอได้ แม้ไม่พอค่ายาก็ตามที
“มีอะไรรึเปล่าลูก หิวน้ำ หรือหิวข้าว?” ท่านแม่ยังคงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นบุตรสาวนิ่งไป
“รอก่อนเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิงลี่เอ่ยขัด ก่อนจะถามระบบอีกครั้ง
‘ระบบ เราจะสามารถใช้งานบัตรกำนัลได้เลยมั้ย แน่ใจมั้ยว่ามันจะช่วยท่านแม่ได้จริงๆ’
[บัตรกำนัลจะนำเครื่องมือที่เหมาะกับภารกิจของโฮสต์ออกมาอย่างแน่นอน แม้อาจไม่ช่วยให้จบภารกิจได้ แต่จะเป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน]
‘งั้น ขอเรียกใช้บัตรกำนัลใช้เครื่องมือช่วยเหลือฟรีหนึ่งครั้ง’ ทันทีที่สิ้นเสียง ตรงหน้าก็ปรากฎตำราเล่มหนึ่ง เขียนว่า ‘ความรู้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น(เช่า1วัน)’ ก่อนที่มันจะกลายเป็นลำแสงและพุ่งเข้าหานางตรงกลางหน้าผาก
อึ่ก… เฟิงลี่รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ความรู้หลั่งไหลเข้ามาในสมอง เมื่อนางนึกอยากรู้เรื่องวิธีการปฐมพยาบาลมือที่เป็นหนอง และบาดแผลเล็กน้อยก็ได้รู้ในทันที
“ท่านแม่ มือท่าน” เฟิงลี่หันไปสนใจมารดาอีกครั้ง ความจริงแล้วระยะเวลาที่นางคุยกับระบบก็ไม่ได้มากมาย แต่ก็ถือว่าชะงักไปหลายอึดใจเลย
“ไม่เป็นไรลูกรัก อีกไม่นานแม่ก็หายแล้ว แผลเล็กๆแค่นี้เอง ปล่อยไว้ไม่กี่วันก็หาย” แม้นางตี้จิงหรุยจะปวดมือมากแต่นางก็กัดฟันพูดเพื่อไม่ให้บุตรสาวเป็นห่วง
“ท่านทำแผลไม่ถูกต้อง ท่านแม่ไปนำน้ำสะอาดและผ้าสะอาดมาสักผืนเถอะ แล้วก็เข็มเงินกับตะเกียงน้ำมัน ลูกจะช่วยทำแผลให้ท่าน”
“ลี่เอ๋อร์ ลูก...แม้ลูกจะได้เรียนวิชาจากท่านหมอมาบ้าง แต่เจ้าแน่ใจหรือ?” คำพูดของท่านแม่ทำให้เฟิงลี่ชะงัก
ความทรงจำในส่วนลึกบ่งบอกว่านางได้เรียนวิชาจากหมอลึกลับคนหนึ่งที่ท่านพ่อช่วยเหลือเอาไว้ เมื่อตอนราวๆ5-6ขวบ แต่นั่นก็เพียงช่วงเวลาไม่นาน และหมอคนนั้นก็สอนแค่เรื่องวินิจฉัยเล็กน้อย และการใช้สมุนไพรบ้านๆเท่านั้น
“ท่านแม่ เชื่อใจข้านะ แค่กๆๆ...แล้วก็ หากมีน้ำอุ่นให้ข้ากลั้วคอหน่อยก็จะดี” เฟิงลี่พูดอย่างยากลำบาก
“ได้ ได้ ลูกรัก แม่เชื่อลูกสิ” กล่าวแล้วท่านแม่ก็หายออกจากห้องไป จิงลี่มองไปที่สะดึงปักผ้าซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง